เซี่ยฉุนเหวยพยักหน้าทันที “พระชายาองค์ชายสี่เดินทางปลอดภัย”
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น องค์หญิงอันหยางก็ลุกตามแล้ว
เซี่ยฉุนเหวยรีบกล่าวอีกว่า “น้อมส่งองค์หญิงอันหยาง”
สตรีสูงศักดิ์คนอื่นเห็นว่าพระชายาจากไปแล้ว ที่พื้นยังมีปัสสาวะของเซี่ยชูมั่ว ก็ไม่คิดรั้งรออยู่ต่อไปอีก ทุกคนจึงพากันกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ขอตัวแล้ว”
เซี่ยชูมั่วถูกคนเหล่านี้หัวเราะเยาะอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่อยากเห็นหน้าพวกนางตั้งนานแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าคนจะจากไป แน่นอนว่าไม่คิดรั้งไว้ ได้แต่หวังว่าคนกลุ่มนี้รีบๆ จากไปซะ
รอจนทุกคนจากไปหมดแล้ว เซี่ยฉุนเหวยมองเซี่ยชูมั่ว เอ่ยปากถามเสียงนิ่ง “เจ้าไม่มีคำพูดอะไรจะบอกข้าใช่ไหม”
ถึงเซี่ยชูมั่วจะเหิมเกริมมาตลอด แต่ว่าไม่ว่ายามไหนก็ไม่กล้าขัดคำสั่งบิดา
สถานการณ์ในยามนี้เซี่ยฉุนเหวยเตรียมจะคิดบัญชีกับตนแล้ว นางก็เริ่มลนลาน รีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อ…ลูก ลูกเพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอให้ท่านพ่อโปรดอภัยให้ลูกด้วย ท่านก็รู้ว่าข้าชอบอี้อ๋องมาหลายปี เขาไม่เคยสนใจลูกมาก่อน วันนี้กลับชอบเยี่ยเม่ย ลูกจะทนเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ดังนั้น…”
เซี่ยฉุนเหวยสีหน้าไม่น่าชมอยู่สักพัก ในที่สุดเอ่ยปากว่า “ดูท่าปกติข้าคงปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องเตรียมงานแต่งงานให้เจ้า”
“ไม่” เซี่ยชูมั่วคัดค้านหนักแน่นทันที ทั้งยังเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ชั่วชีวิตลูกนอกจากอี้อ๋องแล้ว ไม่ว่าใครลูกก็ไม่แต่งด้วยทั้งนั้น”
เซี่ยฉุนเหวยคิดไม่ถึงว่า นางจะโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้
เขาถลึงตาใส่เซี่ยชูมั่ว “เจ้าเลิกเอาแต่ใจได้แล้ว หากอี้อ๋องชอบเจ้า คงแต่งกับเจ้าไปนานแล้ว ยามนี้เรื่องแต่งงานของเจ้าเสียเวลาไปนานหลายปี หากยังปล่อยให้เสียเวลาต่อไปก็คงแต่งไม่ออกแล้ว ต่อให้เป็นมู่หรงเหยาฉือที่สนิทกับเจ้าผู้นั้น ยามนี้ยังต้องแต่งกับองค์ชายใหญ่ หรือเจ้ายังยืนกรานเอาแต่ใจต่อไป หวังว่าสักวันหนึ่งจะเป็นแบบมู่หรงเหยาฉือ เป็นแค่อนุอย่างนั้นรึ”
เซี่ยชูมั่วยืนกรานส่ายหน้า เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ต่อให้ท่านด่าลูก ลูกก็ยอม แต่หากท่านคิดให้ลูกแต่งงานกับคนอื่น ลูกจะตายให้ท่านดูเดี๋ยวนี้ หลังจากท่านแม่จากโลกนี้ไป ท่านก็ไม่ยอมแต่งงานใหม่อีกไม่ใช่หรือ ท่านพ่อ ท่านสมควรเข้าใจความรู้สึกของลูก”
ถึงเซี่ยฉุนเหวยมีลูกชายหญิงไม่น้อย ยังมีอนุภรรยาและเมียบ่าวจำนวนไม่น้อย แต่ว่าก็เป็นแค่ภาพลักษณ์ที่แสดงให้คนภายนอกดูเท่านั้น ลูกชายหญิงพวกนี้ต่างก็มาจากคนในตระกูล บุตรชายที่รับมาเลี้ยงก็เพื่อเฟ้นหาคนที่เหมาะสมสืบทอดตำแหน่งโหว ส่วนบุตรสาวที่รับมาเลี้ยงบางทีอาจเพราะท่านพ่อกังวลว่า ตัวเขาง่วนกับงานการทหาร กลัวนางเบื่อหน่าย ถึงหาคนมาเล่นเป็นเพื่อน เรื่องนี้ฝ่าบาทล้วนรับทราบ
ส่วนอนุภรรยาและเมียบ่าวก็แค่จัดฉากไว้เท่านั้น ทุกอย่างเป็นเพราะท่านย่าต้องการกันไม่ให้ผู้อื่นวิจารณ์ท่านพ่อเท่านั้นเอง
ท่านพ่อของนางมีความรักลึกซึ้งกับท่านแม่ ดังนั้นเซี่ยชูมั่วรู้สึกว่าท่านจะเข้าใจความรู้สึกของนางมากที่สุด
เซี่ยฉุนเหวยเงียบอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ปีนั้นข้ากับแม่เจ้าต่างสมัครรักใคร่ แต่เจ้าตอนนี้ดึงดันจะเด็ดแตงดิบกิน เหตุผลง่ายดายเพียงนี้ หรือยังต้องให้พ่อบอกเจ้าถึงจะเข้าใจกัน”
“ยังไม่เคยกินเลย ท่านพ่อจะรู้ได้อย่างไรกันว่าแตงดิบอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกก็จะไม่ยอมแพ้ หากชาตินี้ไม่อาจแต่งกับอี้อ๋องได้ ลูกก็ตัดสินใจไม่แต่งไปชั่วชีวิต” น้ำเสียงของเซี่ยชูมั่วหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง
เซี่ยฉุนเหวยมองนาง ชั่วขณะนี้โมโหเสียจนพูดไม่ออก นางกล้าดื้อดึงถึงเพียงนี้
แต่เมื่อคิดถึงหลายปีที่ผ่านมา ภรรยาร่วมผูกผมของตนถึงแก่กรรม ตอนที่ท่านแม่บีบให้เขาแต่งงานใหม่ เขาในตอนนั้นก็เหมือนเซี่ยชูมั่วในยามนี้ ไม่ยอมถอยเลยสักน้อย ยืนกรานว่าเมื่อภรรยารักจากไปก็ไม่แต่งงานใหม่อีก ยินยอมโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิต
ยามนี้เห็นใบหน้าแข็งขืนของบุตรสาวเหมือนกับตนในปีนั้น เซี่ยฉุนเหวยพลันฝืนเอ่ยวาจาบีบบังคับไม่ออก
ดังนั้นหลังจากมองนางด้วยความโมโหอยู่นานก็เอ่ยว่า “เจ้าไปที่ศาลบรรพชน ปิดประตูสำนึกผิดสักสองสามวันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” เซี่ยชูมั่วรีบรับคำ ทั้งกล่าวว่า “ขอบคุณท่านพ่อ”
เพียงแต่ปิดประตูสำนึกผิดในศาลบรรพชนก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับต้องแต่งงานกับคนที่ตนไม่ชอบแล้ว นี่นับว่าไม่ใช่เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เซี่ยชูมั่วรู้สึกว่าจุดนี้ไม่มีปัญหา นางก็รีบรับปากทันที ลุกขึ้นไปศาลบรรพชน
ระหว่างทางนางคิดถึงเรื่องทุกอย่างที่ตัวเองได้ประสบในวันนี้ ก็เกิดความรู้สึกคิดอยากดื่มเลือดกินเนื้อเยี่ยเม่ยแล้ว
เซี่ยชูมั่วกัดฟัน “เยี่ยเม่ยนางสารเลว ต้องมีสักวันข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตแทบเท้าข้า”
ทันทีที่เหมี่ยยวเจินได้ฟัง พลันลนลานแล้ว “ท่านหญิง ท่านสงบสักหลายวันเถิด อย่างน้อยก็รอให้คลื่นลมนี้ผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน หากยังลงมืออีก บ่าวกังวลว่าท่านโหวก็อาจปกป้องท่านไม่ได้แล้ว”
เซี่ยชูมั่วกัดฟันแน่น คำรามใส่นาง “ข้าระวังก็พอแล้ว อย่าให้นางจับได้”
เหมี่ยวเจินได้แต่แอบถอนใจ รู้ว่าคงขวางเซี่ยชูมั่วไม่ได้อีกแล้ว อย่างไรเสียนางก็เข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายดี วันนี้ได้รับการลบหลู่อย่างหนัก เซี่ยชูมั่วจะทนได้อย่างไรเล่า
การแก้แค้นเป็นเรื่องที่ต้องทำแน่ ดูท่านางคงต้องส่งสารให้องค์หญิงซีระวังหน่อยแล้ว
……
บนรถม้าระหว่างทางกลับจวนองค์ชายสี่
เยี่ยเม่ยมององค์หญิงอันหยางด้วยความแปลกใจ ถามว่า “องค์หญิงอันหยาง เจ้า…”
“พี่สะใภ้สี่ไม่ต้องเรียกข้าห่างเหินเช่นนี้ ท่านเรียกข้าหลิวอวี่ก็พอแล้ว ” องค์หญิงอันหยางรีบยิ้มเอ่ยประโยคนี้
เยี่ยเม่ยถามนางว่า “เป่ยเฉินหลิวอวี่หรือ?”
“ถูกต้อง เป่ยเฉินหลิวอวี่คือชื่อของข้า” องค์หญิงอันหยางพยักหน้าติดต่อกัน
เยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกว่า เจ้าอยากไปจวนองค์ชายสี่หาใช่เรื่องธรรมดาเท่านั้น คงไม่ใช่ว่าจะเที่ยวเฉยๆ แต่ต้องมีความคิดอื่นแน่ใช่หรือไม่”
ไม่รู้ว่าความคิดนี้เป็นของนางเอง หรือว่าของฮ่องเต้และฮองเฮา
องค์หญิงอันหยางตอบทันที “พี่สะใภ้สี่ ความจริง…ความจริงท่านเองพูดไม่ผิด ยังมีอีกสาเหตุที่ข้ามาก็เพราะอยากพบเสด็จพี่สี่”
คราวนี้ เยี่ยเม่ยก็ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ “เพราะอะไรเจ้าถึงอยากพบเขา”
แต่ไรมาไม่เคยได้ยินเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพูดถึงน้องสาวคนนี้มาก่อน นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่ได้แน่นแฟ้นนัก ดังนั้นเด็กสาวผู้นี้จะไปพบเขาทำไมกัน
องค์หญิงอันหยางคล้ายจะลังเลอยู่เล็กน้อย ค่อยตอบว่า “พี่สะใภ้สี่ คือว่าเช่นนี้ หลิวอวี่รู้ว่าปีนั้นเสด็จพ่อและเสด็จแม่ทำไม่ดีต่อเสด็จพี่สี่ ดังนั้นเสด็จพี่สี่จึงไม่ชอบพวกเขา แต่หลิวอวี่หวังว่า ตัวเองจะสามารถทุ่มเทช่วยรักษาความสัมพันธ์ของเสด็จพี่สี่และเสด็จพ่อเสด็จแม่กลับมาได้”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยยังมีความคิดนี้อยู่ คนที่อาศัยอยู่ในวังหลวงสถานที่ที่เต็มไปเล่ห์เพทุบาย ช่างหาได้ยากนัก เพียงแต่…มันจะธรรมดาเช่นนี้เชียวหรือ
องค์หญิงอันหยางเอ่ยต่อว่า “แต่เหมือนเสด็จพี่สี่จะไม่ชอบข้านัก ทุกครั้งที่พบข้าก็หลบเลี่ยง ดังนั้นข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี ครั้งนี้ได้พบพี่สะใภ้สี่ข้าถึงคิดวิธีได้ ให้ท่านพาข้าไปที่จวน”
หลังจากเยี่ยเม่ยฟังแล้วก็กล่าว “องค์หญิง ข้าเข้าใจความคิดเจ้าแล้ว แต่ว่าเจ้าลองคิดดู คนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมมายี่สิบกว่าปี อาศัยคำพูดง่ายๆ สองสามประโยคของเจ้า ก็จะคลี่คลายได้หรือ”
“นี่…” องค์หญิงอันหยางหน้าซีดไปในบัดดล เอ่ยเสียงเบา “ความจริง ความจริงข้าก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าแค่อยากลองดู”
เยี่ยเม่ยถามอีกว่า “อีกอย่างนี่เป็นเพียงความคิดของเจ้าคนเดียว เสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้าคิดเช่นนี้หรือไม่”
องค์หญิงอันหยางพบเสด็จพ่อไม่มากนัก แต่ว่านางกลับได้พบเสด็จแม่อยู่บ่อยๆ เสด็จแม่ไม่ชอบเสด็จพี่สี่เป็นอย่างมาก ต่อให้นางตาบอดก็สามารถสัมผัสได้
คราวนี้นางพูดไม่ออกอีกแล้ว
เยี่ยเม่ยถอนใจอีกคำหนึ่ง “ดังนั้น เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าเป็นไปไม่ได้แล้วทำไมยังจะทำอย่างนี้อีก”
ยามนี้องค์หญิงอันหยางทนไม่ไหวแล้ว น้ำตาร่วงผล็อยลงมา “เพราะข้ารู้สึกว่าเสด็จพี่สี่น่าสงสารมาก ข้าหวังว่าเขาจะยอมอ่อนให้เสด็จพ่อเสด็จแม่บ้าง บางทีทำเช่นนี้เสด็จพ่อเสด็จแม่อาจชอบเขาขึ้นมาบ้าง อย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องเอาแต่อยู่คนเดียวอีกแล้ว มาตอนนี้มีพี่สะใภ้สี่ เสด็จพี่สี่ถึงดีขึ้นบ้าง แต่ข้าหวังว่าเขาจะดียิ่งขึ้น”
ในใจขององค์หญิงอันหยาง ถึงเสด็จพี่สี่จะมีพ่อแม่ มีชายและน้องสาวอย่างนาง
แต่เพราะคำพูดของราชครูในปีนั้น ทำให้เสด็จพี่สี่มีชีวิตที่ไม่อาจเทียบได้กระทั่งเด็กกำพร้า ความจริงนางอยากใกล้ชิดคนที่เป็นเหมือนปีศาจในสายตาคนทั่วหล้าผู้นั้น นางอยากบอกคนทั้งหลายมาตลอดว่า เสด็จพี่สี่มิได้เป็นเช่นนั้น เขาเพียงแค่เหงาเกินไป ดังนั้นถึงเป็นเช่นนี้
เพราะไม่ว่าราชครูจะพูดอย่างไร ไม่ว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่จะมองอย่างไร ในสายตาองค์หญิงอันหยางเขาก็คือพี่ชายแท้ๆ ของนาง เป็นพี่ชายร่วมอุทรร่วมสายเลือด ดังนั้นนางทนดูไม่ได้
เห็นองค์หญิงอันหยางเปิดเผยความรู้สึกจากใจออกมา
เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้ว เข้าใจได้ในทันทีว่านางมีเจตนาดี เยี่ยเม่ยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้องค์หญิงอันหยาง รออีกฝ่ายสงบใจลงเช็ดน้ำตา
เยี่ยเม่ยค่อยกล่าวว่า “เจ้ามีความคิดที่ดี แต่เจ้ารู้สึกว่าให้เขาไปคุกเข่ายอมสยบเพื่อแลกกับความชอบของเสด็จพ่อเสด็จแม่ เขาจะมีความสุขหรือ เจ้ารู้สึกว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเจ้าจะชอบเขาจริงๆ หรือเปล่า บางทีเจ้ารู้สึกว่าเขาจะปล่อยวางเรื่องหลายปีนั้นได้หรือไม่”
องค์หญิงอันหยางในเวลานี้จนคำพูด ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยเบาๆ อย่างเข้าใจว่า “ข้าเข้าใจแล้ว สุดท้ายข้ายังคงไร้เดียงสาเกินไป”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เทียบกับองค์หญิงอันหยางแล้ว เยี่ยเม่ยย่อมเข้าใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากกว่า องค์หญิงอันหยางเป็นเพียงแม่นางน้อยที่ไม่เข้าใจโลกกว้าง ดังนั้นถึงได้มีความคิดไร้เดียงสาอยู่บ้าง เพราะนางไม่เคยสัมผัสถึงความแค้น ดังนั้นไม่รู้รสชาติของความแค้นว่าเป็นเช่นไร
ส่วนที่องค์หญิงอันหยางยิ่งไม่รู้เลยก็คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีความแค้นต่อฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว
มองพวกเขาเป็นแค่คนแปลกหน้า เขาไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้น เกรงว่าเจ็บกายก็ไม่รู้สึกว่าเจ็บ ไม่มีความรักย่อมไม่เกิดความแค้น กระทั่งความแค้นเขายังไม่มีต่อฮ่องเต้และฮองเฮาเลย แล้วจะมีความรักได้อย่างไร ยังมีโอกาสรักษาความสัมพันธ์กลับไปอีกหรือ แล้วจะรู้สึกมีความสุขเพราะคนสองคนนั้นดีกับตนได้อีกหรือ
จากความเข้าใจที่เยี่ยเม่ยมีต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ว่าฮองเฮาหรือฮ่องเต้จะดีกับเขาหรือไม่ มาถึงวันนี้ก็ไม่อาจก่อคลื่นลมอะไรในใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้อีกแล้ว
นางถามองค์หญิงอันหยาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะไปจวนองค์ชายสี่อีกหรือไม่ ไม่เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้ากลับวังหลวงเลยก็ได้”
องค์หญิงอันหยางคิดอยู่สักพัก ส่ายหน้าคล้ายกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว ยิ้มกล่าวกับเยี่ยเม่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าไม่ไปเกลี้ยกล่อมให้เสด็จพี่สี่ให้อภัยเสด็จพ่อเสด็จแม่ ข้าไปแสดงความห่วงใยเขาสักหน่อย หากทำให้เสด็จพี่รับรู้ถึงความห่วงใยได้ก็ดีเหมือนกัน”
คราวนี้เยี่ยเม่ยไม่คัดค้านอีก
มีคนอยากทำดีกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทั้งไม่ใช่ศัตรูหัวใจ นางมีเหตุผลอะไรไปคัดค้านกัน กลับกันยังรู้สึกดีกับองค์หญิงอันหยางเพราะเรื่องนี้ใม่น้อย
ดังนั้นยามนี้เยี่ยเม่ยถามองค์หญิงอันหยางว่า “เช่นนั้นข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“พี่สะใภ้สี่เชิญกล่าว” องค์หญิงอันหยางมองนางทันที
เยี่ยเม่ยใคร่ครวญแล้วก็ยังยืนหยัดเอ่ยปาก “สมมติว่าในไม่ช้านี้เจ้าจะรู้ว่า เสด็จพ่อเจ้าคิดประทานสมรสให้เจ้า ส่วนคนที่จะแต่งงานกับเจ้ามีสตรีนางอื่นในใจแล้ว เช่นนั้นเจ้ายินยอมแต่งกับเขาไหม”
องค์หญิงอันหยางกลับชะงักเล็กน้อย
เพราะว่าวันนี้เสด็จแม่เพิ่งเอ่ยถึงเรื่องนี้บอกว่าเสด็จพ่อมีประสงค์จะประทานสมรสให้นาง ส่วนอีกฝ่ายคือท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหว นางเคยบังเอิญพบท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวที่งานเลี้ยงในวังหลวง หน้าตาท่าทางไม่ธรรมดาดาษดื่น ดังนั้นองค์หญิงอันหยางจึงไม่คัดค้าน
พี่สะใภ้สี่พลันถามขึ้นมากะทันหันเช่นนี้เป็นความบังเอิญหรือว่า…
เห็นองค์หญิงอันหยางคล้ายจะสงสัย เยี่ยเม่ยเอ่ยปากตัดบทตรงๆ “เจ้าไม่ต้องคิดมาก ข้าแค่ถามคำถามเท่านั้น เจ้าตอบมาตามตรงก็พอ”
หลังจากองค์หญิงอันหยางลังเลชั่วครู่ก็ตอบอย่างหนักแน่น “ข้าย่อมไม่ยินยอมแน่”