ตอนที่ 254 คราบจักจั่น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินเข้าไปในรถม้า มองดูหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงได้ส่งหนังสือการแต่งงานไปให้พวกนาง หยิบถ่านที่ใช้สำหรับเขียนหนังสือขึ้นมา และเขียนวัสดุที่ต้องใช้ในการทำกระสุนลงไป

เมื่อต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้รับหนังสือนั้นไป ใบหน้าของพวกนางก็ปีติยินดียิ่ง

นี่คือหนังสือสมรสที่องค์ฮ่องเต้ทรงประทานให้ !

ตราประทับสีแดงนั้นมิอาจนำมาล้อเล่นได้ !

ซึ่งหมายความว่า นับจากนี้พวกนางจะกลายเป็นคนในจวนฟู่อย่างเต็มตัวแล้ว !

ขณะที่ทั้งสองนางกำลังจะเอ่ยถาม ฟู่เสี่ยวกวนก็ยกมือขึ้นห้าม จากนั้นก็ถือกระดาษลงไปจากรถม้า

“คาดว่าสิ่งเหล่านี้กรมอุตสาหกรรมล้วนมีอยู่ ท่านจงกลับไปทูลฝ่าบาทว่าให้รีบส่งไปยังซีซาน”

ขันทีเจี่ยรับกระดาษนั้นไปเก็บรักษาไว้ แต่ยังมิได้เดินจากไป ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของเขากำลังครุ่นคิด ประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เขาลำบากใจ หากทรัพย์สมบัติของตระกูลชือทั้งหมดตกอยู่ในมือขององค์หญิงเก้า ฝ่าบาทจะขาดผลประโยชน์มากเท่าใดกัน ?

หนังหน้าของฝ่าบาทหนากว่าเขามากนัก ฝ่าบาททรงใช้หนังสือสมรสที่เดิมทีก็ต้องมอบให้สักวัน มาแลกกับปืนใหญ่และฟู่เสี่ยวกวนจะต้องคอยดูแลจัดการให้เรียบร้อย…ชายชราผู้นั้นเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่ใครจะรู้ !

ขันทีเจี่ยคลายคิ้วที่ขมวดลง คล้ายกับคิดสิ่งใดได้ จากนั้นหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า ส่งให้ฟู่เสี่ยวกวน

“สิ่งนี้เรียกว่าคราบจักจั่น ผู้คนในยุทธจักรรู้ดีว่าจู๋ซีซึ่งเป็นช่างไม้ในราชวงศ์ก่อนได้สร้างอาวุธขั้นเทพทั้งเจ็ด แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขายังได้สร้างอาวุธนี้ด้วย”

ฟู่เสี่ยวกวนยินดียิ่ง เขารับมันมาดู เมื่อสัมผัสกับมือก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นและหนัก คล้ายกับทำจากทองแต่ก็มิใช่ จะว่าเหล็กก็มิใช่ มันมีสีดำ บางราวกับคราบจักจั่นที่ลอกออกมา “เจ้าสิ่งนี้ มีประโยชน์อันใด ? ”

“ดาบมีดทั่วไปมิอาจทำอันตรายเจ้าได้ เจ้าสามารถใช้มันต่อสู้กับการโจมตีของปรมาจารย์ขั้นสุดยอดได้ 1 ครั้ง”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึหึ นี่สิถึงจะเรียกว่าของดี !

เขามิอาจฝึกวิทยายุทธ์ได้ และมิอาจเข้าสู่กองทัพทหารได้เช่นกัน ดังนั้นการที่มีของสิ่งนี้อยู่ในมือประกอบกับอาวุธลับในมือ ก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้แล้ว

“เพียงสามารถปกป้องจากการโจมตีของปรมาจารย์ขั้นสุดยอดได้ 1 ครั้งงั้นรึ ? ”

ขันทีเจี่ยจ้องไปยังเขาแล้วถามว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดอีก ? ”

“เช่นว่า หากต่อสู้กับปรมาจารย์อย่างดุเดือด…”

“เจ้าก็จะถูกพวกเขาทุบตีจนตาย ! ”

“……ถ้าหากเป็นขั้นเทพเช่นท่านเล่า ? ”

ครานี้ขันทีเจี่ยคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยตอบมาว่า “เกรงว่าจะเหลือเพียงแค่ลมหายใจ”

เช่นนั้นก็ดี ยังดีกว่าต้องตาย

จากนั้นขันทีเจี่ยเอ่ยว่า “อีกครึ่งชีวิตที่เหลือคงทำอันใดมิได้แล้ว”

“……”

……

เขามีสตรีผู้งดงามดุจบุปผาอยู่ในจวนถึง 3 คน ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากให้อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ต้องนอนมองพวกนางอยู่บนเตียง ดังนั้นเขาจะต้องมีชีวิตรอดไปให้ได้

อีกทั้งบัดนี้ศัตรูที่มีอยู่ก็น้อยลงไปมากแล้ว หวังว่าองค์ชายสี่จะอยู่อย่างสงบ

เมื่อเขากลับมายังรถม้า ขบวนรถก็ได้ออกเดินทางต่อไป

บัดนี้เขาได้หยิบหนังสือสมรสขึ้นมาดู ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า พวกเราสามารถร่วมหอกันได้แล้วมิใช่รึ ? ”

ต่งชูหลานมองค้อนเขา นางอายจนหน้าแดง

หยูเวิ่นหวินจ้องไปยังเขา “หนังสือสมรสนี้เป็นเสมือนการหมั้นหมาย ยังมิได้มีพิธีการใด ดังนั้นพวกเรายังมิใช่คนของจวนฟู่ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิสนใจ เขากางมือไปกอดทั้งสองนางไว้ ภายในรถเต็มไปด้วยความสุข

ความพยายามที่ผ่านมา เขาเพียงต้องการให้เป็นดังเช่นตอนนี้

ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้หยุดพัก สตรีทั้งสองนางผมเผ้ายุ่งเหยิง

หยูเวิ่นหวินเพิ่งเคยพบกับการต่อสู้เช่นนี้ หลายคราที่ดุเดือดอย่างมาก หากมิใช่เพราะในรถมิค่อยสะดวกนัก เกรงว่าความปรารถนาของฟู่เสี่ยวกวนคงจะเป็นจริง

ผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูป พวกนางจึงได้สติกลับคืนมาและจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง จัดแจงเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วกลับมานั่งตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน

ต่งชูหลานเอ่ยถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงกระทำเช่นนี้ ? ”

“ฝ่าบาทต้องการปืนใหญ่ของข้า”

“ในวันนั้นข้าได้เตือนเจ้าแล้วว่าให้นำปืนใหญ่กลับจวน แต่เจ้ากลับส่งเข้าไปในวัง”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัว

“ข้ามิได้ระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องเพียงเล่น ๆ ในเมื่อพวกเขาร้ายกาจเพียงนั้นก็ควรต้องถูกสั่งสอน เดิมทีข้าก็ต้องการส่งปืนใหญ่รุ่นแรกให้กับฝ่าบาทอยู่แล้ว เนื่องจากทางตะวันออกกำลังทำสงคราม ข้าจึงต้องการส่งปืนใหญ่รุ่นแรกไปทดสอบเสียก่อน อีกทั้งราชวงศ์หยูก็ต้องการชัยชนะเช่นเดียวกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “สงครามครานี้จะต้องจบให้เร็วที่สุด หากทำสงครามยืดเยื้อจะมิส่งผลดีกับราชวงศ์หยู ทั้งยังนำพามาซึ่งความร้ายแรงในภายหลัง”

ต่งชูหลานนึกถึงคำที่ท่านพ่อกล่าว จึงรู้ดีว่าเงินในคลังหลวงเหลือน้อยเต็มทน อีกทั้งเพิ่งจะล้มล้างตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองตระกูล สองตระกูลนี้มีรากหยั่งลึก ผู้หลงเหลือในตระกูลก็มิน้อย หากราชวงศ์หยูพ่ายแพ้สงคราม บรรดาพวกเขาเหล่านั้นอาจจะก่อความไม่สงบแก่ราชวงศ์ได้

เมื่อทั้งสามสนทนากันเรื่องราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมามาก แต่กลับหันความสนใจไปยังการค้า

สตรีทั้งสองนางให้ความสนใจยิ่ง เนื่องจากการค้าของพวกนางใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการเงินทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เรือนหนานซานของราชวงศ์จะต้องใช้เงินหลายแสนเพื่อปรับปรุง มิต้องกล่าวถึงค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงในแต่ละวัน

พวกเขาคุยถึงเรื่องเหล่านี้ในรถม้า ขณะเดียวกัน ณ ห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้หยูตี้ เยี่ยนซีเป่ย เยี่ยนซือเต้า ต่งคังผิง และยังมีชางกวนเหวินซิ่วที่กำลังเจรจาเกี่ยวกับเงินเช่นกัน

“สำนักศึกษาจะเผยแพร่การพัฒนาระหว่างการค้าและการเกษตรควบคู่กัน จากนั้นขอร้องให้กั๋วจื่อเจี้ยนนำนโยบายนี้ประกาศไปยังสำนักศึกษาทั่วประเทศ ให้บรรดาผู้ร่ำเรียนได้รับรู้ว่า การร่ำเรียนหนังสือมิใช่เพียงสามารถเป็นขุนนางได้อย่างเดียวเท่านั้น สามารถไปทำการทดลองต่าง ๆ หรือไปเป็นพ่อค้า เหล่านี้ล้วนเป็นทางออกที่ดี กั๋วจื่อเจี้ยนควรให้คนทั้งประเทศรู้ว่าพ่อค้ามิใช่คนชั้นต่ำ พวกเขาสูงส่งเช่นเดียวกับการเป็นขุนนาง”

แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านซั่ง จงซูลิ่งแห่งเสมียนกลางจะเคยเอ่ยเรื่องนี้กับเขามาก่อน แต่บัดนี้เมื่อฟังดูก็ยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้

เมื่อพบว่าชางกวนเหวินซิ่วมีสีหน้างุนงง ฝ่าบาททรงครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “นี่คือนโยบายของฟู่เสี่ยวกวน เจ้าจงกล่าวกับเขาไปว่า ฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดเห็นว่าใต้หล้านี้ การค้าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ”

เยี่ยนเป่ยซีมองไปยังฝ่าบาทแล้วนึกในใจว่า ฝ่าบาทช่างปัดความผิดได้ดีเสียจริง เนื่องจากบรรดานักเรียนให้ความเคารพนับถือฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าเหมาะสมแล้ว

เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนทำการค้า และเขายังทำการค้นคว้าและวิจัยอีกด้วย มิเชื่อเยี่ยงนั้นรึ ? หากมิเชื่อพวกเจ้าจงไปดูที่ภูเขาซีซานสิ

ที่ว่ากันว่าสั่งสอนโดยการกระทำให้ดูเป็นแบบอย่าง คงจะหมายถึงเช่นนี้

ชางกวนเหวินซิ่วเข้าใจแล้ว แต่กลับได้ยินฮ่องเต้เอ่ยต่อมาว่า “จงให้กั๋วจื่อเจี้ยนรับสมัครนักเรียนที่สนใจการค้นคว้าและวิจัย ข้าจะจัดตั้งวิชาการค้นคว้าและวิจัย ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย ผู้สอนและผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นผู้ใด อายุเท่าใด เพียงแค่มีความสนใจในการค้นคว้าและวิจัย ปรารถนาที่จะถ่ายทอดและปรารถนาที่จะรับรู้ สามารถเข้าศึกษาได้โดยมิเสียข้าใช้จ่าย ส่วนอาจารย์ผู้สอนได้รับค่าตอบแทนตามปกติ ผู้ที่ร่ำเรียนจะได้ค่าตอบแทนเดือนละ 3 ตำลึง”

“ข้าไม่เชื่อว่าจะมิสามารถเผยแพร่การค้นคว้าและวิจัยได้ ! ”

“เจ้าจงจำไว้ว่า บัดนี้กรมอุตสาหกรรมที่ว่างงานอยู่หลายคน ข้าจะแบ่งกลุ่มทำงานใหม่ และคนที่จะเข้าไปในกรมอุตสาหกรรมจะต้องคัดเลือกจากผู้ร่ำเรียนการค้นคว้าและวิจัย จะประกาศข้อกำหนดคัดเลือกโดยละเอียดในภายหลังอีกครา…”