พระชายาองค์ชายสี่คงไม่ได้กำลังล้อเล่นหรอกกระมัง ทำไมทำได้กระทั่งเอ่ยว่าตนจะหาเรื่องผู้อื่นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด ตามหลักแล้วต่อให้จะหาเรื่อง ก็สมควรปิดบังเสียหน่อยไม่ใช่หรือ
เมื่อเห็นทุกคนมีท่าทางสงสัยทั้งยังเหมือนจะหวาดกลัวด้วย
เยี่ยเม่ยมองพวกนาง ยิ้มเอ่ย “ทำไมกัน พวกเจ้าคิดว่า ต่อให้ข้าคิดจะหาเรื่องคน ตามหลักแล้วสมควรปิดบัง หาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อปกปิด เช่นนี้ถึงนับว่าสมควรมากกว่าใช่หรือไม่”
“คือ…” ใช่แล้ว พวกนางคิดเช่นนี้จริงๆ
แต่ไม่ว่าจะเอ่ยอย่างไร ต่อให้คิดเช่นนั้นจริง เมื่อเยี่ยเม่ยอยู่ที่นี่พวกนางต่างก็ไม่กล้าเอ่ยความจริงแล้ว เมื่อกล่าวออกมา ฟ้าเท่านั้นถึงจะรู้ว่าจะเป็นปัญหาหรือไม่
ถึงพวกนางไม่พูด เยี่ยเม่ยก็เข้าใจว่าพวกนางคิดอะไร
เยี่ยเม่ยเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ในสถานการณ์ไหนกันที่ต้องปิดบังยามหาเรื่องคนอื่น ไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองกำลังจัดการนางเท่านั้นกันล่ะ นั่นย่อมเป็นสถานการณ์ที่มีกำลังไม่แข็งแกร่งมากพอ หากมีความสามารถในการกดดัน เช่นนั้นทำร้ายนางก็คือทำร้ายนาง ยังต้องปกปิดอะไรอีก”
ทุกคน “…” ก็ได้ พวกเรารู้สึกว่าไม่อาจโต้แย้งกลับไปได้
เพียงแต่ท่าทางเช่นนี้ของพระชายาจะไม่เหิมเกริมไปหน่อยหรือ แต่เมื่อคิดถึงกำลังทหารในมือเยี่ยเม่ย ทั้งยังเป็นคนที่ฮ่องเต้ค่อนข้างเชื่อใจ ซ้ำเป็นสะใภ้ที่ฮ่องเต้โปรดปรานมาก จวนนางยังมีองค์ชายสี่อีกคน
องค์ชายสี่เป็นคนที่หญิงชายทั่วราชสำนักได้ยินชื่อแล้วต่างก็หวาดกลัว
ผู้อื่นเหิมเกริมเช่นนี้ก็มีคุณสมบัติมากพอ แต่ทุกคนก็อดสงสัยไม่ได้ เซี่ยชูมั่วทำอะไรกันแน่ถึงทำให้พระชายาเกลียดนางถึงเพียงนี้ การทำให้เกลียดได้ถึงขั้นนี้นั่นคงเป็นเรื่องที่เกินกว่าเหตุแล้วใช่หรือไม่
ด้วยเหตุนี้ใครบางคนจึงถามว่า “พระชายา เมื่อก่อนนางทำเรื่องโง่เขลาล่วงเกินท่านแล้วหรือ”
“ถูกแล้ว” เยี่ยเม่ยตอบตามตรง กวาดตามองคนทั้งหมด เอ่ยแช่มช้าว่า “บุรุษที่นางชอบไม่ชอบนาง นางถึงระบายโทสะใส่ข้า ข้ายังจะทำอันใดได้เล่า ข้าก็ได้แต่จัดการนางคืนแล้ว”
ทุกคน “…” ทำไมฟังจากน้ำเสียงท่านแล้วคล้ายท่านจะจนปัญญาเหลือเกินเล่า
แต่นี่ก็ถูก เซี่ยชูมั่วเป็นฝ่ายไปหาเรื่องพระชายาเอง ก็คงไม่อาจให้พระชายากล้ำกลืนโทสะนี้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกกระมัง
เยี่ยเม่ยไม่ได้กล่าวออกมาชัดเจนว่า เซี่ยชูมั่วหาเรื่องให้นางไม่พอใจอย่างไร แต่ทุกคนก็เริ่มคาดเดา คิดถึงข่าวลือเมื่อสองวันก่อน ภาพชุนกงที่เกี่ยวกับเยี่ยเม่ยและอี้อ๋อง อีกทั้งคนทุกคนรู้เรื่องที่เซี่ยชูมั่วชอบอี้อ๋องอยู่ก่อนแล้ว
ดังนั้น…
เมื่อร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกัน ก็เหมือนจะถูกต้องแล้ว
ในใจทุกคนต่างเริ่มคิด เพียงไม่มีใครกล้าถาม อย่างไรเสียภาพประเภทนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ชื่อเสียงสำหรับหญิงสาวก็เสื่อมเสีย ถามออกมาเกรงว่าเยี่ยเม่ยจะไม่พอใจ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เยี่ยเม่ยตวัดสายตามองสาวใช้ด้านข้าง สั่งว่า “ไปเรียกให้คุณหนูเจ้าลุกขึ้นเถอะ บอกให้นางรีบมา ข้ายังคิดหาเรื่องนางต่ออีก”
ทุกคน “…” ท่านช่วยปกปิดสักหน่อยจะได้ไหม
แต่ว่า
คนจำนวนไม่น้อยต่างมีใจอยากชมเรื่องสนุก ในบรรดาสตรีชั้นสูง ฐานะของเซี่ยชูมั่วสูงมาก ธิดาคนเดียวของจวนโหว บิดานางได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ดังนั้นถึงแต่งตั้งนางเป็นท่านหญิง ดังนั้นก่อนหน้านี้คนไม่น้อยต่างก็อิจฉาเซี่ยชูมั่ว
ยามนี้เห็นคนที่ตัวเองอิจฉาเคราะห์ร้ายติดๆ กัน ในใจพวกนางจะไม่ยินดีได้หรือ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยชูมั่วมีความสามารถด้านการเขียนบทความ มักได้หน้าในวังหลวงอยู่เรื่อย เอะอะก็กดหัวพวกนางลงไปขั้นหนึ่ง ดังนั้นสายตาของทุกคนเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง แฝงด้วยความสนใจอยากชมเรื่องสนุก
บ่าวไพร่เหงื่อผุดเต็มขมับ ถ่ายทอดคำสั่งให้เซี่ยชูมั่วที่อยู่ห่างออกไปห้าเมตรฟัง นางรู้สึกตื่นเต้นมาก ทั้งกังวลว่าเมื่อนางพูดจบแล้ว ท่านหญิงจะพลอยโมโหนางไปด้วย รอนางไปอยู่เบื้องหน้าเซี่ยชูมั่วถ่ายทอดคำพูดของเยี่ยเม่ยออกไปโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เซี่ยชูมั่วที่เหมี่ยวเจินกำลังพยุงลุกขึ้น ก็ขาอ่อนจนเกือบเป็นลมล้มพับไปแล้ว เยี่ยเม่ย นางทำเกินไป เหิมเกริมไปแล้วหรือเปล่า
“ท่านหญิง ท่านสงบสติหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาสุขภาพไว้นะเจ้าคะ” เหมี่ยวเจินรีบเกลี้ยกล่อม ใต้เท้าไป๋หลี่บอกแล้ว ภายหน้าเซี่ยชูมั่วมีประโยชน์ต่อทุกคน อย่าได้อ่อนแอจนถึงขั้นรับการโจมตีไม่ได้ก็ตายไปเสียก่อน หากเป็นเช่นนี้คงเกิดเรื่องแล้ว
แต่ว่าก็คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง เหมี่ยวเจินแอบคิดเงียบๆ…
มองสีหน้าสิ้นหวังของเซี่ยชูมั่ว คล้ายไม่คิดถนอมร่างกายตน เหมี่ยวเจินฉุกคิดถึงคำกำชับของใต้เท้าไป๋หลี่ รีบกล่าวว่า “หากท่านถูกเยี่ยเม่ยเล่นงานจนเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ นั่นไม่เท่ากับว่าปล่อยให้เยี่ยเม่ยได้เปรียบง่ายๆ แล้ว”
“จริงสิ” ทันที่เซี่ยชูมั่วได้ฟังว่าปล่อยให้เยี่ยเม่ยได้เปรียบแล้ว นางก็รักษาอาการอ่อนแอของตัวเองได้ภายในไม่กี่วินาที ลุกขึ้นมายืนมั่นคงทันที
จริงด้วย นางถูกโจมตีอย่างรุนแรงขนาดนี้แล้ว จะปล่อยให้ศัตรูของนางได้เปรียบได้ยังไง
นางทนไม่ได้แน่
นางสะกดความเจ็บปวดอัดแน่นหัวใจ ก้าวไปอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ยทีละก้าวๆ เดินไปยังสวนดอกไม้ เพื่อเผชิญหน้ากับคนที่จะจัดการตน
รู้ทั้งรู้ว่าเยี่ยเม่ยเรียกตนเข้าไปเพื่อคิดจะหาเรื่องต่อ แต่ว่าฐานะบังคับ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลังจากเดินมาถึงเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย นางก็คารวะด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ “พระชายาองค์ชายสี่”
เยี่ยเม่ยมองนาง ถามเสียงเย็นว่า “เจ้าคิดว่าท่าทางคารวะของเจ้าถูกต้องแล้วหรือ”
เซี่ยชูมั่วมุมปากกระตุก ใจยิ่งเต้นระส่ำ ในใจเกิดความคิดจะระเบิดอารมณ์แล้ว แต่จนปัญญาที่ฐานะพิเศษนั้น นางได้แต่กัดฟันทน เอ่ยปากอธิบายว่า “พระชายาองค์ชายสี่ ผู้น้อยหาได้จงใจไม่เคารพท่าน เพียงแต่เมื่อครู่คุกเข่าอยู่สักพัก ยังยืนได้ไม่ค่อยมั่นคงนัก”
นี่คือเรื่องจริง ดังนั้นขาของนางจึงไม่อาจโค้งได้ตามมาตรฐาน
เยี่ยเม่ยเหลือบมอง “เจ้าคิดว่า ข้าที่มาหาเรื่องคนจะสนใจฟังเหตุผลของเจ้าหรือ”
เซี่ยชูมั่วพูดไม่ออก
นางรีบปรับท่ายืน ก้มเอวยืนมั่นคง แสดงออกด้วยท่าทางตามมาตรฐาน ไม่ซวนเซเลยสักนิดเดียว
เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองนาง “เจ้ารู้ว่ายืนให้ดีก็ดีแล้ว ข้ากลัวเจ้าจะลืมท่วงท่าการยืน ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้าก็ยังไม่เคารพอีก ดังนั้นเจ้ายืนท่านี้ไว้สักหนึ่งก้านธูปเพื่อให้หลาบจำเถอะ”
อะไรนะ?
เซี่ยชูมั่วไม่อยากเชื่ออีกครั้ง
คุกเข่าที่พื้นครึ่งชั่วยาม นางคิดว่าขาคงพิการแล้ว เยี่ยเม่ยยังให้นางยืนท่านี้ ก้มเอวอีกหนึ่งก้านธูปหรือ
ตอนคุกเข่ายังดีที่พื้นยังพอให้นางพิงไว้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคุกเข่าได้มั่นคง แต่ว่าการรักษาท่ายืนไว้ ไม่มีที่ให้พึ่งพิงเลย นางจะยืนนิ่งได้อย่างไร โดยเฉพาะนางเพิ่งคุกเข่ามาครึ่งชั่วยาม ตอนนี้แข้งขาอ่อนไปหมด ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมาก
ครั้นเห็นท่าทางไม่ยินยอมของอีกฝ่าย เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “เจ้าต้องยืนให้มั่นคง ห้ามเอียงเลยสักน้อย หากยืนไม่ได้ ข้าจะให้เจ้ายืนนานขึ้นอีกหนึ่งก้านธูป”
เซี่ยชูมั่วเดิมที่กำลังปรับท่ายืนให้สบายขึ้น พลันไม่กล้าขยับแล้ว
เยี่ยเม่ยมองคนทั้งหมดทีหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนแรกข้าคิดให้นางยืนสักหนึ่งชั่วยาม ห้ามขยับเด็ดขาด แต่พอคิดแล้ว หากนางร่างกายรับไม่ไหว ยืนจนค้างตายไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็คงไม่อาจหาเรื่องนางต่อไปได้แล้วน่ะสิ”
ทุกคน “…”
ทุกคนเหลือความคิดเดียวในใจ นั่นก็คือพระชายาองค์ชายสี่เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกนางไม่มีทางล่วงเกินอีกฝ่ายง่ายๆ แน่ ไม่เช่นนั้นอย่าว่าจะถูกทรมานจนตายเลย ได้ยินคำพูดเหล่านั้นของพระชายาก็น่าจะโมโหตายเช่นกันเถอะ
แล้วก็เป็นจริง หลังจากเซี่ยชูมั่วฟังแล้วแทบหายใจไม่ออกล้มพับไปแล้ว แค่จะสลบนางยังไม่กล้าเลย เกรงว่าหากสลบไปแล้ว เยี่ยเม่ยจะเปลี่ยนวิธีใหม่มาทรมานนางอีก ดังนั้นได้แต่ฝืนยืนให้มั่น แม้แต่ลมยังไม่กล้าผายออกมา สะกดกลั้นเพลิงโทสะในใจยืนต่อไป
เซี่ยชูมั่วก็เห็นหญิงสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยเริ่มประจบประแจง แต่ละคนๆ ยกยอเยี่ยเม่ยคล้ายเป็นดั่งเทพธิดานางฟ้าก็ไม่ปาน เยี่ยเม่ยเป็นคนหลงตัวเอง ครั้นได้ยินคำเยินยอเสนาะหูของทุกคนก็รู้สึกสบายใจ ซ้ำเข้าใจว่าทุกคนชื่นชมจากใจอีกด้วย
เซี่ยชูมั่วเห็นสถานการณ์นี้ก็ยิ่งโมโหแล้ว
เดิมทีนางคิดว่าเยี่ยเม่ยจะเป็นเหมือนนาง เมื่อภาพโสมมพวกนั้นแพร่ออกไป เมื่อนางได้รับการดูแคลน เยี่ยเม่ยก็ได้รับการดูแคลนเช่นกัน
แต่ตอนนี้เล่านางถูกคนหลีกห่างราวอสรพิษ คนทั้งหมดเป็นดังดาวล้อมเดือน ห้อมล้อมประจบประแจง ผลลัพธ์เช่นนี้นางจะทนรับได้อย่างไรกัน
เมื่อคิดเช่นนี้ เซี่ยชูมั่วก็ยิ่งเกิดโทสะ
เยี่ยเม่ยมองสีหน้าโมโหของเซี่ยชูมั่ว ถามว่า “ทำไม เห็นทุกคนชื่นชมข้าจากใจ ส่วนเจ้ากลับต้องยืนอย่างทรมานอยู่ที่นี่ หัวใจคงอัดแน่นไปด้วยความไม่พอใจสินะ”
เซี่ยชูมั่ว “…” ชื่นชมเจ้าจากใจ? เยี่ยเม่ยเจ้ากล้าพูดนัก
นางกัดฟันแน่น “พระชายาคิดมากไปแล้ว ข้าน้อยมิกล้าไม่พอใจ”
“ไม่กล้าไม่พอใจ นั่นก็แสดงว่าไม่พอใจอยู่นิดหน่อยแล้ว? อืม ไม่สิ สมควรเป็นรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งแต่ไม่กล้าพูดออกมา ใช่ไหม” เยี่ยเม่ยถามกลับด้วยรอยยิ้มร่า
เซี่ยชูมั่วกัดฟันไม่กล้าส่งเสียงค้าน หวาดกลัวจับจิต นางกลัวว่าเมื่อตัวเองตอบกลับไปด้วยคำพูดโกหก เยี่ยเม่ยจะบอกว่านางโกหกจัดการนางอีก นางกลัวว่าหากพูดความจริงออกไป เยี่ยเม่ยก็จะบอกว่านางไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา กลับไม่พอใจ หาเรื่องนางอีกครั้ง หากไม่ตอบเกรงว่าเยี่ยเม่ยจะจัดการนางเพราะเหตุผลเดิมที่ว่าอีกฝ่ายถามแล้วนางไม่ตอบอีกครั้ง เมื่อคิดเช่นนี้เซี่ยชูมั่วก็พบว่าไม่ว่าทำอย่างไรก็ล้วนไม่ถูก ชวนให้เหน็ดเหนื่อยไปทั้งกายใจ หลังจากนางรู้สึกหมดอาลัยก็เอ่ยว่า “ถึงจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่พระชายาฐานะสูงศักดิ์ ต่อให้ไม่พอใจอยู่บ้าง ผู้น้อยก็สมควรอดทนไว้ ดังนั้นพระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ยอมไม่เคารพท่านอีก”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ตอบว่า “ดีมาก ได้ฟังว่าเจ้าไม่พอใจ ทั้งไม่กล้าพูดออกมา ซ้ำยังต้องฝืนสะกดความรู้สึกเอาไว้ ข้าก็วางใจแล้ว”
ทุกคนนิ่งเงียบ ในชั่วขณะนี้พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองสมควรใช้คำพูดประเภทไหนเพื่อบรรยายความอับจนปัญญาที่อยู่ในเบื้องลึกของหัวใจ
แต่ก็ถูก พวกนางไม่ได้รู้สึกเห็นใจเซี่ยชูมั่ว ใครจะเห็นใจคนที่ตัวเองไม่ชอบกันเล่า
เซี่ยชูมั่วโมโหเจียนตายแล้ว
ส่วนเยี่ยเม่ยก็เหมือนกับกลัวว่านางจะยังโมโหไม่พอ จึงเอ่ยปากต่อว่า “ทุกคนต่างก็แปลกใจ ทำไมข้าถึงแจ้งให้ทุกคนมาร่วมงานเลี้ยงชมบุปผานี้สินะ”
ทุกคนเงียบไป ยิ้มเจื่อนๆ ไม่กล้าพูด
เยี่ยเม่ยเองก็พอรู้ว่าพวกนางถูกทำให้ตกใจแล้ว ไม่กล้าพูดจึงยิ้มเอ่ยว่า “ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ พูดมาตามตรงเถอะ”
มีคนเอ่ยว่า “แปลกใจอยู่บ้างจริงๆ ในเมื่อพระชายาเอ่ยปากเอง เป็นการไว้หน้าเซี่ยชูมั่วแล้ว พวกเราล้วนคิดว่าท่านชอบเซี่ยชูมั่วมาก”
เยี่ยเม่ยส่ายหน้า จ้องเซี่ยชูมั่วที่ยืนด้วยความยากลำบาก ทั้งมีใบหน้าโมโหเจียนตาย เอ่ยว่า “ข้าก็เพียงเลือกฤกษ์งามยามดีมาหาเรื่องนาง ได้ยินว่านางจัดงานเลี้ยงเชื้อเชิญทุกคนมา ข้ารู้สึกว่าเป็นเวลาดีนัก กลัวว่าพวกเจ้าจะไม่มา ทุกคนจะไม่ได้เห็นความน่าอนาถของนาง ดังนั้นจึงส่งสารถึงพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะมาร่วมชมการทรมานคนนี้ด้วยกัน”
“ฮ่า…” คนที่เอ่ยปากถามเยี่ยเม่ย หลุดขำออกมา
ชั่วขณะนั้นทุกคนคิดว่าเยี่ยเม่ยเป็นคนจริงนัก ทั้งรู้สึกว่าเซี่ยชูมั่วช่างน่าสงสาร ยังมีบางคนที่เดิมไม่คิดมาร่วมงานชมบุปผา จึงไม่พอใจเยี่ยเม่ยเพราะเหตุนี้ หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเม่ยแล้ว ความไม่พอใจเหล่านั้นก็มลายหายไป
ที่แท้ได้บีบให้พวกนางไว้หน้าเซี่ยชูมั่ว แต่ให้พวกนางมาชมเซี่ยชูมั่วตกระกำลำบาก
เซี่ยชูมั่วพลันรู้สึกว่าเลือดคำหนึ่งมาจุกอยู่ที่ลำคอ นางโมโหจนหูได้ยินเสียงอื้ออึงไปหมด…