ภาคที่ 4 ตอนที่ 32 เข้าวัดไท่ฉาง

มรรคาสู่สวรรค์

ว่ากันว่าในอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว บนแผ่นดินได้มีสิ่งที่สามารถทำให้เวลาที่ผ่านไปแล้วย้อนกลับมาได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือของวิเศษ ลู่กั๋วกงคิดมาตลอดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ แต่หลังจากได้ฟังจิ๋งจิ่วพูดประโยคนี้ เขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องไร้สาระที่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง เช่นนี้แล้วเขาก็จะได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ แล้วกลืนคำพูดของตัวเองประโยคนั้นกลับเข้าไปเสีย

เขาเป็นเจ้ากรมวัดไท่ฉาง การจะพาจิ๋งจิ่วเข้าไปในวัดไท่ฉางนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขารู้ดีว่าจิ๋งจิ่วมิใช่คนธรรมดา อย่างนั้นวัดไท่ฉางที่จิ๋งจิ่วอยากจะไปก็ย่อมมิใช่วัดไท่ฉางในสายตาชาวโลก หากแต่เป็นที่นั่น

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของราชสำนัก เอาเพียงแค่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิ๋งจิ่วกับเรือนกั๋วกง เขาก็ไม่มีทางมองดูอีกฝ่ายเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงได้

ลู่กั๋วกงเตรียมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดยั้งอีกฝ่าย ในเวลาสั้นๆ เขาคิดเหตุผลที่ฟังดูน่าเชื่อถืออย่างมากเอาไว้สิบกว่าข้อ แต่เมื่อเห็นสายตาที่สงบนิ่งของจิ๋งจิ่ว เขาก็รู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะทำอะไรก็ล้วนแต่เหนื่อยเปล่า ถึงแม้ตัวเองจะเอากระบี่มาจ่อไว้ที่คอก็ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของจิ๋งจิ่วได้

“ข้าไม่รู้ว่าท่านจะเข้าไปถึงไหน หากแค่ชั้นหนึ่งล่ะก็ บางทีข้าอาจจะทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้าลึกลงไปกว่านั้น…อันตรายเกินไปขอรับ”

ลู่กั๋วกงล้มเลิกความคิดที่จะพูดโน้มน้าวจิ๋งจิ่ว เขาใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาจากหน้าผาก พลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ท่านน่าจะทราบดีว่าวัดไท่ฉางมันคือสถานที่อะไร หากเกิดทำให้ผู้นั้นรู้ตัวเข้า อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็คงจะช่วยท่านออกมาไม่ทัน”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าไม่เคยไปที่นั่น แต่ว่าเตรียมตัวมาแล้ว เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”

นอกจากแคว้นเสวี่ยและบ่อผ่านฟ้า วัดไท่ฉางก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน ตอนนี้สภาวะของท่านต่ำต้อยเช่นนี้ ต่อให้เตรียมตัวมามากแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์

ลู่กั๋วกงครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ จึงอดถอนใจออกมาไม่ได้ ก่อนกล่าวถามว่า “ท่านบอกให้แน่ชัดหน่อยได้หรือไม่ว่าจะไปที่ชั้นไหนกันแน่ขอรับ?”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้าไม่แน่ใจ”

ครั้นได้ยินคำพูดประโยคนี้ ลู่กั๋วกงก็รู้แล้วว่าจบสิ้นกันแล้ว แล้วก็ไม่กล้าถามจิ๋งจิ่วว่าจะเข้าไปวัดไท่ฉางทำอะไร เขากล่าวถามเสียงสั่นว่า “อย่างนั้นท่านเตรียมจะอยู่ที่นั่นนานเท่าไรขอรับ?”

จิ๋งจิ่วครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “อย่างเร็วก็สามปี ถ้าช้ากว่านั้นล่ะก็ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

อย่างเร็วก็ยังสามปีอย่างนั้นหรือ?

เป็นคำตอบที่ไม่แน่ชัดอีกแล้ว?

ในหัวลู่กั๋วกงมีเสียงวิ้งดังขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริงๆ แล้ว

……

……

ลู่กั๋วกงเดินออกไปจากเรือนตระกูลจิ๋งผ่านทางอุโมงค์ใต้ดิน แผ่นหลังดูเหม่อลอยคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง

จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่

แมวขาวมุดออกมาจากแขนเสื้อ กระโดดขึ้นไปบนหน้าอกเขา ก่อนจะจ้องมองดวงตาของเขา แววตาดูดุร้ายยิ่งนัก

—-เจ้าพาข้ามาเจาเกอเพื่อสู้กับเจ้านั่นมิใช่หรือ? ตอนนี้ข้าเตรียมพร้อมแล้ว แต่เจ้ากลับจะเข้าไปในที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันนั่น?

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าอยากจะสู้กับมัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือตามข้าเข้าไป”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาแมวขาวก็เปล่งประกายออกมา ในใจครุ่นคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีอย่างมากจริงๆ ด้วย

แต่แค่พริบตามันก็ปฏิเสธความเป็นไปได้นี้

ได้ยินว่าสถานที่นั้นทั้งอับชื้นทั้งมืดมิด บางที่ก็หนาวเย็นจนเสียดไปถึงกระดูก บางที่ก็ร้อนจนแทบจะทนไม่ไหว อีกทั้งยังมียุงเยอะด้วย

สิ่งที่ยุ่งยากมากที่สุดก็คือที่นั่นเป็นเขตแดนของอีกฝ่าย ต่อให้มันจะเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีอีกฝ่ายจนมือไม้ปั่นป่วน แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นการเอาตัวเองไปโยนใส่ปากศัตรู

หากมันตายอยู่ที่นี่ มิเท่ากับว่ามันต้องกลายเป็นตัวตลกของโลกแห่งสัตว์เทพหรอกหรือ?

จิ๋งจิ่วรับรู้ได้ถึงจิตจำแนกของมัน หลังครุ่นคิดเล็กน้อยก็พบว่ามีปัญหาบางอย่างจริงๆ

ต่อให้อาต้าจะเก็บซ่อนพลังเก่งแค่ไหน แต่ในด้านนี้มันก็ยังไม่อาจเทียบตนเองได้ หากตามเข้าไปด้วย เจ้านั่นจะต้องรู้ตัวแน่

“อย่างนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ช่วงเวลาสองสามปีที่ข้าไม่อยู่ เจ้าคอยช่วยข้าจับตาดูที่นี่เอาไว้”

แมวขาวหรี่ตา แสดงออกว่าไม่เข้าใจ

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็คือการทำร้ายครอบครัวหรือว่าลูกหลานของผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่ในโลกปุถุชน ถึงแม้เดิมทีการบำเพ็ญพรตมันจะเป็นการตัดขาดจากโลกแห่งปุถุชนก็ตาม

เมื่อมียอดเขาเสินม่อของชิงซานอยู่ ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรตระกูลจิ๋ง

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าหากสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาต้องการเกลี้ยกล่อมให้ยอดเขาเสินม่อเปลี่ยนท่าที ตระกูลจิ๋งซึ่งอยู่ในเมืองเจาเกอจะต้องได้รับแรงกดดันอย่างมากแน่นอน

เมื่อได้ยินคำอธิบายของจิ๋งจิ่ว แมวขาวก็ยื่นกรงเล็บเท้าขวาไปเกาคอเสื้อของจิ๋วจิ่ว นั่นคือการถามว่าแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไร?

จิ๋งจิ่วกล่าว “นี่ก็คือการต่อสู้”

แมวขาวส่งเสียงร้องออกมาอย่างไม่พอใจ

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากจิ่งเหยาได้เป็นฮ่องเต้ ก็ถือว่าเราชนะ สำนักจงโจวย่อมต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เจ้ากับมันต่อสู้มาหลายพันปีก็ยังไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นพวกเราหรือว่าสำนักจงโจวก็ล้วนแต่ไม่สามารถทนดูพวกเจ้าสู้กันจนตายไปจริงๆ ได้ เช่นนั้นก็ใช้เรื่องนี้มาตัดสินแพ้ชนะก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ แมวขาวก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่

ความจริงไม่ว่าจะเป็นมันหรือว่าจิ๋งจิ่วต่างก็ทราบดีว่าหากสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งจริงๆ มันจะต้องเป็นฝ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ในบรรดาผู้พิทักษ์ของชิงซาน หยวนกุยไม่เคยออกจากยอดเขาเทียนกวง มันกับอินเฟิ่งล้วนแต่อ่อนแอกว่าเล็กน้อย มีเพียงเจ้าหมาดำตัวนั้นถึงจะสามารถสู้กับเจ้าสองตัวที่อยู่บนเขาอวิ๋นเมิ่งได้อย่างสูสี

แมวเขากระโดดลงมาจากตัวจิ๋งจิ่ว ส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ ก่อนจะหายตัวไป ไม่รู้ว่าไปที่ใด

มันตอบรับคำขอของจิ๋งจิ่ว อีกทั้งยังสัญญาด้วยว่าหากเกิดปัญหาอะไร มันจะคอยสกัดอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อให้จิ๋งจิ่วได้มีโอกาสหนีออกมา

……

……

หลายปีมานี้กรมชิงเทียนค่อนข้างยุ่ง พวกเขายุ่งอยู่กับการตามล้างตามเช็ดให้กับผู้บำเพ็ญพรตเหมือนอย่างที่ผ่านมา ยุ่งอยู่กับการจัดการเอกสารและทรัพยากรต่างๆ ของลานเมฆ แล้วก็จัดส่งไปให้สำนักต่างๆ อีกทั้งยุ่งอยู่กับการตามจับสมุนที่เหลือของปู้เหล่าหลิน ยุ่งอยู่กับการหยุดยั้งไม่ให้สมุนเหล่านั้นฆ่าตัวตาย เพื่อที่จะได้ล้วงความลับออกมาได้มากขึ้น โดยเพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเผ่าหมิง

ในวันหนึ่ง รถที่มีผ้าดำคลุมปิดเอาไว้อย่างมิดชิดคันหนึ่งได้ถูกลากเข้าไปในจวนของกรมชิงเทียน เจ้าหน้าที่ของกรมชิงเทียนที่พบเห็นเรื่องราวต่างๆ จนชินมิได้รู้สึกแปลกใจอะไร พวกเขาเพียงแค่รู้สึกสงสัยในสถานะของผู้ที่ถูกคุมขังเล็กน้อย เพราะรถคันนั้นเห็นได้ชัดว่ามีไอพลังของข่ายพลังอยู่ แสดงว่าสภาวะของคนที่ถูกคุมขังอยู่นั้นมิอาจมองข้ามได้

รถที่ใช้ผ้าสีดำคลุมปิดคันนี้มิได้หยุดอยู่ที่กรมชิงเทียน หากแต่ทะลุผ่านด้านหลังจวน เข้าไปในตรอกเส้นหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังวัดไท่ฉางที่อยู่ไม่ไกล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบพื้นที่แถบนี้มีระดับค่อนข้างสูง เขาย่อมต้องทราบเหตุผล จึงเซ็นชื่อลงตราประทับอย่างช่ำชอง ก่อนจะนั่งกลับลงไปยังโต๊ะของตน

เจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนผู้นั้นมองดูรถสีดำคันนั้นหายเข้าไปในตรอก เมื่อคิดถึงข่าวลือเหล่านั้นของวัดไท่ฉาง เขาก็ส่ายศีรษะพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง

ภายในวัดไท่ฉาง ลู่กั๋วกงก็กำลังดื่มชาอยู่เช่นกัน เขาวางถ้วยชาลง รับรู้ได้ถึงความแข็งของวัตถุที่อยู่ในแขนเสื้อชิ้นนั้น หลังลังเลอยู่ครู่ สุดท้ายก็ไม่ได้หยิบออกมา

เดิมเขาคิดจะมอบหยาดพิรุณอันเป็นของวิเศษของสำนักจงโจวชิ้นนี้ให้จิ๋งจิ่ว แต่เมื่อคิดว่าในเมื่อจิ๋งจิ่วเตรียมตัวมา เช่นนั้นตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรวุ่นวาย

ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้ผู้นั้นรับรู้ได้ถึงไอพลัง มันกลับจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้ง่าย

ผ่านไปไม่นาน รถที่คลุมผ้าสีดำคันนั้นก็คลื่อนตัวออกมาจากตรอก จากนั้นวิ่งไปทางด้านหลังวัดไท่ฉาง แล่นผ่านสายตาเขาไปไกล

หนังตาของลู่กั๋วกงห้อยตกลง เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา สีหน้าดูแย่อย่างมาก

หากจิ๋งจิ่วเป็นอะไรไป ฝ่าบาทคงจะสั่งให้เขาปลิดชีวิตตัวเองเป็นแน่ หลังลงไปยังใต้ดินด้านล่างแล้ว ตนเองจะมีหน้าไปพบผู้เป็นบิดาได้อย่างไร?