นางเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นไม่ทราบว่าพระชายาคิดจะทรมานผู้น้อยไปอีกนานแค่ไหน ถึงจะยอมปล่อยตัว”
หลังจากเยี่ยเม่ยคิดแล้ว ก็เอ่ยว่า “ข้าทรมานเจ้าสักวันหนึ่งดูก่อน หากผ่านไปแล้วรู้สึกพอใช้ได้ งั้นก็จบเพียงเท่านี้ แต่หากโทสะในใจยังไม่คลาย งั้นข้าทำได้เพียงแค่คิดต่อในวันพรุ่งนี้ว่าจะทรมานเจ้าอย่างไรต่อไปดี”
“เจ้า” เซี่ยชูมั่วโมโหจนแทบคลั่งไปถึงขั้นเริ่มมีความคิดจะฆ่าคนขึ้นมาแล้ว
หากในมือนางมีมีดเล่มหนึ่ง นางไม่มั่นใจจริงๆ ว่าตัวเองจะเอามีดแทงเยี่ยเม่ยหรือไม่
หลังจากสูดหายใจลึกๆ แล้ว ก็เอ่ยว่า “พระชายา ผู้น้อยสำนึกผิดแล้วจริงๆ ปล่อยข้าเถอะนะ ต่อไปข้าจะไม่เป็นปรปักษ์กับท่านอีกแล้ว”
เยี่ยเม่ยแค่นเสียงเย็น “ข้ายอมเชื่อว่าเจ้าไม่กล้าเป็นปรปักษ์กับข้าอีกแล้ว แต่ว่าเซี่ยชูมั่วเจ้าเชื่อตัวเองหรือไม่”
เซี่ยชูมั่วสะอึกไปเล็กน้อย
ความจริงถึงตอนนี้นางยอมสยบ แต่ในใจนางยังเคียดแค้นเยี่ยเม่ย แทบอยากเห็นอีกฝ่ายตายตรงหน้า หากมีโอกาสใดที่จัดการเยี่ยเม่ยได้ นางย่อมไม่พลาดแน่
ดังนั้นการที่นางบอกว่าต่อไปจะไม่เป็นปรปักษ์กับเยี่ยเม่ยอีกแล้ว อย่าว่าแต่เยี่ยเม่ยเลย ต่อให้เป็นนางเองก็ยังไม่เชื่อ
เยี่ยเม่ยเห็นนางตอบไม่ได้ ยิ้มกล่าวต่อว่า “ดังนั้นน่ะ ในเมื่อรู้ว่าเจ้ายังคงเป็นปรปักษ์กับข้าต่อไป ข้าก็ได้แต่ชิงทรมานก่อนแล้ว ให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยเจียนตาย ทุกวันได้แต่กลัดกลุ้ม ห่วงตัวเองยังแทบไม่ทัน ไม่มีเวลาเป็นปรปักษ์กับข้าอีก เจ้าว่าความคิดข้าเป็นยังไง เรียกว่าเหนือล้ำได้หรือเปล่า”
ทุกคน “…” พวกนางพอจะเข้าใจบ้างแล้วว่า ปีศาจอย่างองค์ชายสี่ทำไมถึงชอบคนอย่างพระชายาได้ คนประเภทเดียวกันถึงอยู่จวนเดียวกันได้
เซี่ยชูมั่วกัดฟันแน่น นิ่งเงียบไปแล้ว
เดิมคิดขอร้อง แต่กลับถูกเยี่ยเม่ยมองออกปราดเดียว นางไม่สำนึกผิดจากใจ โลกนี้คงไม่มีเรื่องอะไรที่น่ากระอักกระอ่วนไปกว่านี้อีกแล้ว
“ไม่มีคำพูดงั้นก็ยืนให้ดีๆ อย่าเปลืองน้ำลายเอ่ยมากความอีก ไม่ใช่แค่เปลืองแรงเจ้า แต่ข้ายังต้องทนฟังด้วย”
คราวนี้เซี่ยชูมั่วไม่คิดพูดอะไรอีก
ส่วนคนทั้งหลายก็เริ่มพูดคุยสัพเพเหระ พูดไปถึงเรื่องน่าสนุกที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงระยะนี้ พลางชมความน่าอนาถของเซี่ยชูมั่วไปด้วย
เซี่ยชูมั่วส่งสายตาหาเหมี่ยวเจิน ให้นางไปตามท่านพ่อมาช่วย
เหมี่ยวเจินต้องการความไว้ใจจากเซี่ยชูมั่ว ภายใต้สถานการณ์นี้ไม่อาจไม่ทำตาม ดังนั้นนางจึงรีบวิ่งไป
แต่ยังก้าวไปยังไม่ถึงสองก้าว
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “เจ้าจะไปไหน ไปหาคนมาช่วยเซี่ยชูมั่วหรือ ทำไม เห็นข้าเป็นคนตายมองไม่เห็นว่าเจ้าจะวิ่งไปหาคนช่วยแล้วหรือ หรือเจ้าคิดว่าท่านหญิงของพวกเจ้ายืนอยู่ที่นี่เหงาเกินไป ดังนั้นเจ้าอยากยืนคำนับเป็นเพื่อนนาง เพื่อแสดงถึงความภักดีของเจ้า”
เหมี่ยวเจินชะงักฝีเท้า ไม่รู้ว่าใต้เท้าไป๋หลี่บอกพระชายาหรือไม่ว่าตนเองเป็นคนของใต้เท้า พระชายาอย่าได้คิดว่านางจงรักภักดีต่อท่านหญิงแล้วพลอยจัดการนางไปด้วยเช่นนั้น
ในใจเหมี่ยวเจินโบกกระพือธงพันธมิตรอย่างคลุ้มคลั่งให้กับเยี่ยเม่ย แทบจะบอกเยี่ยเม่ยออกไปว่า ตัวนางเป็นพวกเดียวกันแล้ว หากว่าพระชายาจะเข้าใจผิดพลั้งทำร้ายพวกเดียวกันเอง
แต่ธงที่โบกสะบัดอยู่ภายในใจนางนั้น เยี่ยเม่ยไม่รู้เอาเสียเลย
เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงขรึมว่า “ยังยืนที่เดิมไม่หันมาอีก จะให้ข้าไปจับเจ้ากลับมาเองหรือไง”
เซี่ยชูมั่วรีบหลับตาลง รู้ในทันทีว่าหวังให้เหมี่ยวเจินไปหาคนช่วยเหลือคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
เหมี่ยวเจินฟังคำพูดเยี่ยเม่ยได้แต่เดินกลับมายืนข้างเยี่ยเม่ยอย่างเชื่อฟัง ทั้งเอ่ยกับเยี่ยเม่ยว่า “พระชายาโปรดระงับโทสะด้วย เมื่อครู่บ่าวเพียงแค่ร้อนใจ หาได้คิดไปหาคนช่วยเหลือ”
“อ้อ?” เยี่ยเม่ยฟังแล้วถามว่า “งั้นตอนนี้เจ้ายังร้อนใจหรือไม่”
เหมี่ยวเจินรีบเอ่ยว่า “ไม่…ไม่ร้อนใจแล้ว ไม่ร้อนใจเลยสักนิด ท่านวางใจเถอะ ข้าหายดีแล้ว คงเป็นเพราะเมื่อครู่เดินไปได้สองก้าว เหงื่อไหลออกมาบ้าง ดังนั้นถึงได้คลายความร้อนใจ”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว ไม่เช่นนั้นข้ายังกังวลว่า เจ้าแกล้งทำเป็นร้อนใจ ความจริงไปหาคนมาช่วยจัดการข้าด้วยซ้ำ”
เหมี่ยวเจินไม่กล้าพูดอะไร
เยี่ยเม่ยส่งตามองเหมี่ยวเจิน แววตานั้นแฝงความขบขันไว้ไม่น้อย
เหมี่ยวเจินตระหนักได้ทันที รีบส่งสายตามองเยี่ยเม่ยกลับไป คราวนี้เหมี่ยวเจินค่อยเข้าใจว่า พระชายารู้ว่านางเป็นสาย เพียงแต่เพื่อให้นางได้รับความวางใจต่อหน้าเซี่ยชูมั่ว จงใจหาเรื่องนาง
แล้วก็เป็นดังคาด
เซี่ยชูมั่วเห็นว่าเหมี่ยวเจินถูกหาเรื่องเหมือนตน อย่าว่าแต่นางไม่สงสัยเหมี่ยวเจินเลยสักน้อย ทั้งยังรู้สึกเสียใจ เพราะนางไม่มีความคิด ไม่หารือกับเหมี่ยวเจินทำเรื่องนั้น ถึงก่อเรื่องทำให้นายบ่าวต่างตกที่นั่งลำบาก
หลังจากเยี่ยเม่ยมองทุกคนแล้ว ก็บอกว่า “ไม่รู้ว่าคุณหนูทั้งหลายเคยได้ยินการลงทัณฑ์อย่างหนึ่งหรือไม่ ร้ายกาจมากเลยทีเดียว นั่นก็คือ…โยนงูลงไปในบ่อแล้วก็โยนคนตามลงไป”
คุณหนูทั้งหลายรวมถึงฮูหยินทั้งหลายได้ฟัง แต่ละคนตกใจจนหน้าซีดเซียว
เซี่ยชูมั่วรู้ดีว่าคำพูดนี้พูดให้ตนฟัง สีหน้าขาวซีดในฉับพลัน หัวใจเต้นระส่ำเกือบเป็นลม
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะบังคับให้ตนเองสงบใจลลงได้ เอ่ยกับเยี่ยเม่ยว่า “พระชายา ต่อให้…ต่อให้ท่านมีฐานะสูงส่งกว่าข้า แต่ข้าก็เป็นท่านหญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ไม่อาจโยนข้าลงไปในบ่องูได้”
คำพูดนี้คือเรื่องจริง คนทั้งหมดพากันมองเยี่ยเม่ย รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ หากเยี่ยเม่ยทำจริงๆ นั่นคือใช้การลงโทษในทางที่ผิด ต่อให้ฝ่าบาททรงเชื่อใจนางแค่ไหน ก็ต้องจัดการนางแน่
บ่องูกับการลงโทษเล็กๆ น้อยๆ อย่างคุกเข่าหรือยืนแสดงการคำนับนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
คิดไม่ถึงว่าเมื่อเยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับปรายตามองเซี่ยชูมั่ว “ใครบอกว่าข้าจะโยนเจ้าลงบ่องูกัน ข้าก็แค่ถามคุณหนูทั้งหลายว่าเคยได้ยินหรือไม่ เจ้าจะร้อนใจอะไรนักหนา”
“เจ้า” เดิมเซี่ยชูมั่วตกใจแทบตายแล้ว เกรงว่าเยี่ยเม่ยไม่พอใจตน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นจะลงมือกับนางเช่นนี้จริงๆ ยามนี้เมื่อเห็นว่าเยี่ยเม่ยไม่คิดทำเช่นนั้น ทางหนึ่งนางก็วางใจ แต่อารมณ์เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงทำให้นางไม่อาจสงบจิตใจได้
เพราะความหวาดกลัวใบหน้าแดงเข้มราวกับตับหมูยังไม่กลับสู่ปกติ
ไม่ช้า เยี่ยเม่ยก็เอ่ยว่า “หืม? เมื่อครู่เจ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองมากเกินไปแล้ว หรือเพราะแผนการข้าสำเร็จแล้ว คิดจะทำให้เจ้าตกใจ เจ้าก็ตกใจจริงๆ หรือ”
เซี่ยชูมั่ว “…”
ทุกคน “…” ต่อให้ท่านคิดทำให้ผู้อื่นตกใจ ก็ไม่เห็นต้องพูดออกมาได้หรือเปล่า
“เมื่อครู่เจ้ากลัวมากใช่ไหม ถึงขั้นแทบปัสสาวะเรี่ยราด ควบคุมตัวเองไม่ได้หรือไม่” เยี่ยเม่ยถามเซี่ยชูมั่วด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้ม
เซี่ยชูมั่วเห็นรอยยิ้มนั้นก็รู้สึกขัดตาเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะด้วยฐานะหรือฝีมือล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเม่ย นางคิดตบเยี่ยเม่ยสักฉาดหนึ่ง เพื่อทำให้รอยยิ้มขัดตานั้นหายไปซะ
เมื่อฟังเยี่ยเม่ยกล่าว นางโมโหจนสุดขีด เพราะว่าเยี่ยเม่ยพูดถูกแล้ว เมื่อครู่นางจินตนาการถึงความรู้สึกยามงูพวกนั้นอยู่บนร่าง นางก็ตกใจจนแทบทนไม่ไหว เกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่
จากนั้นเยี่ยเม่ยก็เอ่ยว่า “ดูสีหน้าคล้ำของเจ้าสิ ไม่ต้องบอก ดูก็รู้ว่าข้าเดาถูกแล้ว เฮ้อ หากเจ้ากลัวจริงๆ อยากไปสุขา เจ้าก็ปล่อยออกมาเถอะ ข้าไม่หัวเราะเยาะเจ้าแน่”
เซี่ยชูมั่วหน้าเขียวคล้ำ เอ่ยว่า “พระชายาวางใจได้ ข้าน้อยยังไม่คิดไปสุขา”
“เอ๊ะ งู”
เยี่ยเม่ยพลันร้องขึ้นมาด้วยความตกใจมองด้านหลังเซี่ยชูมั่ว
น้ำเสียงหวาดกลัว ทำให้ทุกคนเบือนตาไปมอง หวาดกลัวอย่างสุดขีด คุณหนูจำนวนไม่น้อยตกใจจนกอดกันกลม ส่วนเซี่ยชูมั่วที่ตกใจเพราะเรื่องบ่องูเมื่อครู่ได้ยิน จิตใจที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบได้ก็แตกตื่นไม่เป็นท่า นางคิดหลบงูที่อยู่ด้านหลัง ในขณะเดียวกันก็กลั้นไม่อยู่สูญเสียการควบคุมตัวเองไปแล้ว
เมื่อเห็นปัสสาวะราดอยู่บนพื้น เยี่ยเม่ยพลันถอนใจเอ่ย “โธ่เอ๋ย ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น”
คนทั้งหมดมองไปด้านหลังเซี่ยชูมั่ว สิ่งที่เห็นก็คือไม่มีงู ที่ทุกคนหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ล้วนแสดงออกเกินไป
เดิมทีทุกคนไม่พอใจที่เยี่ยเม่ยทำให้ตกใจ แต่เมื่อเห็นเซี่ยชูมั่วปล่อยเบาราดกางเกง ความไม่พอใจอัดแน่นก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์อยากชมเรื่องสนุกต่อไป
ยามเมื่อเซี่ยชูมั่วมั่นใจว่าไม่มีงูแล้ว กลับเป็นเวลาเดียวกับที่นางรู้ตัวว่าปัสสาวะราดแล้ว…
หากไม่ใช่เยี่ยเม่ยเอาเรื่องบ่องูหลอกให้นางตกใจ ทั้งยังบอกเป็นนัยว่านางตกใจจนปัสสาวะราด เซี่ยชูมั่วคิดว่าต่อให้เห็นงู นางก็ไม่ตกใจถึงเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงได้ยินแค่เสียงร้องน่าอนาถของเยี่ยเม่ยเลย
แต่…เยี่ยเม่ย…ดันปูทางมาก่อนหน้าแล้ว
คราวนี้ เซี่ยชูมั่วก็เข้าใจแล้วว่านับตั้งแต่พูดเรื่องบ่องู ผู้หญิงคนนี้ก็คิดทำให้นางขายหน้า อยากให้นางปัสสาวะราดต่อหน้าทุกคน
ส่วนตัวเองก็เดินเข้าสู่กับดักทีละก้าวๆ
ฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายได้กลิ่นเหม็นฉึ่ง พากันเอามือปิดจมูก เอ่ยด้วยความสนใจชมเรื่องน่าสนุกว่า “ท่านหญิง ท่านไม่ระวังเอาเสียเลย ท่านดู พวกเรายังไม่ตกใจถึงเพียงนี้เลย ทำไมมีแต่ท่านคนเดียวเล่า”
เซี่ยชูมั่วคำรามอยู่ในใจ พวกเจ้าไม่ตกใจถึงเพียงนี้นั่นก็เพราะว่าเยี่ยเม่ยไม่ได้เอาบ่องูไปขู่พวกเจ้า ทั้งไม่ได้พูดเรื่องเสียการควบคุมกับพวกเจ้า ยิ่งไม่ได้ส่งสัญญาณอยู่ในใจให้พวกเจ้าหรือเปล่า
“นั่นสิ น่าขายหน้าจัง เป็นผู้หญิงอายุยี่สิบกว่าแล้ว ยังปัสสาวะราดต่อหน้าพวกเราอีก ช่าง…” มีคนอดใจไม่ไหวกล่าวประโยคนี้ออกมา
เซี่ยชูมั่วมั่นใจว่าคงไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ เมื่อคนทั้งหมดออกจากจวนไปในวันนี้ เรื่องที่นางเสียการควบคุมทำเรื่องน่าอายต่อหน้าคนทั้งหมดคงแพร่สะพัดไปทั่ว
ต่อให้นางมีหนังหน้าหนาเพียงไหน สุดท้ายก็ยังเป็นสตรี รับการทำร้ายเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ กระบอกตาร้อนผ่าว ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมา ตวาดใส่เยี่ยเม่ยว่า “พระชายา เจ้าหลอกให้ข้าตกใจเช่นนี้ ท่านมันอำมหิตนัก”
เยี่ยเม่ยมองนางเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าไม่อยากเข้าสุขา ดังนั้นข้าจงใจพูดก็เพื่อหยั่งเชิงว่าเจ้าพูดจริงหรือไม่ ดูสิ ตอนนี้ไม่ใช่แค่เจ้าคิดอยากเข้าสุขาเท่านั้น ทั้งยังปวดจนแทบทนไม่ไหวด้วย”
เยี่ยเม่ยพูดพลางมองปัสสาวะนั้นอย่างมีความหมายแฝง
เพราะว่าหลังเซี่ยชูมั่วปลดปล่อยออกมา น้ำปัสสาวะมีมากเป็นพิเศษ
เยี่ยเม่ยเสริมว่า “ท่านหญิง ถึงข้าลงโทษให้ท่านยืนให้ดีเพื่ออบรม แต่ข้าก็ไม่ใช่คนหยั่งรู้ใจคนอื่นนะ หากเจ้าอยากไปสุขา เจ้าพูดออกมาตามตรงก็ได้ ทำไมต้องอดทนด้วยเล่า เจ้าดูสิ…ปัสสาวะเรี่ยราดอยู่ที่นี่ กระทบอารมณ์ชมบุปผาของทุกคน พวกเรารู้สึกจนปัญญาส่วนเจ้าก็กระอักกระอ่วน ทำไปเพื่ออะไรกัน”
เซี่ยชูมั่วโมโหจนแทบสลบไป ใช้หัวแม่เท้าคิดยังรู้เลยว่า ต่อให้นางขอไปสุขาจริง เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ แต่ตอนนี้สตรีผู้นี้แสร้งมีเมตตากล่าวออกมา นางไร้หนทางเปิดโปง
ส่วนเยี่ยเม่ยก็ถามด้วยความเป็นห่วงในทันที “ท่านหญิง ท่านปลดทุกข์หมดหรือยัง หากยัง ตอนนี้ไปสุขาเพื่อปลดทุกข์ต่อได้ ข้ายินดีรอเจ้า”
สีหน้าเซี่ยชูมั่วพลันไม่น่ามองเข้าไปใหญ่แล้ว ไม่เท่ากับพิสูจน์ว่านางปวดท้องจนทนไม่ไหว ปัสสาวะราดออกมาแล้วเล่า
นางมองน้ำบนพื้น ทั้งคนรอบข้างที่ชมดูละครฉากสนุก เวลานี้หัวใจคล้ายถูกมีดทิ่มแทง
ยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจสู้หน้าใครได้อีก นางกุมหน้าร้องไห้ “ไม่จำเป็นต้องไปสุขาแล้ว แต่ข้าน้อยอยากไปเปลี่ยนชุด ขอให้พระชายาอนุญาตด้วย”
ทุกคนเห็นสภาพอนาถของเซี่ยชูมั่ว คิดว่าหากเยี่ยเม่ยไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไปเปลี่ยนชุด ก็คล้ายไม่เข้าใจความรู้สึกคนเกินไปแล้ว
ส่วนเยี่ยเม่ยคล้ายไม่มีท่าทีจะรังแกคนอีก โบกมือตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไปเถอะ”
เซี่ยชูมั่วเหมือนได้รับรางวัลใหญ่ ภายใต้การประคองของเหมี่ยวเจิน นางรีบเดินไปเปลี่ยนชุด
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งก้าวไปได้สองก้าว เสียงของเยี่ยเม่ยก็ดังตามหลังว่า “ยังบอกว่าจะไปเปลี่ยนชุดอีก ข้าว่าน่าจะคิดไปปลดทุกข์ต่อมากกว่ากระมัง เจ้าคงมีอาการปัสสาวะบ่อย ท่านหญิง อาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่ทัน ปัสสาวะไม่สุด ล้วนมาจากไตไม่ดี ยามปกติเจ้าสมควรรักษาสุขภาพไว้ให้มากนะ”
เซี่ยชูมั่วที่เพิ่งเดินจากไปฟังแล้ว โมโหจนขาสั่นซวนเซ แทบล้มลงไปเสียดื้อๆ”
“ฮะฮ่า…” สตรีทั้งหลายต่างหลุดขำออกมา
มีสตรีที่เงียบอยู่นานผู้หนึ่ง ทนไม่ได้เอ่ยขึ้นว่า “พระชายา ท่านช่างเป็นคนที่พิเศษนัก”
เอ่ยคำพูดนี้ต่อหน้าเซี่ยชูมั่วเห็นได้ชัดว่าไม่กลัวล่วงเกินนาง
คราวนี้เยี่ยเม่ยทนไม่ไหว มองสตรีนางนั้น อย่างไรเสียคนที่ชมความสนุกจำนวนไม่น้อยกล้าหัวเราะกล้าเอ่ยวาจา แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเซี่ยชูมั่วตรงๆ แต่สตรีนางนี้กลับกล่าวพูดออกมาเช่นนี้