ตอนที่ 450 คนขาดประสบการณ์ทางโลก

พันธกานต์ปราณอัคคี

เจ้าเมืองเว่ยพูดประโยคนี้จบ ชายเสื้อสะบัดพัดพานักบำเพ็ญเพียรคนที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นเดินนำจากไปก่อนอย่างว่องไว

 

 

ร่างของเยี่ยเทียนหยวนโซเซไปเล็กน้อยแล้วกลับมามั่นคงใหม่อีกครั้งโดยเร็ว มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปหาอย่างไม่กระโตกกระตาก จับมือของเขาเอาไว้ นำเอาพลังวิญญาณที่เหลือไม่มากถ่ายทอดเข้าไป

 

 

“ศิษย์น้อง ข้าไม่เป็นอะไร” เยี่ยเทียนหยวนห้ามปรามไม่ให้นางส่งถ่ายพลังวิญญาณ พลิกจับมือของนางเอาไว้

 

 

เพลิงแก้วใจกระจ่างและเพลิงวาสนาตะวันไหลตามฝ่ามือทั้งสองคนเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่าย ทั้งสองคนรู้สึกว่าสบายขึ้นมากพร้อมกัน

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระกับก่อแก่นปราณชั้นต้นผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เดินขึ้นมาข้างหน้า แสดงความเคารพมั่วชิงเฉิน “ขอบคุณสหายเต๋าที่ให้ของวิเศษ”

 

 

พูดจบก็ส่งมุกรวมวิญญาณไปให้

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับไว้ ส่งยิ้มบางๆ ให้ “สหายเต๋าเกรงใจแล้ว ล้วนทำเพื่อกักขังควบคุมศพพาหะก็เท่านั้น ไม่อาจรับคำขอบคุณหรือตอบแทนใดๆ ได้”

 

 

พูดจบก็หันหน้ากลับมา หลุบตาลงแฝงท่าทีเย้ยหยันเอาไว้ในดวงตาให้ได้เห็น

 

 

จากสายตาของคนผู้นั้นนางเห็นสายตาละโมบที่ปิดบังไม่มิด

 

 

จะพูดไปแล้วก็ใช่ ไข่มุกรวมวิญญาณสำหรับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการรับประกันชีวิตครั้งหนึ่ง ใช้ได้ดีกว่าของวิเศษส่วนใหญ่อยู่มากนัก เห็นแล้วจะใจเต้นโครมครามก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

 

 

นางกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจที่มอบไข่มุกรวมวิญญาณให้คนผู้นั้นได้ยืม ในตอนนั้นมีคนแปดคนควบคุมค่ายสามด่านที่แต่เดิมต้องใช้คนเก้าคน หากว่าขาดไปอีกคนหนึ่งทุกคนก็เหลือเพียงความตายรออยู่เท่านั้น ชีวิตยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ สมบัติที่เหลือทิ้งไว้ล้วนไม่มีประโยชน์

 

 

ตอนนี้ก็รอดูว่าคนผู้นั้นจะสามารถควบคุมความละโมบในใจได้หรือไม่ หากว่าเรื่องนี้จบไปเช่นนี้ก็แล้วไป แต่หากมีความคิดสกปรกต่อมุกรวมวิญญาณ พวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ

 

 

ในใจเกิดความระแวดระวังต่อผู้บำเพ็ญเพียรผู้นั้น มั่วชิงเฉินคล้องแขนเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ เดินตามทุกคนกลับไปยังจวนเจ้าเมือง

 

 

นักบำเพ็ญเพียรและคนทั่วไปไม่เหมือนกัน เมื่อทำภารกิจสำเร็จ อย่างแรกที่ต้องทำไม่ใช่การเฉลิมฉลอง แต่เป็นการฟื้นฟูพลังวิญญาณและเรี่ยวแรงในทันใด

 

 

เจ้าเมืองเว่ยแม้จะไม่ได้ออกหน้า แต่ก็จัดการให้ผู้รับใช้มอบโอสถวิเศษมาให้ เสนอสิ่งที่ทุกคนต้องใช้ในการนั่งสมาธิ

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกสบายใจไปเปราะหนึ่ง ดูจากสถานการณ์ตรงหน้าพอจะมองออกว่าเจ้าเมืองเว่ยไม่ได้มีความคิดที่จะทำร้ายใคร

 

 

ที่จริงแล้วในโลกบำเพ็ญเพียรเมื่อมาจนถึงระดับก่อแก่นปราณแล้ว นอกจากเป็นศัตรูคู่อาฆาตหรือว่ามีผลประโยชน์มหาศาล ในสถานการณ์ปกติแล้วนักบำเพ็ญเพียรระดับสูงเหล่านี้ล้วนไม่สร้างศัตรู

 

 

อย่างเช่นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว แม้ว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่ไม่ได้มีตัวตนยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาเองก็น้อยครั้งที่จะลงมือกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ

 

 

แต่เพราะว่าเส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนนั้นยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นคนที่ออกมาจากตระกูลใหญ่หรือนักบำเพ็ญเพียรไร้สำนัก สามารถกลายเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะมีท่าไม้ตายสักสองสามท่าน หรือว่าที่พึ่งพิงใหญ่โตซ่อนอยู่ข้างหลังหรือไม่

 

 

ห้องของมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนรวมไปถึงหู่โถวอยู่ติดกัน หู่โถวยืนรออยู่หน้าประตูมานานแล้ว เห็นทั้งสองคนเดินมาดวงตาทั้งสองข้างก็ยิ้มจนยกปิดขึ้น ก้าวขาเล็กรีบวิ่งไปกอดขาของมั่วชิงเฉินเอาไว้ “ชิงเฉิน ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นหู่โถวแสดงนิสัยเด็กน้อยออกมา ถอนหายใจเบา พูดเสียงอ่อนว่า “หู่โถว เจ้าเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้แล้ว อย่าได้กอดขาข้าอยู่ตลอด”

 

 

หู่โถวปล่อยมือออกด้วยความประหม่า ลูบศีรษะล้านของตนเอง “ไอ้หยา ข้าลืมไปอีกแล้ว”

 

 

พูดจบก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า โศกเศร้าอย่างมาก

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นเขามีท่าทีเช่นนี้ก็คิดอยาจะยื่นมือออกไปจับใบหน้าของเขา แต่ก็รู้ดีว่าหากตนเองมองเขาเป็นเด็กอยู่ตลอด สำหรับเขาถือว่ามีแต่ผลเสียไร้ผลดี จึงยิ้มออกมาบางๆ พลางพูดว่า “ต่อจากนี้ก็จำไว้”

 

 

เพราะพวกมั่วชิงเฉินทั้งสองคนยังต้องไปนั่งสมาธิรักษาตัว จึงพากันแยกย้ายเข้าห้องตนเอง

 

 

เพียงแต่ไม่ทันรอให้มั่วชิงเฉินเข้าสู่ภวังค์สมาธิก็ได้ยินเสียงสนทนาจากห้องข้างๆ

 

 

“ท่านอาวุโส ขอถามหน่อยว่าอยู่ในห้องหรือไม่” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว ใช้กระแสจิตกวาดไป ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มที่แต่งกายเหมือนผู้รับใช้ยืนอยู่หน้าห้องเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ประตูถูกเปิดออกส่งเสียงไม้เสียดสีกัน เยี่ยเทียนหยวนยืนอยู่ริมหน้าต่าง น้ำเสียงเย็นยะเยือกเหมือนหยก “มีธุระหรือ?”

 

 

“ท่านอาวุโส ท่านเจ้าเมืองสั่งข้าน้อยมาให้บอกว่า เชิญท่านไปพูดคุยหลังจากฟื้นฟูแล้วขอรับ” ผู้รับใช้ค้อมเอวลงเล็กน้อย น้ำเสียงเคารพนอบน้อมอย่างมาก

 

 

“ทราบแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนพูดจบก็สะบัดมือ ประตูปิดลงเบาๆ ผู้รับใช้คนนั้นกลับยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลไม่ได้จากไปไหน

 

 

‘เจ้าเมืองเว่ยต้องการพบศิษย์พี่?’

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บความสงสัยในใจลงไป เริ่มนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ

 

 

ผ่านไปหลายช่วงยาม มั่วชิงเฉินที่ฟื้นฟูจนเสร็จแล้วก็ได้ยินเสีงประตูห้องข้างๆ เปิดออก

 

 

“ท่านอาวุโส เชิญทางนี้ขอรับ” ผู้รับใช้คนนั้นรีบเดินมาข้างหน้าเพื่อนำทาง

 

 

เสียงเรียบเฉยของเยี่ยเทียนหยวนดังให้ได้ยิน “รอก่อน ข้าขอคุยกับศิษย์น้องก่อน”

 

 

มั่วชิงเฉินรีบเปิดประตูออกมา มองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ท่านเจ้าเมืองเว่ยเรียกพบท่านหรือ?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนส่งเสียงตอบรับ เอ่ยปากพูดว่า “ศิษย์น้องเจ้าอย่าเป็นกังวลไป ข้าไปพบแล้วจะกลับมา”

 

 

มองดูแผ่นหลังที่เดินจากไปของเยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ปิดประตูแล้วเริ่มเพิ่มพลังวิญญาณให้กับมุกรวมวิญญาณ

 

 

เป็นกังวลไปก็ไร้ประโยชน์ จะต้องรักษาสภาพที่ดีที่สุดอยู่ตลอดเวลาถึงจะรับมือกับสถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในฉับพลัน

 

 

ไม่ทันได้รอให้เพิ่มพลังวิญญาณให้กับมุกรวมวิญญาณสำเร็จ เยี่ยเทียนหยวนก็กลับมาแล้ว เขาเดินตรงเข้ามาในห้องมั่วชิงเฉิน

 

 

มองดูท่าทีเงียบสงบของเยี่ยเทียนหยวน มั่วชิงเฉินยิ้มออกมาในทันใด “ศิษย์พี่ ลองให้ข้าเดาดูที่ท่านเจ้าเมืองเว่ยเรียกพบท่าน คงจะไม่ได้เชิญให้ท่านอยู่ต่อ ให้เป็นขุนนางต่างแดนหรอกกระมัง”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบผมมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้องเจ้าเดาถูกแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินปัดมือใหญ่ของเขาออก ยิ้มพลางพูดว่า “มีอะไรให้เดายากกัน ศิษย์พี่ควบคุมค่ายธงสองผืนอยู่คนเดียว ให้หาทั่วทั้งนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณในโลกบำเพ็ญเพียร คนที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้เกรงว่าคงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หากไม่ใช่ท่านศพพาหะคงไม่อาจถูกควบคุมเอาไว้ได้ ท่านเจ้าเมืองเว่ยจะสนใจท่านเป็นพิเศษก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เช่นนั้นพอท่านปฏิเสธเจ้าเมืองเว่ยไปเขาได้พูดอะไรหรือไม่”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยิ้มน้อยๆ “เจ้าเมืองเว่ยมีชาติกำเนิดสูงส่ง พอข้าปฏิเสธไปแล้วก็ไม่ได้รั้งอะไรเอาไว้ เพียงแต่บอกว่าหลังจากนี้หากยินยอมก็ให้มาหาได้ตลอดเวลา ใช่แล้ว ศิษย์น้อง เรือที่มุ่งหน้าไปหลิวโจวครึ่งเดือนจะมีสักลำหนึ่ง เกรงว่าพวกเราคงต้องอยู่ในจวนเจ้าเมืองไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง”

 

 

นี่ก็เป็นเรื่องที่คาดคิดเอาไว้แล้ว มั่วชิงเฉินพยักหน้าน้อยๆ พูดเรื่องนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นคนนั้นขึ้นมา เพื่อที่จะให้เยี่ยเทียนหยวนได้ป้องกันตนเอาไว้บ้าง

 

 

ตบะบำเพ็ญของพวกเขาแม้จะสูงกว่าคนผู้นั้น แต่อย่างไรการระมัดระวังก็เป็นด่านแรกของความปลอดภัย

 

 

วันรุ่งขึ้นเจ้าเมืองเว่ยจัดงานเลี้ยงฉลองตอบแทนทุกคน

 

 

มั่วชิงเฉินเพิ่งจะย่างเท้าเข้าโถงเลี้ยงแขก ฝีเท้ากลับต้องชะงักค้างอย่างไม่มีเหตุผล

 

 

ข้างกายเจ้าเมืองเว่ยมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ และชายหนุ่มผู้นั้นก็คือคนควบคุมศพที่นางไปบังเอิญเจอในคืนที่ตามหาศพพาหะคนนั้น

 

 

ชายผู้นั้นเห็นชัดว่าสังเกตเห็นมั่วชิงเฉินแล้วเหมือนกัน สายตาทอดมองอยู่ที่นางครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มอย่างแปลกประหลาดออกมา

 

 

ในเวลานี้เองเจ้าเมืองเว่ยเอ่ยปากขึ้น “สหายทุกท่านเชิญนั่ง เมื่อวานนี้กำจัดกวาดล้างศพพาหะอย่างราบลื่น ความสำเร็จของสหายทุกท่านมิอาจมองข้าม” พูดจบก็จงใจมองทางเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง

 

 

หลังจากนี้ก็แนะนำชายผู้นั้นให้กับทุกคนได้รู้จัก

 

 

แท้จริงแล้วชายหนุ่มผู้นั้นก็เป็นหลานชายของเจ้าเมืองเว่ย มีนามว่าเว่ยจื่อเฉิง ฟังจากคำพูดของเจ้าเมืองเว่ยแล้วหลานชายผู้นี้ถือเป็นพวกที่มีจิตใจในการค้นคว้าวิชาหลอมศพ มีแต่ความสนใจในร่างศพเท่านั้น เป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องราวรอบกาย วันนี้พาเขามาแนะนำให้ทุกคนรู้จักก็เพราะอยากให้เขาได้มีเพื่อนบ้าง

 

 

แน่นอนว่าคำพูดนี้ย่อมต้องพูดอย่างอ้อมค้อม ทุกคนล้วนมีจิตใจปรุโปร่ง ล้วนเข้าใจความคิดของเจ้าเมืองเว่ย

 

 

ผ่านไปไม่นานจู่ๆ ก็มีผู้รับใช้เข้ามารายงานว่ามีคนมาเยี่ยม เจ้าเมืองเว่ยชนแก้วเป็นการเคารพทุกคน กำชับให้เว่ยจื่อเฉิงรับรองทุกคน ก่อนที่จะจากไปก็ยังหันมามองด้วยความไม่วางใจทีหนึ่ง พูดกับทุกคนว่า “หลานชายเป็นคนขาดประสบการณ์ทางโลก หากมีสิ่งใดที่ทำพลาดหรือไม่รอบคอบก็หวังว่าทุกท่านอย่าได้ถือสา”

 

 

ไม่นานทุกคนก็เข้าใจความหมายที่เจ้าเมืองเว่ยพูดว่า ‘ขาดประสบการณ์ทางโลก’ หมายถึงอะไร

 

 

ทุกครั้งที่เว่ยจื่อเฉิงถือแก้วเหล้าชนเคารพทุกคนดวงตาก็จะเป็นประกายเหมือนจิ้งจอกหิวโหยมองแกะน้อย ปากพึมพำไม่ได้ศัพท์อยู่สองสามคำ แต่เสียงพึมพำนั้นทุกคนกลับได้ยินอย่างชัดเจน

 

 

ตอนที่ชนแก้วกับชายหนุ่มอายุราวสามสิบปีที่เขาบ่นพึมพำคือไม่มีจุดเด่น ตอนที่ชนแก้วกับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นผู้นั้นก็บ่นพึมพำว่าร่างกายอ่อนแอ ส่งผลกระทบต่อการเลื่อนขั้น รอจนชนแก้วกับหญิงสาวที่ไม่ค่อยพูดดวงตากลับเป็นประกายขึ้นมา น้ำเสียงดังขึ้นอย่างอดไม่ได้ พูดออกมาสองครั้งติดต่อกัน “คนนี้ไม่เลว”

 

 

ทุกคนได้ยินคำพูดที่แปลกประหลาดไม่มีเหตุผลก็อดที่จะหันมามองหน้าสบตากันไม่ได้

 

 

เมื่อมาถึงมั่วชิงเฉิน เว่ยจือเฉิงยื่นมือออกมาชนแก้วกับมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ดื่มหมดในอึกเดียว แล้วจึงได้พึมพำออกมาตามนิสัย “หน้าตาเช่นนี้ถือว่าหาได้ยาก หากนำมาหลอมเป็นศพเสน่ห์ก็คงจะดียิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่เสียพรหมจารี…”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าดำคล้ำในทันใด

 

 

ใบหน้าของทุกคนก็ดำคล้ำเช่นเดียวกัน เห็นชัดว่าการที่เขาทักทายกับทุกคนอยู่ตั้งนาน ในใจล้วนแต่คิดเรื่องจะเหมาะสมนำมาหลอมซากศพประเภทใดเช่นนั้นหรือ!

 

 

ท่ามกลางคนเหล่านี้สีหน้าของเยี่ยเทียนหยวนดำคล้ำกว่าใครเพื่อน เขาแทบจะพุ่งกำปั้นออกไปอย่างไม่ลังเล เล็งเป้าไปที่ใบหน้าของเว่ยจื่อเฉิงอัดเข้าไปอย่างรุนแรง

 

 

เลือดกำเดาไหลออกมาในทันใด เว่ยจื่อเฉิงร้องเสียงดังลั่น

 

 

“สหายเต๋าลั่วหยาง!” ในงานเลี้ยงทุกคนต่างรู้ชื่อของกันและกัน การแสดงออกอันแสนโดดเด่นของเยี่ยเทียนหยวนตอนที่กักขังคุมศพพาหะนั้นทำให้ทุกคนเลื่อมใสอย่างมาก เห็นเขาออกหมัดทำให้หลานชายเจ้าเมืองเว่ยบาดเจ็บ มีบางคนที่เอ่ยเตือนอย่างเป็นกังวล

 

 

แต่ทว่ากลับไม่มีคนก้าวขึ้นมาห้าม อย่างไรซะก็ไม่มีใครยอมก่อเรื่องไปมากกว่านี้

 

 

“ทำได้ดีนัก!” คงมีแต่หู่โถวที่ปรบมืออย่างกลัวว่าโลกนี้จะมีเรื่องวุ่นไม่พอ

 

 

มั่วชิงเฉินดึงมือเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ “ศิษย์พี่ อย่าได้ใจร้อน”

 

 

เว่ยจื่อเฉิงนวดจมูกเบาๆ มีท่าทางเหม่อลอย พูดออกมาด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “เจ้าต่อยข้า? เพราะอะไรกัน”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนแค่นหัวเราะ “ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ไม่ใช่ว่าลุงของเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้วจะมาพูดจาเลอะเทอะไร้สาระได้!”

 

 

ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็หัวใจสั่นสะท้านไป จู่ๆ เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา

 

 

พวกเขาล้วนเป็นนักบำเพ็ญเพียรระดับสูง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสามารถเคารพนอบน้อม แต่ก็ไม่ควรงอหลัง

 

 

โลกการบำเพ็ญเพียรแต่เดิมถือเป็นการกระทำสวนลิขิตฟ้า เผชิญหน้ากับความยากลำบากเพื่อเดินขึ้นสูง หากเมื่อต้องเผชิญกับความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าแล้วกดตัวเองลงต่ำเท่าเศษฝุ่น เช่นนั้นจะปีนขึ้นสูงได้อีกหรือ

 

 

ในขณะที่เว่ยจื่อเฉิงเช็ดเลือดกำเดาก็มีคนที่ฉลาดส่องไววิ่งออกไปด้วยความเร็ว

 

 

“ท่านเจ้าเมืองงง”

 

 

เจ้าเมืองเว่ยกำลังสนทนาอยู่กับนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดผู้หนึ่ง ได้ยินเสียงด้านนอกประตูก็สะบัดแขนเสื้อเปิดประตู พูดด้วยท่าทีนิ่งสงบ “มีเรื่องอะไร”

 

 

ความเยือกเย็นของนักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทำให้เขาไม่ได้โมโห แล้วอีกอย่างการที่มารบกวนในเวลานี้ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญ

 

 

‘หรือว่า…เจ้าเด็กนั้นจะก่อเรื่องอีกแล้ว?’

 

 

“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ท่านอาวุโสลั่วหยางผู้นั้นต่อยตีกับคุณชายจื่อเฉิงแล้วขอรับ” ผู้รับใช้รีบพูดขึ้น

 

 

‘เป็นอย่างที่คิดไว้! ทุกครั้งที่ดื่มสุรา เจ้าเด็กนั้นต้องก่อเรื่องไปเสียทุกครั้ง!’

 

 

เจ้าเมืองสูดลมหายใจลึก ถามขึ้น “เขาไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

 

 

ผู้รับใช้พูด “ตอบคำถามท่านเจ้าเมืองขอรับ คุณชายจื่อเฉิงถูกต่อยเลือดกำเดาไหลขอรับ”

 

 

เส้นเลือดตรงขมับเจ้าเมืองเว่ยเต้นตุบ สะบัดแขนเสื้อ “ออกไปเถิด หากยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องมารายงานอีก”

 

 

“ขอรับ” ผู้รับใช้รับคำก่อนถอยออกไป ลอบปาดน้ำตาแห่งความเห็นใจแทนเว่ยจื่อเฉิงทีหนึ่ง เห็นชัดว่าถูกอัดเสียเปล่าแล้ว

 

 

นักบำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งกลับพอมองอะไรบางอย่างออก เอ่ยปากพูดว่า “สหายเต๋าเว่ย ดูเหมือนเจ้าจะให้ความสนใจกับสหายลั่วหยางนั้นอยู่?”