หลังจากองค์หญิงอันหยางนิ่งไปสักพัก จึงเอ่ยขึ้นว่า “แต่ต่อให้ข้าไม่ยินยอมแล้วจะทำอะไรได้ การแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่สิ่งที่ตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง!”
ครั้นกล่าวถึงตรงนี้ องค์หญิงอันหยางลองเปรียบเทียบดูแล้วก็เกิดความผิดหวังอยู่บ้าง
เมื่ออยู่ในวังหลวง เสด็จพ่อตรัสว่าอะไรก็คืออย่างนั้น นางจะมีสิทธิ์คัดค้านได้ที่ไหนกัน หากไม่ฟังจริงๆ ก็เท่ากับขัดราชโองการ ทำเช่นนี้ก็เป็นโทษสถานหนัก ใครก็ไม่อาจแบกรับความความผิดนี้ได้ไหว
“เหมือนองค์หญิงจะไม่ใช่คนที่ทนอยู่ในกฎระเบียบนัก!” ซือหม่าหรุ่ยกลับเป็นคนเอ่ยประโยคนี้
ไม่ว่าอย่างไรวังหลังไม่อาจก้าวก่ายราชสำนัก แต่ว่าองค์หญิงอันหยางไปเสนอความคิดกับฮ่องเต้ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง ดังนั้นนางก็ถือว่าไม่ใช่คนที่อยู่ในกฎเกณฑ์
องค์หญิงอันหยางฟังแล้ว ก็เข้าใจความหมายที่ซือหม่าหรุ่ยสื่อ
นางหน้าแดงเรื่อ เอ่ยปากว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่เพียงแค่ข้าไม่ใช่คนที่อยู่ในกฎระเบียบเท่านั้น ข้ายังอิจฉาคนที่ไม่ต้องอยู่ในกรอบระเบียบพวกนั้นด้วย โดยเฉพาะคนอย่างพี่สะใภ้สี่ สตรีนางหนึ่งกลับได้เป็นถึงท่านอ๋อง ตลอดหลายปีมานี้ นี่คือเรื่องที่หาได้ยากมาก หากมีวันใดวันหนึ่ง ข้าเป็นเช่นนี้ได้ก็ดี!”
คราวนี้เยี่ยเม่ยจึงเข้าใจแล้ว
นิสัยอย่างองค์หญิงอันหยาง หากทำเรื่องนอกกรอบที่นางกับซือหม่าหรุ่ยหารือกัน คิดดูแล้วก็น่าจะมีความเป็นไปได้
หางตาเยี่ยเม่ยวาวโรจน์ มองนางกำนัลข้างกายองค์หญิงอันหยาง เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางครุ่นคิด เยี่ยเม่ยก็เข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างเมื่อคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ฮ่องเต้และฮองเฮากับองค์หญิงอันหยางที่คุยกันเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยคิดได้ว่า หากเข้าหูบ่าวก็ดูเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ดังนั้นจู่ๆ นางจึงเอ่ยปากขึ้นมาอีกประโยคว่า “จะว่าไปแล้ว ความสัมพันธ์ของเสด็จพี่สี่เจ้ากับฮ่องเต้และฮองเฮา ถึงจะไม่ปรองดอง แต่ระยะนี้เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญสัมพันธ์กับเสด็จพี่สี่เจ้า ข้าเดาว่าในใจเขาคงปลาบปลื้มอยู่บ้าง ระยะนี้บางทีเขายังชื่นชมเสด็จพ่อให้ข้าฟัง!”
องค์หญิงอันหยางฟังแล้วเห็นหางตาเยี่ยเม่ยเหลือบมองนางกำนัลที่อยู่ด้านหลังตนก็เข้าใจทันที จึงทำทีพยักหน้าร่วมมือด้วยความยินดี “โธ่ จริงหรือ เช่นนั้นข้าก็ค่อยวางใจหน่อย! ข้าบอกแล้ว ขอเพียงเสด็จพ่อให้ความสำคัญกับเสด็จพี่สี่ เสด็จพี่สี่ต้องไม่ทำให้เสด็จพ่อผิดหวังแน่!”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ถูกต้อง เขาตั้งใจควบคุมดูแลทหารมาก เพราะว่ากลัวเสด็จพ่อผิดหวัง!”
องค์หญิงอันหยางพยักหน้าด้วยความยินดี
……
จวนองค์ชายสี่
ความจริงระยะนี้ อวี้เหว่ยพบว่าองค์ชายสี่คล้ายมีเรื่องหนักใจ ไม่เหมือนท่าทางดีใจในยามปกติที่อยู่ต่อหน้าเยี่ยเม่ย
วันนี้เยี่ยเม่ยไม่อยู่ในจวน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยังเป็นเหมือนเดิม นอนอยู่บนหลังคา มองเมฆบนฟ้า ยกมือบังแสงอาทิตย์แยงตาอยู่เป็นระยะ
ในเวลานี้อวี้เหว่ยอดรนทนไม่ไหว เอ่ยปากว่า “เตี้ยนเซี่ย ระยะนี้ท่านไม่สดใสเลย เพราะไม่มีเรื่องน่าสนุก หรือว่าเพราะ…เสแสร้งแสดงออกให้ฝ่าบาทดูว่าท่านเปลี่ยนแปลงตัวเอง จึงทำให้ท่านรู้สึกฝืนตนเกินไป”
อย่างไรเสียความไม่พอใจที่องค์ชายสี่มีต่อฮองเต้และฮองเฮา แม้แต่บ่าวทำความสะอาดห้องสุขาในวังหลวงยังรู้เลย แต่มาตอนนี้เพื่อการใหญ่ของพระชายา กลับต้องเสแสร้งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พินอบพิเทาต่อฮ่องเต้
อย่าว่าแต่ผู้อื่นเลย อวี้เหว่ยมองแล้วยังรู้สึกว่า องค์ชายสี่แสดงละคร ช่างทรมานยิ่งนัก!
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว เพียงแค่นเสียงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ไม่ใช่ทั้งนั้น! ก็แค่แสดงละครต่อหน้าเสด็จพ่อเท่านั้น ทำไมข้าต้องอารมณ์ไม่ดีด้วย กลับกันเยี่ยนเห็นเขาถูกเยี่ยนปั่นหัว หลงคิดว่าสิ่งที่เขาทำในปีนั้นไม่นับว่าเป็นอย่างไร จึงทำให้เยี่ยนรู้สึกว่าการกระทำอันชั่วร้ายช่างน่าขันนัก!”
คนก็เป็นเช่นนี้ หาเรื่องทำร้ายผู้อื่น สุดท้ายเมื่อพบว่าคนผู้นั้นมีประโยชน์ต่อตัวเอง ก็คิดจะคืนดี ทั้งยังคิดว่าบุญคุณเล็กน้อย จะทำให้ผู้อื่นสำนึกบุญคุณตนอย่างที่สุด
เห็นโฉมหน้าโง่เขลาไร้เดียงสาของคนเช่นนี้ สำหรับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้วนับเป็นเรื่องสนุกมาก ทำไมเขาถึงรู้สึกอึดอัดไปได้
ส่วนที่ว่าไม่มีเรื่องสนุก ในความเป็นจริงแล้วขอเพียงเยี่ยเม่ยอยู่ข้างกายเขา ต่อให้วันคืนผ่านไปอย่างแสนเรียบง่ายก็ทำให้คนยินดีเปี่ยมสุขได้เช่นกัน ไฉนถึงรู้สึกเบื่อได้เล่า
เรื่องที่เขากังวลจริงๆ แล้วก็คือ…
หลังจากอวี้เหว่ยเงียบอยู่สักพัก พลันคิดอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยปากถาม “เตี้ยนเซี่ย หรือเป็นเพราะเรื่องนั้น”
คราวนี้สีหน้าอวี้เหว่ยเปลี่ยนไปเป็นไม่น่ามองขึ้นมาเช่นกัน
เรื่องนั้น…
เรื่องนั้นไม่อาจให้เยี่ยเม่ยรู้ได้อย่างเด็ดขาด หากนางรู้แล้วด้วยนิสัย เกรงว่าจะจบความสัมพันธ์กับองค์ชายสี่แน่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเงียบสักพัก เห็นสีหน้าอวี้เหว่ยก็เข้าใจว่าอวี้เหว่ยเดาได้แล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนวดหว่างคิ้ว
เสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “ไม่ผิด หากนางรู้เรื่องนี้…”
พูดมาถึงตรงนี้ เขาเหลือเพียงเสียงหัวเราะขมขื่น เอ่ยว่า “นับตั้งแต่แรก เยี่ยนก็ไม่กล้าบอกนางเรื่องนี้ มาถึงวันนี้….นางตัดสินใจเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตน เดินร่วมทางกับเยี่ยน เยี่ยนกลับเป็นฝ่ายที่ไม่กล้าเอ่ยปากสักคำเดียว”!”
เพราะว่าเขารู้อยู่แก่ใจ ทันทีที่เอ่ยขึ้นมา พวกเขาคงจบกันแล้ว
ความสุขในวันนี้ก็จะกลายเป็นฟองน้ำ ภายหน้ากระทั่งเงาก็ยังไม่หลงเหลือ
อวี้เหว่ยนิ่งครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เอ่ยปากว่า “คนที่ยังรู้เรื่องในปีนั้นเหลือไม่มากแล้ว ต่อให้เป็นไป๋หลี่ซือซิวก็ยังไม่รู้ คล้ายกับว่ามีเพียงหัวหน้าขันทีที่รู้เรื่องเพียงคนเดียว ข้าไปสืบเรื่องของคนผู้นั้นตามความต้องการของท่านแล้ว หลังจากพบเขาแล้วก็จะกำจัดเขาทันที เช่นนี้พระชายาก็จะไม่มีวันรู้เรื่องนี้ไปตลอดกาล!”
เมื่ออวี้เหว่ยเสนอ สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เผยแววลังเลสักพัก
สุดท้ายแววตานั้นก็สงบลง เอ่ยว่า “อืม ไม่อาจให้นางรู้ได้”
ถึงจะสำนึกเสียใจ รู้สึกผิดต่อนาง แต่ว่า…เขาไม่กล้าปล่อยให้นางรู้ ชั่วชีวิตนี้เขาไม่กล้าให้นางรู้ ถือว่าเขาเห็นแก่ตัวสักครั้งก็พอ
ดังนั้นเวลานี้อวี้เหว่ยเข้าใจแล้วเช่นกัน องค์ชายสี่กลัวว่าเรื่องนี้จะหลุดรอดออกไป สุดท้ายเยี่ยเม่ยได้รู้ความจริง
อย่างไรก็ตามอวี้เหว่ยก็มองผลลัพธ์หลังจากที่พระชายารู้เรื่องนี้ออกอย่างชัดเจน
เขารีบเอ่ยว่า “เตี้ยนเซี่ยท่านวางใจเถอะ ข้าจะลงมือให้เร็วที่สุด สังหารคนปิดปาก ไม่ปล่อยให้ท่านกังวลใจในภายหลังอย่างแน่นอน!”
“อืม!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรับคำ กำหมัดในแขนเสื้อแน่น ความลับนี้ชั่วชีวิตไม่อาจพูดออกมา!
ในเวลานี้เอง เสี่ยวกวนเข้ามารายงานว่า “เตี้ยนเซี่ย พระชายากลับมาแล้ว ทั้งยังพาคนผู้หนึ่งกลับมาด้วย เป็นองค์หญิงอันหยาง!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเลิกคิ้ว เขาจำองค์หญิงอันหยางได้
สำหรับน้องสาวคนนี้ เขาไม่รู้สึกอะไร แต่ก็ไม่ได้รังเกียจ แต่สรุปแล้วเพราะว่านางชอบเข้าหาเขา พูดคำพูดที่เขาไม่อยากฟัง แต่ก็เพราะเจตนาดี ดังนั้นเขาจึงไม่ทำร้ายเคี่ยวกรำนาง
เมื่อได้ยินว่านางได้พบกับเยี่ยเม่ย กลับเป็นเรื่องน่าแปลกใจนัก
คราวนี้ เยี่ยเม่ยยังพาคนกลับมาด้วย
หลังจากเข้ามาแล้ว องค์หญิงอันหยางยังไม่ทันถามอะไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทันทีที่เงยหน้าเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนสบายๆ อยู่บนหลังคา
นางมุมปากกระตุกไปเล็กน้อย กลับรู้สึกอิจฉา
ความจริงนางก็อยากนอนอยู่บนหลังคา เพียงแต่เพราะในวัง มีหมัวมัวทั้งหลายไม่อนุญาต พูดว่าเป็นองค์หญิงกิริยามารยาทต้องสำรวม เป็นแบบอย่างของคุณหนูทั้งหลาย เรื่องปีนหลังคาเช่นนี้ไม่อาจทำได้อย่างเด็ดขาด
ต่อให้เสด็จแม่พบเห็นเข้า ก็คงอบรมไม่น้อย ดังนั้นนางไม่กล้าทำ
เยี่ยเม่ยมองนาง ถามว่า “เจ้าคิดขึ้นไปนอนบนหลังคาหรือ”
เมื่อถามไป อันหยางรีบพยักหน้ามองเยี่ยเม่ย สีหน้าเฝ้ารอ “ข้าทำได้ไหม”
นางกำนัลด้านหลังองค์หญิงอันหยางรีบเตือนขึ้นว่า “องค์หญิง ท่านไม่อาจทำได้!”
เยี่ยเม่ยมองนางกำนัล “นี่คือจวนองค์ชายสี่ ข้าบอกว่านางขึ้นไปได้ก็ต้องขึ้นได้!”
“นี่…” นางกำนัลไม่กล้าขัดเยี่ยเม่ย อย่างไรเสียเมื่อครู่ตอนอยู่จวนโหวก็เห็นว่าเยี่ยเม่ยจัดการเซี่ยชูมั่วอย่างไรแล้ว ท่านหญิงผู้หนึ่งถูกหาเรื่องจนตกอยู่ในสภาพนั้นแล้ว นางเป็นแค่บ่าวคนหนึ่ง หากพระชายาองค์ชายสี่คิดจัดการนาง เช่นนั้นคงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้แล้ว นางจึงไม่กล้าส่งเสียง
ตอนนี้เมื่อเห็นนางไม่พูดอะไร องค์หญิงอันหยางพลันรู้สึกว่าตัวเป็นอิสระแล้ว รีบเอ่ยปากกับเยี่ยเม่ย “เช่นนั้นพี่สะใภ้สี่ ท่านพาข้าขึ้นไปหน่อยนะ!”
นี่คือสิ่งที่เยี่ยเม่ยต้องการพอดี
ในเมื่อฮองเฮาให้องค์หญิงอันหยางออกจากวัง เช่นนั้นนางกำนัลผู้นี้ก็ต้องเป็นคนที่ฮองเฮาส่งมาแน่ ดังนั้นคิดจะพูดจาเรื่องส่วนตัวกับองค์หญิงอันหยางก็ต้องขึ้นไปคุยบนหลังคา เพื่อหลบนางกำนัลผู้นี้ ไม่เช่นนั้นพวกนางเพิ่งหารือกันจบ ฮองเฮาก็คงรู้เรื่องไปด้วยแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่องค์หญิงอันหยางอยากขึ้นไปนอนบนหลังคาแล้วนางกำนัลห้ามไว้ แต่ตอนองค์หญิงอันหยางอยากมาจวนองค์ชายสี่ นางกำนัลกลับไม่คัดค้าน ตามหลักแล้วองค์หญิงอันหยางไปชมเรื่องสนุกที่จวนโหว หลังจากดูจนจบเรื่องแล้วก็สมควรเร่งให้อันหยางกลับวัง ทว่านางกำนัลกลับไม่ขวางอันหยางมาจวนองค์ชายสี่ เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาคิดใช้อันหยางเพื่อสืบข่าว
ตอนอยู่บนรถม้าเมื่อครู่เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้วจึงคลี่คลายเรื่องของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เรื่องที่นางคิดจะสนทนาส่วนตัวกับองค์หญิงอันหยางในเวลานี้ ยิ่งไม่อาจให้นางกำนัลรู้ได้
องค์หญิงอันหยางเสนอจบ
เยี่ยเม่ยก็จับนางไว้ พุ่งกทะลึ่งกายทีหนึ่งขึ้นถึงหลังคา องค์หญิงอันหยางหลับตาด้วยความตกใจ เมื่อนางลืมตาขึ้นมาก็อยู่บนหลังคาแล้ว นางค่อยคลี่ยิ้มออกมา
นางกำนัลเห็นองค์หญิงอันหยางขึ้นไปแล้ว ก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา ฮองเฮารับสั่งให้นางติดตามองค์หญิงอันหยาง ซ้ำยังกำชับว่าหากองค์หญิงอันหยางใกล้ชิดกับพระชายาองค์ชายสี่ นางห้ามค้านเด็ดขาด เฝ้าดูว่าพวกเขาสองคนสนทนาอะไรกัน
ตอนนี้พวกนางขึ้นไปบนหลังคาแล้ว สิ่งที่พูดคุยกันตนไม่อาจได้ยิน เช่นนั้นเมื่อกลับไปจะรายงานฮองเฮาเช่นไร
เห็นคนทั้งสองขึ้นมาอยู่บนหลังคา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแปลกใจ ใบหน้าหล่อร้ายฉายแววฉงนมองไปที่เยี่ยเม่ย ถามเสียงอ่อนว่า “ชายารัก นี่เจ้า…”
เยี่ยเม่ยมีนิสัยอย่างไร เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมรู้ชัดเจน นางไม่ใช่คนประเภทชอบคบค้ากับสตรีอ่อนแอ
แต่กลับมาอยู่กับอันหยาง
เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา น้ำเสียงนิ่งๆ แฝงไปด้วยความรังเกียจน้อยๆ “รีบลงไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับน้องสาวท่าน”
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอึ้งไปเล็กน้อย เขาอดไม่ไหวยิ้มออกมา ลุกขึ้นด้วยท่าทางสง่างาม มองเยี่ยเม่ยด้วยความใจอ่อน เอ่ยว่า” ทั่วหล้านี้ มีเจ้าคนเดียวที่กล้าพูดกับเยี่ยนเช่นนี้!”
ขึ้นมาก็ไม่เกรงใจกันเลย ไล่เขาลงไปตรงๆ เช่นนี้
เรื่องประเภทนี้ก็มีเยี่ยเม่ยที่ทำได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไสหัวไปซะ!” เยี่ยเม่ยรังเกียจที่เขาชักช้า โบกมือไล่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับไม่โกรธ เพียงยิ้มๆ อย่างจนปัญญา ลงจากหลังคาไป และเขายังพบว่าตัวเองเริ่มไม่มีตำแหน่งฐานะในจวนขึ้นไปทุกทีแล้ว
องค์หญิงอันหยางมองแล้วก็ตะลึงตะลาน
ปกติเห็นแต่ฉากที่เสด็จพี่สี่รังแกคนอื่น ไม่มีตอนไหนที่เห็นภาพเช่นนี้มาก่อน เสด็จพี่สี่ถึงกับถูกพี่สะใภ้สี่รังแกแล้วยังไม่เถียง ลุกขึ้นลงไปอย่างว่าง่าย อีกอย่างคำพูดที่พี่สะใภ้สี่ใช้เมื่อครู่อีก
ไสหัวไปซะ
เสด็จพี่สี่ยังไม่โมโห?
นี่เขายังเป็นเสด็จพี่สี่ที่นางเคยรู้จัก ปีศาจร้ายในสายตาทุกคนอีกหรือไม่
ครั้นเห็นองค์หญิงอันหยางอึ้งจนทึ่มไปแล้ว เยี่ยเม่ยก็นั่งลงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง แปลกใจที่เสด็จพี่สี่เจ้าดีกับข้าเพียงนี้หรือ”
องค์หญิงอันหยางทึ่งอยู่สักพัก ค่อยนั่งลงข้างเยี่ยเม่ย พยักหน้า “ใช่แล้ว เสด็จพี่สี่ที่ข้ารู้จักไม่ได้เป็นเช่นนี้นี่นา!”
นางชักสงสัยแล้วว่า ตัวเองอยู่ในจินตนาการหรือเปล่า
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ องค์หญิงอันหยางหันขวับไปมองเยี่ยเม่ยทีหนึ่ง เอ่ยปากว่า “พี่สะใภ้สี่ เสด็จพี่สี่ต้องรักท่านอย่างแท้จริงแน่ ดังนั้นเขาถึงปฏิบัติต่อท่านไม่เหมือนทำกับคนอื่น!”
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเอ่ยคำพูดเมื่อครู่กับเสด็จพี่สี่ เกรงว่าคงทอดร่างกลายเป็นศพแล้ว
เยี่ยเม่ยกลับยิ้มมอง องค์หญิงอันหยาง “เช่นนั้นเจ้าอยากหาคนที่รักเจ้าจากใจจริงเป็นสามีหรือไม่”
อย่างไรก็ตาม องค์หญิงอันหยางเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน เมื่อฟังแล้วหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมา
ก้มหน้าตอบเยี่ยเม่ยด้วยความหวั่นๆ กลับเปลี่ยนประเด็นเอ่ยว่า “พี่สะใภ้สี่ ท่านพาข้าขึ้นมาบนหลังคาเพราะมีเรื่องอยากคุยกับข้าใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าที่ท่านถามข้าบนรถม้า หากเสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้กับชายที่ข้าไม่ชอบ ข้าจะยินยอมหรือไม่ คำถามนี้ไม่ใช่คำถามธรรมดาเลย!”
องค์หญิงอันหยางไม่ใช่คนโง่ นางย่อมคิดปัญหาที่แฝงอยู่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยามนี้ยังจงใจหลบเลี่ยงนางกำนัลที่อยู่ด้านล่างอีก
จะว่าไป เมื่อครู่พี่สี่สะใภ้สี่ทำให้นางเห็นความโปรดปรานที่เสด็จพี่สี่มีต่อนางนั้นล้วนเป็นสิ่งที่จงใจแล้ว
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบกลับไปตามตรง “ข้าพูดแล้ว เจ้าก็อย่าเสียใจเชียวง!”
องค์หญิงอันหยางพยักหน้า “ท่านว่ามาเถอะ”!”
เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก “เซี่ยโหวเฉินกับจงรั่วปิง คุณหนูจวนซือคงรักชอบพอกัน เซี่ยโหวเฉินไปขอให้เสด็จพ่อเจ้าพระราชทานสมรสให้ แต่พระองค์ไม่ตกลง เพราะว่าจะยกเจ้าให้แต่งกับเซี่ยโหวเฉิน!”
ทันทีที่องค์หญิงอันหยางได้ฟังหน้าก็ซีดแล้ว
ถึงไม่อาจเรียกว่านางชอบเซี่ยโหวเฉิน เพียงแค่รู้สึกดีๆ แต่เมื่อรับรู้ว่าว่าที่สามีในอนาคตของตัวเองความจริงมีเจ้าของแล้ว ก็เหมือนถูกทำร้ายจิตใจอย่างไม่เจตนา เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่า…หากนางคิดแต่งกับเซี่ยโหวเฉิน อย่าว่าแต่งจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นเดียวกับที่เสด็จพี่สี่ทำให้พี่สะใภ้เลย
เกรงว่าแค่ความเกรงอกเกรงใจกันแบบสามีภรรยาทั่วไปก็อาจจะไม่ได้รับด้วยซ้ำ!
นางสีหน้าซีดเซียวอยู่สักพักใหญ่ ค่อยถามอย่างไม่อยากเชื่อว่า “เหตุใดทำไม เหตุใดทำไมเสด็จพ่อต้องทำเช่นนี้ เหตุใดต้องจับคู่ผิดๆ ด้วย”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยกับนางตามตรงแล้ว ก็ไม่คิดปิดบังอีก
ตอบไปตรงๆ ว่า “เพราะว่าฝ่าบาทกลัวว่าเซี่ยโหวเฉินจะร่วมมือกับใต้เท้าจงซาน พระองค์ไม่วางใจเซี่ยโหวเฉินมากนัก บางทีอาจกังวลว่าต่อไปเซี่ยโหวเฉินจะมีใจคิดคด! แต่ว่าข้ารับรองกับเจ้าได้เลย ต่อให้จงรั่วปิงแต่งกับเซี่ยโหวเฉิน จงซานก็ไม่มีทางร่วมมือกับเขาแน่!”