ตอนที่ 451 เกาะพิศวง

พันธกานต์ปราณอัคคี

เจ้าเเมืองเว่ยวางจอกลงเบาๆ มองผู้ชราด้วยแววตาแฝงยิ้มปราดหนึ่ง

 

 

ผู้เฒ่าคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง ทั้งสองคบหากันมาหลายปี เข้าใจในตัวเจ้าเมืองเว่ยอย่างดี

 

 

เจ้าเมืองเว่ยเล่าเรื่องเยี่ยเทียนหยวนควบคุมค่ายธงสองหน้าให้ฟังรอบหนึ่ง

 

 

“อย่างนี้หรือ” ผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิดเลิกคิ้วสูง

 

 

เจ้าเมืองเว่ยอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อวาน ข้าเรียกสหายน้อยลั่วหยางผู้นั้นมาสนมนา พบว่าเขาคือร่างหยางบริสุทธิ์”

 

 

“หือ” ผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิดลุกขึ้นยืดตัวตรง นัยน์ตาเผยให้เห็นความสนใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”

 

 

เจ้าเมืองเว่ยพยักหน้า “เขาถึงแม้ว่าจะใช้อาคมลับปิดซ่อนเอาไว้ แต่เจ้าก็รู้ว่าข้ามีเจดีย์อ่านจิตใจอยู่ในมือ ถ้าอยู่ในระดับขั้นที่ต่ำกว่า หากข้าลงมือสำรวจ ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังได้ ข้าเดิมทีไม่ได้ใส่ใจพวกผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณเหล่านั้นหรอก คิดไม่ถึงว่านักพรตลั่วหยางจะสามารถใช้พลังของตนขยับค่ายธงสองหน้าได้ ค่ายสามห่วงไม่ใช่ค่ายกลธรรมดา ผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งจะรับมือได้นั้นไม่ง่าย การกระทำครั้งนี้ของเขาช่างทำให้ข้าทึ่งเสียจริง ถึงได้คิดที่จะลองสำรวจสักครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับร่างหยางบริสุทธิ์”

 

 

ผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิดฟังอยู่เงียบๆ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ต้องขอแสดงความยินดีกับสหายเว่ยแล้ว”

 

 

ในฐานะสหาย เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเมืองเว่ยมีบุตรสาวอยู่นางหนึ่ง เดิมทีเปี่ยมด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น อายุเพียงน้อยนิดก็กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณได้ น่าเสียดายที่ครั้งหนึ่งได้ใช้อาคมลับหลอมสร้างซากศพเดินได้ระดับสูงขึ้นมาแล้วปล่อยให้กลิ่นอายซากศพแทรกซึมเข้าสู่กาย จนร่างกายได้รับบาดเจ็บ ทำให้การบำเพ็ญไม่ก้าวหน้า ร่างกายเองก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ

 

 

ทุกสรรพสิ่งล้วนแต่มีคู่ส่งเสริมคู่ปรปักษ์ ผู้ซึ่งถูกกลิ่นอายซากศพเข้าแทรกซึม หากคิดจะกำจัดให้สิ้นซาก ไม่มีวิธีที่ดีที่สุด หากเป็นบุรุษ ยังพอที่จะใช้ธาตุหยางในกายตนฝึกฝนพลังปราณพิเศษเพื่อค่อยๆ ขับออกได้ หากเป็นสตรีแล้ว เป็นเพราะเกิดมาเป็นธาตุหยินโดยกำเนิด วิธีนี้คงเป็นไปไม่ได้

 

 

ดีที่สุดที่พอจะทำได้ ก็คือจับคู่บำเพ็ญกับบุรุษผู้เป็นร่างหยางบริสุทธิ์ สละพลังเพื่อขับเอากลิ่นอายซากศพออกจากร่าง ฟื้นฟูความเสียหายภายในร่างกายที่ถูกทำลายโดยกลิ่นอายซากศพ

 

 

เพียงแต่เสียดายที่ร่างหยางบริสุทธิ์นั้นพันปีถึงจะปรากฏสักคน แล้วจะไปหาได้จากที่ใดกัน

 

 

เจ้าเมืองเว่ยในฐานะผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย กลับทำได้เพียงให้บุตสาวที่รักกินยาบรรเทาความเจ็บปวด ไม่มีวิธีอื่นใดอีก

 

 

นี่ก็คือความหมายของคำว่า ‘ยินดี’ ของผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิด

 

 

เจ้าเมืองเว่ยกลับถอนใจออกมาเบาๆ “เพียงเสียดายก็แต่นักพรตลั่วหยางผู้นั้นมีคู่บำเพ็ญแล้ว ก็คือศิษย์น้องหญิงของเขา ครั้งนี้เองก็เข้าร่วมภารกิจเช่นกัน”

 

 

“สหายเว่ย นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยหลานสาวได้ เจ้าจะตัดใจเสียเชียวหรือ” ผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิดรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

 

ตามความคิดของเขา ต่อให้เป็นคู่ฝึกบำเพ็ญแล้วจะเป็นอย่างไรกัน โลกแห่งการบำเพ็ญพรตรวมตัวแยกจากมีมากมาย ใช้ทั้งพระเดชประกอบพระคุณ ทำให้เขาแยกกันก็สิ้นเรื่อง 

 

 

เจ้าเมืองเว่ยส่ายหน้า “ตัดใจหาใช่สิ่งที่ข้าหวังไม่ ตีกระบองแยกคู่ยวนยาง[1] ก็หาใช่สิ่งที่ข้าหวังไม่เช่นกัน”

 

 

ผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิดพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “สหายเว่ย ขอเพียงไม่ร้ายแรงถึงชีวิต บางครั้ง เรื่องบางเรื่องก็ยากจะเลี่ยงนะ”

 

 

“แม้วาจาจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าก็เห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่สามีภรรยานั่นรักกันมั่นคง หากคิดจะบังคับแยก ขืนใจจับคู่บำเพ็ญกับสาวน้อย เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรนัก” เจ้าเมืองเว่ยพ่นลมเป่าไปยังชาที่เย็นชืดไปแล้ว สุดท้ายก็วางมันลงบนโต๊ะ

 

 

“เช่นนั้นสหายเว่ยวางแผนเช่นไรต่อเล่า” ผู้เฒ่าระดับก่อกำเนิดไม่เข้าใจในความคิดของเจ้าเมืองเว่ยอยู่เล็กน้อย

 

 

สีหน้าเจ้าเมืองเว่ยสงบนิ่งเยือกเย็น เขาตอบขึ้นเสียงเรียบว่า “ข้าอยากปล่อยพวกเขาไว้สักระยะ ขอเพียงนักพรตลั่วหยางสามารถรักษาสาวน้อยได้ก็พอแล้ว”

 

 

ผึ้งสีเขียวมรกตตัวกระจ้อยร่อยตัวหนึ่งขยับไหว จากนั้นก็บินจากไปเงียบๆ

 

 

สีหน้ามั่วชิงเฉินซีดเผือดในทันใด

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองแล้วพลันรู้สึกเจ็บปวดในใจ พูดตอบกลับไปว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรไป เป็นห่วงว่าที่ข้าทำร้ายเขาจะทำให้เกิดเรื่องหรือ” 

 

 

มั่วชิงเฉินน้ำเสียงดูอ่อนแรง “ศิษย์พี่ พวกเรากลับห้องก่อนเถิด”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนดึงมั่วชิงเฉินหันกายเดินออกไป งานเลี้ยงสุราสิ้นสุดลงแม้จะไม่เต็มใจ ผู้คนที่เหลือลังเลอยู่ชั่วครู่ ครั้นแล้วก็จากไปโดยพลัน

 

 

“ศิษย์น้อง เป็นอะไรหรือ” เมื่อเข้าในห้องแล้ว เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าพลันเคร่งขรึม เหมือนมีลางสังหรณ์ไม่ดีปรากฏอยู่รางๆ จากนิสัยของศิษย์น้อง เพียงแค่ต่อตีกับผู้คนก็ไม่น่าจะถึงกับเสียกริยาเช่นนี้

 

 

มั่วชิงเฉินแบฝ่ามือออก ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตัวหนึ่งปรากฏขึ้น

 

 

นับแต่เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณขั้นกลาง เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาของนางก็ก้าวหน้าขึ้นมาก จิตสัมผัสไม่เพียงสามารถควบแน่นแปรเปลี่ยนเป็นเข็มเรียวบางโจมตีออกไปได้ ยังสามารถแฝงในสิ่งมีชีวิตอย่างผึ้งวิญญาณเลือดมรกตนี้แล้วส่งออกสำรวจได้อีกด้วย

 

 

ผึ้งวิญญาณเลือดมรกตมีลักษณะพิเศษแต่กำเนิด การเคลื่อนไหวไม่ทิ้งกระแสพลังวิญญาณไว้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญระดับสูงเองก็ยากจะสังเกตได้ เทียบกับการใช้จิตสัมผัสสำรวจโดยตรงแล้วนับว่าเหนือกว่านัก

 

 

เพียงแต่การใช้จิตสัมผัสในลักษณะนี้เมื่อส่งออกไปแล้วไม่อาจเรียกกลับคืนได้ เพราะด้วยการฝึกจิตสัมผัสนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า นางจึงน้อยนักจะทำเช่นนี้

 

 

แต่เมื่อครู่ตอนที่กำลังโกลาหล ผู้รับใช้คนนั้นลอบออกไปแต่เงียบๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตามั่วชิงเฉิน นางรู้ว่าเขาต้องไปรายงานให้เจ้าเมืองเว่ยรู้อย่างแน่นอน

 

 

เมื่อคิดถึงว่าเจ้าเมืองเว่ยเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นปลาย ท่าทีที่อาจมีต่อเรื่องนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างใหญ่หลวง นางจึงแอบส่งผึ้งวิญญาณเลือดมรกตตามไปเงียบๆ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินแผนการของเจ้าเมืองเว่ยเข้าโดยบังเอิญ

 

 

เพราะว่าไม่ต้องการให้หู่โถวเกิดความเข้าใจผิดว่าตนเป็นเด็กคนหนึ่งจริงๆ มั่วชิงเฉินจึงไม่ได้ให้หู่โถวกลับห้อง แต่เล่าเรื่องที่สำรวจพบออกมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าบึ้งตึงไปชั่วขณะ

 

 

หู่โถวขยี้ตาเบาๆ แล้วพูดอย่างทอดถอนใจว่า “สภาพร่างกายนี้ นำภัยมาเยือนจริงๆ”

 

 

มั่วชิงเฉินถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง บอกเป็นนัยว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามถากถางใครทั้งนั้น และเพลิงแก้วใจกระจ่างของนางเองก็นำภัยมาเหมือนกันมิใช่หรือ

 

 

“ศิษย์พี่ พวกเราทำอย่างไรดี” มั่วชิงเฉินถาม ในใจรู้สึกกังวลไม่สงบขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

นางกลัวอย่างมากว่า เพื่อความปลอดภัยของนางแล้ว เยี่ยเทียนหยวนจะตกปากยอมรับแผนของเจ้าเมืองเว่ย ถ้าเป็นเช่นนั้น นางคงผิดหวังอย่างมาก

 

 

ความทรงจำเมื่อชาติก่อน นางไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจยอมรับให้สามีของตนไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

 

 

มือใหญ่คู่หนึ่งวางลงบนเรือนผมนาง ขยี้เบาๆ “ศิษย์น้อง เจ้ากำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่หรือเปล่า”

 

 

“เอ๋” มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้น

 

 

เห็นริมฝีปากบางของเยี่ยเทียนหยวนเม้มแน่น แล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พวกเราก็จากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าเมืองเว่ยน่าจะไม่ทันคิด”

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกโล่งอก ดวงตาโค้งด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นกลางแม้จะทำให้จิตใจนางหวาดหวั่น แต่สัญญาใจของอีกฝ่าย กลับทำให้นางมีพลังขึ้นมาอย่างไม่สิ้นสุด 

 

 

ไม่ได้เข้าใจผิด ไม่มีเรื่องนอกบท ทั้งสองจะจูงมือเดินเคียงกันอย่างสงบเรียบง่ายต่อไป นี่คือความสุขของนาง

 

 

เยี่ยนเทียนหยวนมองรอยยิ้มของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม รำพึงในใจว่า เด็กโง่ หากเจอเรื่องเช่นนี้แล้วได้แต่ยอมโดยศิโรราบ เกรงพวกเราคงไม่อาจมีวันนี้ได้หรอก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพูดไม่ผิด เจ้าเมืองเว่ยกำลังพูดคุยกับสหาย ต่อให้มีคิดจะทำการใดๆ ต่อเยี่ยเทียนหยวน ก็ยังไม่อาจวางแผนได้ทัน

 

 

หากของวิเศษที่เจ้าเมืองเว่ยให้สัญญายังไม่ถูกแลกเปลี่ยน ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นย่อมต้องคอยอยู่ที่จวนเจ้าเมือง มีเพียงไม่กี่คนที่ออกจากจวนไปเดินเล่นยังตลาด 

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสามคนเองก็อาศัยข้ออ้างนี้ตามออกไปเช่นกัน

 

 

เดินที่ตลาดตามอำเภอใจอยู่รอบหนึ่ง ทั้งสามคนก็ออกนอกเมืองไปอย่างเงียบเชียบ เหยียบลงบนของวิเศษเหาะเหินลอยออกไปไกล 

 

 

ในมือของเยี่ยนเทียนหยวนมีแผนที่ฉบับหนึ่ง เขาในเวลานี้นั่งหลังตรงอยู่บนของวิเศษเหาะเหินรูปใบไม้กำลังคิดคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบ

 

 

พูดถึงเรื่องรู้จักเส้นทาง มั่วชิงเฉินไม่มีสิทธิ์ที่จะเอื้อนเอ่ยใดๆ ได้แต่นั่งเงียบๆ หลบมุมอยู่

 

 

ไม่นาน เยี่ยเทียนหยวนก็ชี้ไปยังสถานที่สองสามแห่งบนแผนที่ แล้วพูดกับมั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง พวกเราไปที่แห่งนี้ก่อน ไม่เข้าเมือง ข้ามเทือกเขาแห่งนี้ไปโดยตรงมุ่งสู่เขตแดนเมืองฝูอี้ ค่อยไปยังเมืองหมิงจ้าวจากที่นี่ จากนั้น พวกเราก็ข้ามทะเลมุ่งสู่หลิวโจวโดยตรง”

 

 

“ไปหลิวโจวจากที่นี่หรือ” นิ้วมือมั่วชิงเฉินชี้นิ้วไปยังตำแหน่งใกล้กับเมืองหมิงจ้าวบนแผนที่ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหันกลับไปมองยังทิศทางเมืองเสวียนอู้ปราดหนึ่ง แล้วพยักหน้า “อืม คงได้แต่ไปจากที่ตรงนี้ ท่าเรือเมืองเสวียนอู้อยู่ในกำมือของตระกูลเว่ย หากเราไปจากที่นั่น ต้องหนีไม่รอดแน่ พื้นที่ทะเลใกล้เมืองหมิงจ้าวแห่งนี้ถูกควบคุมโดยผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก เป็นประโยชน์ต่อพวกเรามาก ศิษย์น้องเจ้าดูสิ ที่จริงแล้วจากเมืองหมิงจ้าวไปยังหลิวโจว ยังใกล้กว่าจากเมืองเสวียนอู้อยู่บ้าง เพียงแต่พวกผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเหล่านั้นไม่มีความสามารถที่จะสร้างเส้นทางเดินเรือขึ้นมา พวกเราหากต้องการเริ่มเดินทางจากที่นี่ ก็คงได้แต่อาศัยกำลังตนเองข้ามทะเลเท่านั้น”

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปยังท่าทางจริงจังของเยี่ยเทียนหยวน เห็นใบหน้าด้านข้างอันคมชัดนั้นขาวผ่อง แต่กรามกลับมีเคราอยู่รำไร นางอดไม่ได้ยื่นมือออกไป คว้าที่เอวเขาเบาๆ หมับหนึ่ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตัวเกร็งทันใด ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว

 

 

มีหู่โถวอยู่ ทั้งสองไม่กล้าจะทำอะไร มั่วชิงเฉินหัวเราะร่วนขึ้นมาเบาๆ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกลับสีหน้าบึ้งตึง มองถมึงทึงไปยังนางปราดหนึ่ง

 

 

หู่โถวเห็นทั้งสองก็ได้แต่ประหลาดใจ แล้วถอนใจออกมาว่าอมิตาภพุธ

 

 

ทั้งสามเดินทางสุดกำลัง รีบเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ในตอนที่เจ้าเมืองเจียงพบว่าทั้งสามหายตัวไป พวกเขาก็คงอยู่เหนือท้องทะเลแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินจึงได้ถอนใจอย่างโล่งอก

 

 

ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้เจ้าเมืองเว่ยออกไล่ตาม พวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่มีทางหนีรอด ต่างจากที่เมืองเสวียนอู้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนกในกรงขังเลย

 

 

เพียงแต่การข้ามมหาสมุทรนั้นไม่ง่ายเลย ระยะทางจากเสวียนโจวไปยังหลิวโจว หากทั้งสามบินไป คงต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยสามปี

 

 

หากประสบกับอสูรกายท้องทะเลหรือสภาพอากาศผิดปกติ นั่นยิ่งยากจะบอกได้

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มองไปทางใดล้วนแต่ไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่มีที่ให้พักระหว่างทาง เวลานานเข้า พละกำลังอ่อนล้าจนยากจะทนได้ยิ่งกว่าการใช้พลังวิญญาณอีก

 

 

สองปีผ่านไป

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านดูที่นั่นสิ มีเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง!” มั่วชิงเฉินเห็นที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป มีเงาดำหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น สีหน้านางเต็มไปด้วยความยินดี

 

 

สองปีแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาใช้ไปกับการบิน ตอนแรกพบกับเกาะแก่งน้อยใหญ่อยู่ไม่น้อย แต่เมื่อผ่านไป สองสามเดือนจึงจะพบสักครั้ง

 

 

และครั้งนี้ ก็เว้นห่างเป็นเวลาแปดเดือนเต็ม พวกเขาถึงได้พบกับเกาะ ความรู้สึกย่อมหลีกไม่ได้ที่จะเกิดความยินดี

 

 

เกาะแห่งนั้นดูเหมือนจะใกล้ แค่เพียงบินไปชั่วครู่ก็น่าจะถึง

 

 

ที่พบได้ยากก็คือ เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยหญ้าเขียวชอุ่ม ต้นไม้ขึ้นอยู่แน่นหนา

 

 

เพื่อความระวังรอบคอบ ทั้งสองปล่อยจิตสัมผัสออกไปสำรวจรอบหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินย่นคิ้วขึ้น “ศิษย์พี่ หู่โถว พวกท่านต้องระวังหน่อย ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ”

 

 

แน่นอนว่าจิตสัมผัสของนางเทียบไม่ได้กับเยี่ยเทียนหยวนผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย แต่เพราะผ่านการฝึกเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตา เมื่อเข้าสำรวจในจุดเล็กจุดน้อยกลับเฉียบคมกว่ามาก

 

 

“เช่นนั้นพวกเราก็พักกันอยู่กับที่ก่อนเถอะ” เยี่ยเทียนหยวนพูด

 

 

ทั้งสามเดินทางต่อเนื่องมาแปดเดือนแล้ว พละกำลงแทบจะหมดสิ้นแล้ว จะให้จากไปโดยทันทีย่อมเป็นไปไม่ได้ ในตอนนี้มีเพียงพักนิ่งอยู่กับที่ จึงจะพอมีพลังเร่งเดินทางต่อ

 

 

เชื่อมเขตอาคมทั้งสองบนผืนผ้าเข้าด้วยกัน แล้วทั้งสามคนพักฟื้นเป็นเวลาสิบวันเต็ม จึงสามารถฟื้นฟูพลังได้เต็มอัตตรา

 

 

โชคดีที่เขตอาคมไม่ถูกโจมตีหรือแตะต้อง

 

 

เมื่อสลายเขตอาคมแล้ว มั่วชิงเฉินก็ถอนหายใจเบาๆ และพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเดินทางกันเถอะ”

 

 

แต่หลังจากนั้นก็ต้องถึงกลับตะลึง รู้สึกเหมือนกับมีมืออันเย็นยะเยือกข้างหนึ่ง คว้าข้อเท้านางเอาไว้

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ตีกระบองแยกคู่ยวนยาง เป็นสำนวน หมายถึง เป็นการเปรียบเปรยถึงคนที่ไปบังคับแยกคู่รักให้พรากจากกันนั่นเอง