ตอนที่ 136 หาคนช่วย / ตอนที่ 137 คำสัญญาหนึ่ง

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 136 หาคนช่วย 

 

 

โดยเฉพาะก่อนหน้า สตรีนางนี้หาได้ส่งเสียงออกมาสักคำ  

 

 

ตอนที่ทุกคนมองไปที่นาง ตอนนี้เองก็มีคนพบว่าคล้ายกับไม่เคยมีใครเห็นนางมาก่อน คราวนี้มีคุณหนูหลายตระกูลอดใจไม่ไหวถามขึ้นว่า “คุณหนูท่านนี้…” 

 

 

เซี่ยชูมั่วเองก็ยังอดไม่ได้หันไปมองนางคราหนึ่ง 

 

 

ถึงแม้เซี่ยชูมั่วส่งเทียบเชิญไปให้คุณหญิงสูงศักดิ์ตระกูลต่างๆ แต่ในความเป็นจริง นางหาได้รู้จักคนทุกทุกตระกูล ดังนั้นตอนที่นางเห็นใบหน้าไม่คุ้นตานั้นก็ไม่คิดมากอีก ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าเยี่ยเม่ย โทสะในใจก็พลุ่งพล่านขึ้นทันที 

 

 

“เจ้าคือใคร” เซี่ยชูมั่วถามด้วยโทสะ  

 

 

สตรีนางนั้นเห็นเซี่ยชูมั่วโมโห หาได้หวาดกลัว กลับหัวเราะออกมา “ท่าหญิงมีเวลาใส่ใจว่าข้าคือใคร ไม่สู้รีบกลับไปเปลี่ยนกางเกงก่อน ท่านหญิงสวมชุดเช่นนี้ ไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือ” 

 

 

นี่เท่ากับจี้ใจดำเซี่ยชูมั่วอีกครั้งหนึ่ง 

 

 

เซี่ยชูมั่วกัดฟันเอ่ยปากว่า “เรื่องนี้ท่านหญิงอย่างข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน เจ้าบอกข้ามาดีกว่าว่าเจ้าเป็นใครกันแน่ ท่านหญิงอย่างข้าไม่อยากให้มีคนกำเริบเสิบสานในจวน แต่ตัวข้ากลับไม่รู้กระทั่งฐานะของนางด้วยซ้ำ” 

 

 

สตรีนางนั้นหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที หันกลับไปมองสาวใช้ด้านหลัง  

 

 

สาวใช้รีบก้าวเข้ามา เชิดหน้าเอ่ยว่า “บังอาจ พบองค์หญิงอันหยางแล้ว ยังไม่คุกเข่าอีก” 

 

 

องค์หญิงอันหยาง?  

 

 

เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว น้องสาวแท้ๆ ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน? ก็คือคนที่ไม่กี่วันก่อนจงรั่วปิงกับนางพูดถึง? ชั่วขณะนี้เยี่ยเม่ยพลันรู้สึกว่าน่าสนใจนัก ทำไมอีกฝ่ายถึงมาอยู่ที่นี่ได้  

 

 

เซี่ยชูมั่วเองก็ชะงักไปเล็กน้อย องค์หญิงอันหยางร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก น้อยครั้งจะออกงานเลี้ยง ดังนั้นพวกนางจึงไม่เคยพบมาก่อน แต่ว่าอยู่ดีๆ ไฉนองค์หญิงอันหยางถึงมาปรากฏตัวที่จวนนางได้เล่า ตัวนางเองจำไม่เห็นได้ว่าเชิญองค์หญิงอันหยางไปเมื่อไรกัน 

 

 

โดยเฉพาะต่อให้เทียบนั้นส่งออกไปก็ไม่อาจส่งเข้าไปในวังได้ ตามกฎแล้ว เหล่าองค์หญิงไม่สามารถออกจากวังได้ตามอำเภอใจ ตอนนี้คือ… 

 

 

นางฉงนถาม “จริงหรือเปล่า ทำไมองค์หญิงอันหยางถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้” 

 

 

นางกำนัลด้านหลังองค์หญิงอันหยางเอ่ยปากว่า “คุณหนูจวนเสนาบดีเข้าวังไปเยี่ยมฮองเฮา พูดถึงงานเลี้ยงชมบุปผาในวันนี้…” 

 

 

องค์หญิงอันหยางฟังแล้วก็ตัดบทว่า “ข้าแปลกใจอยู่บ้าง จึงขออนุญาตเสด็จแม่มาร่วมงาน ดังนั้นญาติผู้พี่หญิงแห่งจวนเสนาบดีถึงได้ยกเทียบเชิญให้ ข้าจึงมาอยู่ที่นี่แล้ว” 

 

 

เมื่อนางตอบ ทุกคนค่อยตระหนักได้ มิน่าว่าที่พระชายาองค์ชายใหญ่ ธิดาที่กำเนิดจากอนุของเสนาบดีถึงไม่มาร่วมงาน 

 

 

คราวนี้หลังจากทุกคนได้สติกลับมา ก็พากันคารวะ รวมไปถึงเซี่ยชูมั่วคุกเข่าลงไปเอ่ยว่า “คารวะองค์หญิงอันหยาง” 

 

 

“ลุกขึ้นเถิด” องค์หญิงอันหยางกล่าวแล้วก็มองเยี่ยเม่ย คลี่ยิ้ม “เดิมข้าแปลกใจว่านิสัยเช่นนั้นของเสด็จพี่สี่จะเลือกพระชายาเช่นไรกัน วันนี้ได้พบพี่สะใภ้สี่ ข้าก็ไม่แปลกใจแล้ว” 

 

 

เยี่ยเม่ยดึงๆ นิ้ว ถามว่า “อย่างนั้นเจ้ามีความเห็นว่าพี่สะใภ้อย่างข้าเป็นเช่นไรกันนะ”  

 

 

“อันหยางชื่นชอบนิสัยท่านมาก” องค์หญิงอันหยางตอบพลางลุกขึ้น รินชาด้วยตัวเอง เอ่ยปากว่า “ว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่อันหยางได้พบท่านพี่สะใภ้สี่ จะอย่างไรก็แล้วแต่ตามเหตุผลแล้วสมควรคารวะน้ำชาท่านพี่ถึงจะถูก”  

 

 

เยี่ยเม่ยมองนางใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม สีหน้าจริงใจนัก ดูท่าแล้วว่าเคารพนางจากใจจริง 

 

 

ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธ พยักหน้ายิ้มรับ “หากเป็นเช่นนี้ ชาจอกนี้ข้าก็คงต้องรับไว้แล้ว” 

 

 

องค์หญิงอันหยางคำนับเยี่ยเม่ยตามกฎเกณฑ์ ยื่นถ้วยชาในมือให้เยี่ยเม่ย 

 

 

นี่คือครั้งแรกที่ทุกคนได้พบองค์หญิงอันหยาง องค์หญิงผู้ประสูติจากฮองเฮาเพียงองค์เดียวของราชสำนักเป่ยเฉิน ทุกคนเองก็คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่ได้พบองค์หญิงอันหยางจะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ 

 

 

คราวนี้สีหน้าเซี่ยชูมั่วบัดเดี๋ยวก็เขียวคล้ำบัดเดี๋ยวก็ขาวซีด และก็รู้ดีว่าที่เมื่อครู่ตัวเองสั่งให้องค์หญิงอันหยางแสดงฐานะออกมานั้น เกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินองค์หญิงอันหยางแล้ว ฮองเฮาทรงโปรดปรานองค์หญิงอันหยางมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คล้ายจะรับปากทุกอย่าง ไม่รู้ว่าหลังจากองค์หญิงอันหยางกลับไปแล้วจะฟ้องฮองเฮาหรือเปล่า  

 

 

เยี่ยเม่ยรับถ้วยชาในมือองค์หญิงอันหยาง หลังจากดื่มคำหนึ่งก็กวาดตามองเซี่ยชูมั่ว เอ่ยว่า “เจ้ายังทำอะไรอยู่ตรงนี้อีก ทำไมยังไม่ไปเปลี่ยนชุด เจ้าไม่รู้หรือไงว่าตัวเจ้าเหม็นแค่ไหน พวกเราได้กลิ่นแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนนัก”  

 

 

เซี่ยชูมั่วถูกลบหลู่เช่นนี้ สีหน้ายิ่งไม่น่าชมไปอีก 

 

 

นางค้อมเอวคำนับ จากนั้นรีบหมุนกายจากไปเพื่อเปลี่ยนชุด 

 

 

เหมี่ยวเจินกลับอดไม่ไหว หันกลับมามองเยี่ยเม่ย ในใจคิดว่าใต้เท้าไป๋หลี่ไม่ให้องค์หญิงซีฆ่าเซี่ยชูมั่ว แต่องค์หญิงกระทำแต่ละอย่างนี่ยังน่ากลัวมากกว่าฆ่าคนมากนัก นี่ทำให้เซี่ยชูมั่วเสียหน้าไม่เหลือหลอ 

 

 

รอเซี่ยชูมั่วจากไปแล้ว 

 

 

เยี่ยเม่ยก็ดื่มชาขององค์หญิงอันหยาง กล่าวว่า “วันนี้ข้าออกมาไม่ได้พกของขวัญอะไรมาด้วย ดังนั้นชาถ้วยนี้ของเจ้าข้าคงได้แต่รับไว้ก่อนแล้ว รอมีโอกาสค่อยมอบอั่งเปาซองใหญ่ให้เจ้าคืน” 

 

 

องค์หญิงอันหยางฟังแล้ว กดยิ้มที่มุมปาก “พี่สะใภ้สี่เกรงใจไปแล้ว อันหยางยกชาคารวะเป็นเพราะเคารพท่านจากใจจริง หาใช่เพราะต้องการของขวัญพบหน้าจากท่าน อีกอย่าง อันหยางเป็นองค์หญิง เสด็จแม่รักถนอมข้ามาก ไม่ขาดตกบกพร่องอะไรทั้งนั้น” 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า ไม่ตอบอะไร 

 

 

อันหยางกลับเปิดบทสนทนา นั่งข้างๆ เยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “พี่สะใภ้สี่ นิสัยของท่านยามปกติก็เป็นเช่นนี้หรือไม่” 

 

 

เยี่ยเม่ยมองนางอย่างประหลาดใจ กลับรู้สึกว่าในสายตาของแม่นางผู้นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา 

 

 

ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงเอ่ยตอบไปว่า “เจ้าเป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ ต่อให้เอาแต่ใจสักหน่อย ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้” 

 

 

องค์หญิงอันหยางฟังแล้ว พลันอึ้งไป ตอบว่า “พี่สะใภ้สี่มองความคิดข้าออกหรือ” 

 

 

นางอิจฉาจริงๆ อิจฉาท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยเม่ย อยากลงมือแกล้งผู้อื่นก็แกล้ง ซ้ำยังพูดว่ามีความสามารถเหนือคนอื่น ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างมาจัดการคน  

 

 

ส่วนนางเล่า ตั้งแต่เล็กเติบโตขึ้นมาในวังหลวง นับตั้งแต่เดินได้ก็ร่ำเรียนพิธีการ อย่าว่าแต่นิสัยใจคอไม่อาจแสดงออกมาได้โดดเด่นนักเลย กระทั่งท่วงท่าการเดินยังมีมาตรฐานอย่างเคร่งครัด จะมีอิสระเสรีอย่างเยี่ยเม่ยได้อย่างไรกัน และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ดังนั้นนางถึงได้อิจฉาเยี่ยเม่ยมากเป็นพิเศษ 

 

 

เยี่ยเม่ยมององค์หญิงอันหยางคราหนึ่ง พยักหน้าให้ “ความคิดของเจ้าเขียนไว้บนใบหน้าหมดแล้ว ข้ามองไม่ออก ไม่เท่าพิสูจน์ว่าข้าตาบอดหรอกหรือ”  

 

 

คำพูดตรงไปตรงมาของเยี่ยเม่ยเช่นนี้ ก็ทำให้องค์หญิงอันหยางหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ 

 

 

นางกล่าวว่า “พี่สะใภ้สี่ อีกเดี๋ยวท่านกลับไป ข้ากลับไปเล่นที่จวนองค์ชายสี่กับท่านได้ด้วยหรือไม่” 

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยไม่อาจตอบไปตามอำเภอใจแล้ว 

 

 

นางรู้ว่าความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับฮองเฮาและฮ่องเต้ไม่ดีนัก ความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเป่ยเฉินเสียงก็ไม่ดีเช่นกัน ดังนั้นไม่เข้าใจว่าน้องสะใภ้คนนี้มีความสัมพันธ์เช่นไรกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 

 

 

ทั้งไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ฮ่องเต้และฮองเฮากระทำกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวัยเด็ก องค์หญิงผู้นี้รู้บ้างหรือเปล่า นี่หากมีข้อบาดหมางกัน พานางกลับจวนองค์ชายสี่ ไม่เท่ากับหาเรื่องให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ยินดีแล้ว 

 

 

องค์หญิงอันหยางเห็นเยี่ยเม่ยไม่ตอบ ยามนี้ก้มหน้าผิดหวังอยู่บ้าง “หากไม่สะดวก เช่นนั้นก็ช่างเถอะ” 

 

 

เห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง คิดถึงคำพูดที่นางกล่าวกับเซี่ยชูมั่วเมื่อครู่ รวมถึงความไร้เดียงสาในดวงตา มองแล้วก็ไม่เหมือนแม่นางที่มีจิตใจร้ายกาจอันใด 

 

 

เยี่ยเม่ยคิดๆ แล้ว ในที่สุดก็เอ่ยปาก “หากเจ้าอยากไปจริง เช่นนั้นก็ไปเที่ยวเถอะ ถึงข้าคิดว่าจวนองค์ชายสี่ไม่มีอะไรทั้งนั้น และก็ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยด้วยก็ตาม” 

 

 

“แต่ว่าพี่สะใภ้สี่ต้องทำให้สนุกได้แน่” องค์หญิงอันหยางตอบกลับทันที  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยตั้งอกตั้งใจมององค์หญิงอันหยางครู่หนึ่ง รู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ไร้เดียงสานัก ความจริงมองเห็นเงาของอาซีในอดีตจากตัวนางอยู่บ้าง 

 

 

อาศัยที่เมื่อครู่เซี่ยชูมั่วถามฐานะอย่างเหิมเกริม องค์หญิงอันหยางบอกฐานะออกมากลับไม่สร้างความลำบากให้เซี่ยชูมั่ว ก็มากพอทำให้เห็นว่านางไม่ใช่คนจิตใจอำมหิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องนางเป็นฝ่ายคารวะน้ำชาเยี่ยเม่ย รู้จักเคารพพี่สะใภ้ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากแล้ว 

 

 

ซือหม่าหรุ่ยเริ่มกังวลขึ้นมากะทันหัน หากสุดท้ายเยี่ยเม่ยรู้สึกว่านิสัยขององค์หญิงอันหยางไม่เลวเลย ไม่อาจหักใจช่วยจงรั่วปิงดำเนินแผนการได้ แล้วจะทำอย่างไร 

 

 

ในเวลานี้เซี่ยชูมั่วกลับมาแล้ว  

 

 

คนที่ติดตามนางมาด้วยยังมีเซี่ยฉุนเหวยบิดาของเซี่ยชูมั่ว จุดนี้เยี่ยเม่ยไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายเอาเสียเลย นางรู้อยู่ก่อนแล้ว ปล่อยเซี่ยชูมั่วกลับไปเปลี่ยนชุด อีกฝ่ายย่อมฉวยโอกาสไปตามเซี่ยฉุนเหวยมาช่วย  

 

 

ไม่ว่าอย่างไรการเผชิญหน้ากับเยี่ยเม่ยต่อไป สำหรับเซี่ยชูมั่วเกรงว่าจะอันตรายมากแล้ว 

 

 

ใบหน้าเซี่ยชูมั่วยังมีหยาดน้ำตา ร้องไห้ถึงขนาดเรียกได้ว่าน้ำตานองหน้า ส่วนสีหน้าของเซี่ยฉุนเหวยไม่น่าชมอย่างมาก ดูท่าเมื่อครู่เซี่ยชูมั่วคงฟ้องเซี่ยฉุนเหวยไปหมดแล้ว 

 

 

รอเซี่ยฉุนเหวยมาถึง 

 

 

เยี่ยเม่ยถามตรงๆ “ท่านโหวมาเป็นกองหนุนอย่างนั้นหรือ” 

 

 

ความตรงไปตรงมาเช่นนี้ กลับทำให้เซี่ยฉุนเหวยอึ้งไป ไม่รู้ว่าจะตอบรับอย่างไร ดังนั้นได้แต่คำนับ “กระหม่อมคารวะพระชายาองค์ชายสี่ คารวะองค์หญิง ” 

 

 

เยี่ยเม่ยโบกมือ “ในเมื่อมาหาเรื่องข้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องแสร้งเกรงใจแล้ว” 

 

 

มุมปากทุกคนกระตุกอย่างอดไม่ไหว เยี่ยเม่ยถึงกับไม่เกรงใจท่านโหวเลยสักนิดเดียว 

 

 

อีกทั้งเยี่ยเม่ยยังเอ่ยอย่างว่องไวว่า “ต่อให้ท่านโหวมาหาเรื่อง ออกหน้าแทนบุตรสาว ก็ขอท่านโหวอย่าลืมว่า ข้าผู้เป็นอ๋องนี้นอกจากฐานะพระชายาองค์ชายสี่แล้วยังมีอีกฐานะหนึ่งด้วย ดังนั้นยามท่านโหวกล่าวว่าก็ควรระวังสักหน่อย” 

 

 

เซี่ยฉุนเหวยหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ยามนี้เข้าใจแล้วว่าเยี่ยเม่ยหมายความว่าอะไร 

 

 

นางมีอีกฐานะจริงๆ นั่นก็คือเหอซั่วอ๋อง มีศักดิ์เป็นจวินอ๋องอยู่เหนือตน คราวนี้ไม่ว่าด้วยตำแหน่งฐานะไหน เขาก็ต้องไตร่ตรองให้ดี 

 

 

หากคำพูดไปล่วงเกินพระชายา เขาเป็นขุนนาง อาจไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร 

 

 

แต่ว่าอีกฝ่ายยังมีฐานะเป็นเหอซั่วอ๋องด้วย หากเขาไม่เคารพก็เท่ากับไม่เคารพเบื้องบนแล้ว 

 

 

เซี่ยฉุนเหวยสูดลมหายใจลึก เดิมเตรียมจะแสดงอำนาจทวงความยุติธรรมให้เซี่ยชูมั่วคราวนี้ก็ชะงักไปสักครู่ เมื่อได้สติกลับมา จึงถามว่า “ไม่รู้ว่าบุตรสาวข้ายั่วโทสะพระชายา ก่อเรื่องอันใดให้พระชายา ท่านถึงมาหาเรื่องนางถึงจวนโดยไม่ปิดบังเช่นนี้”  

 

 

เซี่ยชูมั่วเล่าสาเหตุให้เซี่ยฉุนเหวยไปแล้วว่าเป็นเพราะมู่หรงเหยาฉือ หากสุดท้ายเยี่ยเม่ยตอบออกมาเช่นเดียวกัน เช่นนั้นเกรงว่าเซี่ยฉุนเหวยก็ไม่ต้องเกรงใจแขกอีก  

 

 

อย่างไรเขาก็มีลูกสาวคนนี้คนเดียว ในฐานะบิดาเป็นถึงท่านโหว แม้กระทั่งบุตรสาวคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ แล้วจะมีชีวิตไปเพื่ออะไร มีฐานะเช่นนี้ไปแล้วยังมีประโยชน์อะไรอีก 

 

 

เยี่ยเม่ยคล้ายมองไม่เห็นความโมโหของเขา กวาดตามองเซี่ยชูมั่วเอ่ยปากว่า “ท่านหญิง บิดาท่านถามข้าว่าทำไมต้องสร้างความลำบากให้ท่านด้วย ไม่รู้ว่าเจ้าบอกกับเขาไปว่าอย่างไร” 

 

 

เดิมทีตอนที่เซี่ยฉุนเหวยถามคำถามนี้กับเซี่ยชูมั่วนางก็มีสีหน้าร้อนตัว ตอนนี้เยี่ยเม่ยโยนปัญหามาที่นางตรงๆ ก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมาชั่วขณะ 

 

 

เซี่ยฉุยเหวยมองเยี่ยเม่ยตอบเช่นนี้ไม่คล้ายร้อนตัวเลยสักน้อย กลับเป็นเซี่ยชูมั่วที่คล้ายทำเรื่องผิดต่อเยี่ยเม่ยจริงๆ นี่ทำให้เขาต้องหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ เอ่ยว่า “เจ้ายังรู้สาเหตุอื่นอีกหรือ” 

 

 

“ไม่ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ทำไมพระชายาองค์ชายสี่ถึงได้หาเรื่องข้า ข้าไม่รู้ชัดเลยสักนิดจริงๆ นอกจากเชื่อมโยงไปถึงมู่หรงเหยาฉือแล้ว…” เซี่ยชูมั่วเหงื่อแตกพลั่กตอบประโยคนี้ออกมา แต่ความเป็นจริง นางรู้สึกสำนึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

 

 

 

 

 

 

หากรู้แต่แรกว่าท่านพ่อมาแล้ว เยี่ยเม่ยพูดไม่กี่คำท่านพ่อก็ใจเย็นลงได้ ตัดสินใจถามสาเหตุจากเยี่ยเม่ยก่อน นางไม่สมควรพาท่านพ่อมาเลย คราวนี้กลับเป็นนางที่ตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น  

 

 

เมื่อเห็นทุกอย่าง เยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจแล้ว 

 

 

ดูท่าเซี่ยฉุนเหวยหาใช่คนที่ไม่มีเหตุผล นับตั้งแต่ต้นเซี่ยชูมั่วไม่ได้เอ่ยความจริงกับเขา 

 

 

เยี่ยเม่ยหันหลับมามองสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลาย “ดูท่าท่านโหวจะไม่รู้อะไรเลย วันนี้ทำไมข้าถึงหาเรื่องท่านหญิง คุณหนูทั้งหลายฉลาดเฉลียว คิดว่าคงเดาได้บ้างสินะ” 

 

 

คุณหนูทั้งหลายฉลาดเฉลียวก็จริง แต่ไม่มีใครสักคนกล้าพูดออกมาง่ายๆ พวกนางเดาได้แล้ว แต่ให้พูดออกมา ก็เท่ากับล่วงเกินเซี่ยชูมั่ว ไม่แน่ว่าจะเป็นการล่วงเกินจวนโหวด้วย ใครจะกล้าพูดกัน 

 

 

ในเวลานี้มีสตรีนางหนึ่งก้าวออกมา กล่าวว่า “พระชายาองค์ชายสี่ ผู้น้อยขอเดาว่า น่าจะเป็นเรื่องที่แพร่สะพัดเมื่อหลายวันก่อน รูปภาพของท่านกับอี้อ๋องกระมัง” 

 

 

เซี่ยฉุนเหวยมองนาง ถามว่า “แม่นางท่านนี้คือ” 

 

 

หญิงสาวนางนั้นค้อมเอวคำนับด้วยกิริยาเหมาะสม ตอบว่า “ผู้น้อยเป็นธิดาจวนจิ้งกั๋วกง นามว่าเหลิ่งซีโหมว” 

 

 

จวนจิ้งกั๋วกงมีฐานะสูงกว่าเซี่ยฉุนเหวย แต่เพราะในจวนจิ้งกั๋วกงมีคุณชายคุณหนูจำนวนไม่น้อย ดังนั้นเหลิ่งซีโหมวจึงมิได้โชคดีอย่างเซี่ยชูมั่ว เซี่ยชูมั่วเป็นธิดากำเนิดจากภรรยาเอกเพียงคนเดียว อีกทั้งมารดาก็จากไปแล้วเซี่ยฉุนเหวยตัดสินใจไม่แต่งงานอีก จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านหญิง  

 

 

แต่ว่าต่อให้เหลิ่งซีโหมวไม่มีฐานะท่านหญิง แต่ว่ามีบิดาและพี่ชายทั้งหลายนางก็ไม่กลัวอะไร ถึงกล้าเอ่ยออกมาตามตรง 

 

 

เซี่ยฉุนเหวยพยักหน้าแสดงว่ารู้แล้ว ถามต่อว่า “ไม่ทราบว่าเป็นภาพอันใด” 

 

 

“นี่…” เหลิ่งซีโหมวพลันไม่เอ่ยต่อแล้ว คล้ายยากจะกล่าวออกได้ 

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “คิดว่าท่านก็น่าจะเดาได้ไม่ใช่หรือ อย่างไรข้าก็คงไม่สั่งให้คนปล่อยภาพลูกสาวท่านกับอี้อ๋องไปโดยไร้เหตุไร้ผล ที่ข้าทำไปทั้งหมดก็แค่ใช้วิธีการหนามยอกก็เอาหนามบ่งเท่านั้นเอง หากข้าพูดออกมาตรงๆ ท่านโหวอาจไม่เชื่อ ยามนี้คุณหนูทั้งหลายต่างก็มองออกแล้ว ท่านโหวคงจะเชื่อแล้วกระมัง” 

 

 

เซี่ยฉุนเหวยมองเซี่ยชูมั่วอย่างไม่อยากเชื่อทันที… 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 137 คำสัญญาหนึ่ง 

 

 

เซี่ยชูมั่วมองสีหน้าบิดาก็รู้ว่าผู้เป็นพ่อผิดหวังในตัวนางมาก  

 

 

นางรีบเถียงว่า “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ นี่คือเรื่องเข้าใจผิด ต้องเป็นเพราะพระชายาองค์ชายสี่ฟังคำยุยงของคนอื่น เข้าใจผิดว่าข้าเป็นคนทำ ดังนั้นถึงเป็นเช่นนี้แล้ว” 

 

 

“ใช่หรือ” เยี่ยเม่ยปรายตามองนางทีหนึ่ง เอ่ยเสียงนิ่ง “ความหมายของเจ้าคือ ต้องการให้ข้าพาคนที่ช่วยเจ้าทำเรื่องนี้ทั้งหมดมายืนยันแล้ว? หรือว่าพาครอบครัวของคนพวกนั้นที่ถูกเจ้าจับตัวไว้มาถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ด้วย” 

 

 

เซี่ยชูมั่วฟังคำพูดนี้ ก็เข้าใจแล้วว่าในมือเยี่ยเม่ยมีหลักฐานมัดแน่น 

 

 

แต่นางก็ยังรู้สึกแปลกใจ หากเยี่ยเม่ยโมโหจริงๆ คิดสั่งสอนนางแล้วล่ะก็ ไฉนไม่ส่งหลักฐานพวกนี้ให้ต่อพระพักตร์ฝ่าบาทเลย หรือไม่ก็ส่งไปให้ขุนนางจิ่งจ้าวฝู[1] หากเป็นเช่นนี้ นางก็จะถูกลงโทษสถานหนัก 

 

 

ทำลายชื่อเสียงสะใภ้ราชวงศ์ ฝ่าบาทลงโทษตัดหัวก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ 

 

 

แต่เยี่ยเม่ยกลับมาหาเรื่องนางเท่านั้น นี่… 

 

 

เห็นว่าเซี่ยชูมั่วไม่เถียงอีก ทั้งมีท่าทางเป็นดังที่เยี่ยเม่ยกล่าว เซี่ยฉุนเหวยพลันเข้าใจว่าเยี่ยเม่ยพูดความจริง คราวนี้โทสะของเขาก็ปะทุขึ้นทันที 

 

 

เพียงแต่ที่นี่คนเยอะเกินไป ไม่เหมาะจะระเบิดอารมณ์ใส่เซี่ยชูมั่วได้ 

 

 

เขาหันกลับไปมองเยี่ยเม่ย เอ่ยปากว่า “พระชายา ในเมื่อบุตรสาวข้าไม่เคารพท่าน ทำผิดต่อท่านก่อน ท่านทำเช่นนี้กับนางก็สมควรแล้ว เช่นนั้นในเมื่อท่านสั่งสอนนางไปแล้ว ก็จะ…” 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเซี่ยฉุนเหวย ถามคำหนึ่งว่า “หรือท่านโหวไม่เข้าใจ เรื่องที่บุตรสาวท่านทำผิด มีโทษถึงตัดหัวก็ไม่มากเกินไปแล้ว หากบอกเสด็จพ่อ ไม่แน่ว่าพระองค์จะประหารจริงๆ ตอนนี้ข้าก็แค่ลงโทษเล็กน้อย ท่านโหวรู้สึกว่าพอแล้วหรือ” 

 

 

คราวนี้เซี่ยฉุนเหวยไม่กล้าขอร้องต่ออีกแล้ว 

 

 

ก็จริง เทียบกับโทษตัดหัวแล้ว สิ่งที่เยี่ยเม่ยทำในตอนนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย 

 

 

หลังจากท่านโหวเงียบไปสักพัก เพียงแบกหน้าแก่ๆ ของตนเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ขอให้พระชายาได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า เรื่องนี้ให้จบเพียงเท่านี้เถิด? ข้าจะซาบซึ้งในบุญคุณของพระชายาเป็นอย่างมาก”  

 

 

เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็ประเมินเซี่ยฉุนเหวย 

 

 

เอ่ยปากว่า “ในเมื่อท่านโหวพูดถึงขนาดนี้แล้ว หากข้าไม่ตกลง จะเป็นการแสดงออกว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีของขุนนางร่วมราชสำนัก แต่ว่าข้าอยากให้ท่านโหวจำไว้ บุญคุณของข้าไม่ใช่ติดค้างกันง่ายๆ จำเป็นต้องทดแทนด้วย” 

 

 

ยามนี้เซี่ยฉุนเหวยชะงักงัน เข้าใจความหมายของเยี่ยเม่ย นางต้องการให้คำสัญญาของเขาแลกกับชีวิตของเซี่ยชูมั่ว ตอนนี้เขาเกิดความรู้สึกว่าติดกับแล้ว เขาสงสัยกระทั่งว่า ที่เยี่ยเม่ยจงใจมาหาเรื่องถึงจวนโหว ก็เพื่อต้องการให้เขาขอร้องให้นางเสนอเงื่อนไขออกมา 

 

 

แต่ว่าถึงแม้ใจจะระแวงสงสัยเพียงใด  

 

 

เซี่ยชูมั่วก็เป็นบุตรสาวคนเดียวของตน ชีวิตของลูกอาจรักษาไว้ไม่ได้ เขาจึงได้แต่รับปากว่า “เรื่องนี้ข้าจะจดจำไว้ ภายหน้าหากพระชายามีเรื่องต้องการช่วยเหลือ เซี่ยฉุนเหวยก็จะไม่บ่ายเบี่ยง” 

 

 

เขาสัญญาออกมา เยี่ยเม่ยก็พอใจแล้ว  

 

 

นางลุกขึ้น “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หวังว่าท่านโหวจะจำคำพูดวันนี้ไว้ ทั้งหวังว่าท่านจะอบรมบุตรสาวให้ดี ต่อไปอย่าได้ทำเรื่องพรรค์นี้อีกแล้ว” 

 

 

คำพูดนี้ทำเอาเซี่ยชูมั่วในยามนี้ใจเต้นระส่ำ นี่ไม่ต่างอะไรกับเยี่ยเม่ยบอกให้บิดาสั่งสอนนางเลยนี่ 

 

 

  

 

 

 

 

 

[1] จิ่งจ้าวฝู ขุนนางที่ดูแลจัดการเรื่องในเมืองหลวง