ภาคที่ 4 ตอนที่ 33 คุกสะกดมาร

มรรคาสู่สวรรค์

ลู่กั๋วกงเตรียมตัวพร้อมแล้ว

เขาเอาเรื่องนี้ทูลฮ่องเต้ ตัดสินใจว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะกลายเป็นขุนนางที่ขยันขันแข็งมากที่สุด ทุกวันจะมานั่งดื่มชาอยู่ที่วัดไท่ฉาง

ขณะเดียวกันเขาก็ขอให้ฝ่าบาทส่งลู่หมิงซึ่งเป็นผู้สืบทอดของตนไปทำงานยังมณฑลหนานเหอเป็นเวลาสามปี

หลังจากสามปีไปแล้วหากไม่มีปัญหาอะไร จิ๋งจิ่วกลับมา เช่นนั้นลู่หมิงถึงจะกลับมายังเมืองเจาเกอ แต่ถ้าจิ๋งจิ่วไม่กลับมา เขาก็จะอาศัยเส้นสายของตระกูลกู้ไปเข้ากับทางชิงซาน

ลู่กั๋วกงยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านนอกห้องโดยไม่ให้มีใครสังเกตเห็น

รถที่คลุมด้วยผ้าสีดำหายไปแล้ว

เขาแอบถอนใจ หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

รถที่คลุมผ้าสีดำมาถึงส่วนลึกของวัดไท่ฉาง ทะลุผ่านป่าไผ่ วิ่งไปตามถนนเส้นหนึ่ง

ถนนปูเอาไว้ด้วยหินกรวดแม่น้ำ ล้อรถบดไปบนหินส่งเสียงดังครึกๆ

เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะถนนค่อยๆ ลาดลงกลายเป็นเนิน สุดท้ายเข้าไปยังใต้ดิน

เจ้าหน้าที่ที่อยู่ที่นี่สวมชุดสีดำ บนชุดปักรูปกรงเล็บมังกรเอาไว้ข้างหนึ่ง ดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของวัดไท่ฉาง

เจ้าหน้าที่สองสามคนใช้โซ่เหล็กล่ามรถเอาไว้ตรงหน้ากำแพงหิน

บนกำแพงหินมีรูปเซียนและทะเลเมฆแกะสลักเอาไว้ ไม่รู้ว่าเป็นบรรพจารย์ของสำนักไหน

แสงสว่างพลันหายไป บริเวณรอบๆ ตกอยู่ในความมืด

รถคันนั้นค่อยๆ จมลงไปใต้ดิน คล้ายกับสัตว์ที่จมลงไปในโคลน ไร้ซึ่งซุ่มเสียง แต่กลับให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัวและตื่นตระหนก

ยิ่งลงไปด้านล่าง บรรยากาศรอบด้านก็ยิ่งอึมครึมและเย็นยะเยือก มองไม่เห็นแสงสว่างใดๆ อีก ทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิด

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ล้อรถก็ลงมาถึงพื้นด้านล่าง ส่งเสียงกระแทกเบาๆ

จิ๋งจิ่วนั่งอยู่ในรถ เขารับรู้ได้ถึงอากาศที่หนาวเย็นและความมืดมิดที่อยู่รอบด้าน ขณะเดียวกันก็คำนวณระยะห่างและทิศทางอย่างเงียบๆ

หากในอนาคตเขาต้องหนีออกไปจากที่นี่ เขาก็จำเป็นต้องจำทุกเรื่องและทุกรายละเอียดที่เกิดขึ้นในวันนี้เอาไว้ให้ได้

ด้านนอกรถมีเสียงดังขึ้น น่าจะเป็นเสียงล้อรถที่บดไปกับพื้น บนพื้นคล้ายจะปูด้วยหินกรวดชั้นหนึ่ง เพียงแต่น้ำหนักที่ล้อรถต้องแบกรับคล้ายจะหนักเกินไป

มีเสียงหลายเสียงดังขึ้นเบาๆ ข่ายพลังที่อยู่บนรถถูกคลายออก ประตูที่ถูกปิดตายเอาไว้ถูกเปิดออก

ถึงแม้จะอยู่ในความมืด แต่เนตรกระบี่ของจิ๋งจิ่วก็ยังช่วยให้เขามองเห็นภาพต่างๆ ได้มากพอ

ตรงหน้าประตูรถมีหุ่นเชิดปรากฏขึ้นมาสองตัว

ด้านล่างหุ่นเชิดมีแผ่นกระดานที่ติดล้อเล็กๆ เอาไว้แปดล้อ ตัวหุ่นทำขึ้นมาจากโลหะเสวียนจินที่แข็งแกร่งที่สุด ด้านบนวาดสัญลักษณ์ข่ายพลังที่ซับซ้อนเอาไว้ มิน่าถึงได้หนักอึ้งถึงเพียงนี้

ที่นี่ก็เหมือนคุกกระบี่ของชิงซาน บรรยากาศมืดมิดและสกปรก เผลอๆ อาจจะมากกว่าคุกกระบี่เสียอีก ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือแห่งสำนักฝ่ายธรรมะที่มีใจแห่งเต๋ามั่นคง หากมาอยู่ที่นี่ก็อาจจะถูกกัดกินได้ อย่างเบาก็ส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรจนได้รับความเสียหาย อย่างหนักก็ธาตุไฟเข้าแทรก หรืออาจจะถูกไอพลังที่มืดมิดและสกปรกเหล่านี้ควบคุมได้ ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีมนุษย์อยู่เหมือนอย่างคุกกระบี่ของชิงซาน

คุกกระบี่ของชิงซานมีซือโก่ว

ที่นี่มีหุ่นเชิดคอยดูแล

ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?

แผ่นดินเฉาเทียนมีสถานที่แห่งหนึ่งที่เอาไว้ใช้คุมขังยอดฝีมือของพรรคมาร มารของเผ่าหมิงและสัตว์ประหลาดแคว้นเสวี่ย นั่นก็คือคุกสะกดมารอันเลื่องชื่อ

ทุกคนต่างรู้ว่ามีคุกสะกดมารอยู่ แม้แต่คนธรรมดาหรือกระทั่งเด็กสามขวบก็ยังรู้เรื่องนี้ แต่คนที่รู้ว่าคุกสะกดมารอยู่ที่ไหนกลับมีอยู่น้อยคนนัก

แม้แต่ในราชสำนักหรือสำนักบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ล่วงรู้ความลับนี้

คุกสะกดมารก็คือวัดไท่ฉาง

พูดให้ถูกก็คืออยู่ด้านล่างวัดไท่ฉาง

ลู่กั๋วกงรับหน้าที่เป็นเจ้ากรมวัดไท่ฉางมานานหลายปี หลายคนคิดเพียงแต่ว่านี่เป็นตำแหน่งสูงศักดิ์ ไหนเลยจะล่วงรู้ว่านี่หมายถึงความไว้วางพระทัยอย่างไร้ข้อกังขาที่ฝ่าบาททรงมีให้เขา

……

……

จิ๋งจิ่วกำลังคิดว่าจะใช้วิธีอะไรทำให้ตัวเองเหมือนเป็นนักโทษเมื่อหุ่นเชิดเสวียนจินสองตัวนี้จากไป

ทันใดนั้นเอง เขาพลันรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวอย่างมากสายหนึ่งแผ่ออกมาจากที่ที่หนึ่งที่อยู่ไกลออกไป

แรงกดดันที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้จะต้องมาจากดวงจิตที่แข็งแกร่งอย่างมากแน่นอน ทันทีที่สัมผัสถูก มันสามารถบดขยี้หรือทำลายจิตใจที่ไม่แข็งแกร่งลงได้อย่างง่ายดาย

ถึงแม้ดวงจิตนี้จะยังมิอาจเทียบกับผู้ที่อยู่ในส่วนลึกของแคว้นเสวี่ยผู้นั้นได้ แต่ระดับชั้นก็ต่างกันไม่มาก

จิ๋งจิ่วไม่ได้มองไปยังจุดที่แรงกดดันสายนี้ปรากฏขึ้นมา เขาไม่มีการตอบสนองใดๆ เพราะเขาได้บทเรียนมาจากตอนที่อยู่ในแคว้นเสวี่ยแล้ว —- ตอนนี้เขาเป็นเพียงศิษย์ชิงซานที่สภาวะต่ำต้อย ต่อให้พลังจิตแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถต่อต้านสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ตรงๆ ได้ ดังนั้นจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าเป็นตนเองไม่ได้เด็ดขาด

เขาปิดตาลง รักษาใจแห่งเต๋าของตัวเอง ปล่อยให้แรงกดดันสายนั้นตกลงมา

ทะเลแห่งการรับรู้เกิดคลื่นยักษ์ถาโถมไปรอบด้านอย่างคุ้มคลั่ง เขากลายเป็นเรือลำเล็กที่อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สติและความรู้สึกตัวทั้งหมดจมลงไปใต้ทะเล

แรงกดดันสายนั้นกลายเป็นพายุลูกใหญ่ที่กวาดทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นใบไม้ที่อ่อนแอและไร้ซุ่มเสียงอยู่ในลมพายุนั้น พลังทั้งหมดปลิวออกไปพร้อมกับลมพายุ

เขาเป็นเหมือนผู้บำเพ็ญพรตธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกแรงกดดันสายนี้เล่นงานจนสลบไสลไม่ได้สติ

แรงกดดันสายนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกไป ผู้นั้นมิได้สนใจทางนี้อีก

จิ๋งจิ่วรู้ว่าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าเป็นตน แล้วก็ไม่ได้พยายามหยั่งเชิงตนเอง หากแต่นักโทษทุกคนที่เข้ามาในคุกสะกดมารจะต้องถูกชำระล้างด้วยแรงกดดันสายนี้

ไม่ว่าเจ้าจะเป็นจอมมารของเผ่าหมิงหรือว่าเป็นยอดฝีมือของพรรคมาร ส่วนใหญ่เมื่อผ่านด่านนี้ไปก็แทบจะเสียสติไปจนหมด จิตใจพังทลาย ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติคืนมา

เช่นนี้แล้ว ทางคุกสะกดมารก็ไม่ต้องกังวลว่านักโทษเหล่านี้จะแหกคุกหรือว่าฆ่าตัวตายในตอนที่เพิ่งจะถูกจับมาขังเอาไว้ที่นี่

วิธีแบบนี้หยาบกระด้างเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าโหดร้าย แต่เมื่อคิดถึงว่ามันผู้นั้นต้องทนลำบากอยู่ในเมืองเจาเกอมานานขนาดนี้…

ในอีกแง่หนึ่งแล้ว มันน่ารันทดยิ่งกว่าซือโก่วเสียอีก ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงเข้าใจมัน

หุ่นเชิดเสวียนจินสองตัวนั้นลากเอาจิ๋งจิ่วที่ ‘สลบ’ อยู่ลงมาจากรถ หลังบินอยู่ในความมืดเป็นเวลาครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงหลายเสียง

จิ๋งจิ่วถูกขังอยู่ในห้องขังห้องหนึ่ง

เขาลืมตาขึ้น แต่กลับไม่ได้สำรวจดูสภาพแวดล้อมโดยรอบห้องขัง หากแต่ทอดตามองออกไปยังด้านนอก

ในคุกสะกดมารอันมืดมิดไม่มีแสงไฟแม้แต่นิดเดียว แต่กลับมีเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนดังไม่หยุดอยู่ในโลกที่ดูคล้ายหน้าผา

ทุกที่บนหน้าผาล้วนแต่เต็มไปด้วยโพรงถ้ำ ทุกแห่งล้วนแต่มีอักขระข่ายพลังที่อันตรายอย่างมาก ไม่รู้ว่าคุมขังนักโทษเอาไว้มากน้อยเท่าไร

ที่นี่คือชั้นหนึ่งของคุกสะกดมาร นักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ที่นี่ถ้าไม่เป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถ ก็เป็นนักฆ่าของปู้เหล่าหลิน หรือไม่ก็ผู้อาวุโสของพรรคมาร หลังถูกแรงกดดันสายนั้นชำระล้าง บางคนค่อยๆ อาศัยเวลาในการฟื้นสติกลับขึ้นมาได้ แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังจมดิ่งอยู่ในโลกที่จิตใจแหลกละเอียด

คนเหล่านั้นจะพูดในสิ่งที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง ร้องเพลงที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง พูดๆ ร้องๆ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายปี

เมื่อต้องมานั่งฟังเสียงเล็กๆ คล้ายหนอนจำนวนนับหมื่นกำลังกัดกินใบไม้อยู่ในความมืดเหล่านั้น นักโทษที่จิตใจค่อนข้างอ่อนแอคงจะต้องตกใจจนสลบไป

จิ๋งจิ่วยืนอยู่หน้าประตูห้องขัง ฟังเสียงเหล่านั้น จิตใจสงบนิ่ง

นักโทษทุกคนที่อยู่ในคุกสะกดมารจะถูกล่ามโซ่พลังวิญญาณเอาไว้ ภายในห้องขังมีอักขระข่ายพลังวางเอาไว้ อีกทั้งจิตใจยังถูกแรงกดดันสายนั้นเล่นงานจนแตกสลาย ไม่มีโอกาสที่จะหนีออกไปได้เลย

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่ปัญหาสำหรับจิ๋งจิ่ว เพราะเขานำกุญแจมาด้วยสองดอก ยิ่งไปกว่านั้นอักขระข่ายพลังในห้องขังนี้เขาก็รู้วิธีคลายมันตั้งนานแล้ว

เขาหยิบเอากุญแจออกมาไขโซ่พลังวิญญาณ คลายอักขระข่ายพลัง เปิดประตูห้องขัง เดินเข้าไปในความมืด

ตอนนี้คุกสะกดมารมีลู่กั๋วกงคอยดูแล ที่นี่ย่อมไม่สามารถขังเขาเอาไว้ได้ ก็เหมือนอย่างคุกกระบี่ของชิงซาน

เขาโชคดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือว่าชีวิตนี้

แต่เขาจะต้องไม่ประมาท เพราะภายในคุกสะกดมาร ลู่กั๋วกงมิใช่คนที่ใหญ่ที่สุด ฮ่องเต้ก็มิใช่คนที่ใหญ่ที่สุด

เขาไม่ได้ส่งเสียงใดๆ ไม่ได้หายใจ ไม่มีไอพลัง ไม่มีการเต้นของหัวใจ เป็นเหมือนวิญญาณ เดินไปในคุกสะกดมาร

ไม่ว่าจะเป็นนักโทษที่ได้สติคืนมาแล้วหรือว่าหุ่นเชิดเสวียนจินที่มีการรับรู้ที่เฉียบคมก็ล้วนแต่ไม่มีทางพบถึงการมีอยู่ของเขา

ในส่วนที่ลึกที่สุดของความมืดคือหน้าผาแห่งหนึ่ง ริมผามีเถาวัลย์สีดำห้อยอยู่เส้นหนึ่ง จิ๋งจิ่วไม่ได้ไต่เถาวัลย์ลงไป หากแต่กระโดดลงไป

หากมีคนสามารถมองเห็นภาพในความมืด เขาก็คงจะมองเห็นชุดสีขาวของจิ๋งจิ่วพลิ้วไหวตามสายลมเหมือนดอกไม้ก็มิปาน

แต่ความจริงแล้วเสื้อผ้าและการเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้ทำให้เกิดลมเลยแม้แต่นิดเดียว

ที่แท้มิใช่ดอกไม้ หากแต่เป็นเมฆ

ด้านล่างหน้าผาคือชั้นที่สองของคุกสะกดมาร