ตอนที่ 668

Elixir Supplier

668 เกรี้ยวกราด ราตรีมาเยือน

 

นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาปักกิ่งมักจะเลือกไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนและพระราชวังต้องห้ามกันเป็นส่วนใหญ่ กำแพงเมืองจีนมีความยาวมากกว่าสองหมื่นกิโลเมตร มันคือความน่าอัศจรรย์ของอดีตกาล เมื่อมองจากมุมสูงก็จะสามารถมองเห็นความยิ่งใหญ่ของมันได้

 

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีทานมื้อเที่ยงด้วยกันในร้านอาหารที่ดูสะอาดและน่านั่ง ก่อนที่พวกเขาจะออกเที่ยวกันต่อ ทั้งสองไปที่คฤหาสน์กงหวังฝู่ในช่วงบ่าย

 

มันคือคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่ง ผู้คนพูดกันว่า ภายในคฤหาสน์ได้บรรจุประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ชิงเอาไว้เกือบครึ่ง ถึงแม้คฤหาสน์จะเล็กกว่าพระราชาวังต้องห้าม แต่มันก็มีความพิเศษในตัวมันเอง

 

เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงวันหยุด จึงมีคนเข้ามาเยี่ยมชมคฤหาสน์แห่งนี้ไม่มากนัก พวกเขาเดินกันไปได้สักพักถึงจะเจอกับคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ

 

“เธอคิดว่า คนที่อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ในอดีตจะเคยหลงทางกันบ้างไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ก็อาจจะหลงได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ผมว่า พวกเขาน่าจะทำป้ายเพื่อบอกทางว่าห้องครัวกับห้องน้ำไปทางไหนนะ” หวังเย้าพูด

 

“ไม่มีทางหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ถ้าเกิดมีคนคิดอยากจะสังหารองค์ชายขึ้นมาละคะจะทำยังไง?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เรื่องนั้นก็จริง” หวังเย้าพูด

 

“ฉันได้ยินว่าที่นี่มีผีสิงอยู่ด้วยล่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ไม่ใช่ว่าพระราชวังต้องห้ามก็มีผีสิงอยู่ด้วยเหมือนกันเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“แล้วคุณคิดว่า โลกนี้มีผีอยู่จริงไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมก็เคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งนะ” หวังเย้าพูด

 

อยู่ๆพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดเข้ามา ในตอนที่พวกเขากำลังพูดเรื่องผีกันอยู่พอดี

 

“ว้าย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน

 

“ผีมาแล้วเหรอ?” หวังเย้าพูดหยอก

 

“อ๊าย!” ซูเสี่ยวซวีแกล้งทำเป็นกรีดร้อง

 

“ฮาฮา!” เสียงหัวเราะของทั้งสองดังก้องอยู่ภายในตัวคฤหาสน์

 

พวกเขาเดินอยู่ในคฤหาสน์อย่างไม่เร่งรีบ เพราะภายในไม่ได้มีคนอยู่มากเท่าไหร่ ทั้งสองอยู่ที่คฤหาสน์กงหวังฝู่ไปจนถึงบ่ายสี่โมงเย็น

 

“อยากจะไปเที่ยวที่ไหนอีกไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ไม่แล้วล่ะ วันนี้เราเที่ยวกันทั้งวันแล้ว เราพักกันก่อนเถอะ” หวังเย้าพูด

 

“โอเคค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เธอช่วยเลือกร้านสำหรับคืนนี้ด้วยนะ แต่ผมจะขอเป็นคนเลี้ยงเอง” หวังเย้าพูด

 

“ไม่มีปัญหาค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด “ฉันจะชวนน้าเหลียนมากินกับเราด้วยนะคะ”

 

หวังเย้ารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับชูเหลียน ผู้เป็นลูกจ้างที่มีความรับผิดชอบสูงของตระกูลซู เขาสงสัยว่า ทำไมซูเสี่ยวซวีจะต้องเรียกเธอว่าน้าด้วย ในเมื่อชูเหลียนเพิ่งจะอายุได้แค่สามสิบกว่าปีเท่านั้น

 

ชูเหลียนเลือกร้านเอาไว้ร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านอาหารแบบไพรเวทที่ตั้งอยู่ภายในบ้านเก่าหลังหนึ่ง มันอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมือง แต่เป็นร้านที่มีชื่อเสียงอย่างมาก

 

“เชฟที่นี่ฝีมือดีมากเลยค่ะ ถึงเขาจะเป็นคนแปลกอยู่บ้างก็ตาม” ชูเหลียนพูด

 

“แปลกยังไงเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เขาจะเป็นคนคิดว่าจะทำอาหารอะไรให้ลูกค้ากิน ดังนั้น ที่นี่ลูกค้าไม่มีสิทธิสั่งอาหารเอง พวกเขามาเพื่อรอกินอย่างเดียวเท่านั้น” ชูเหลียนพูด

 

“เขาแปลกจริงด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

พวกเขารออยู่ประมาณ 30 นาที แล้วอาหารก็ถูกนำออกมาเสริฟ เชฟใช้เวลาทำอาหารค่อนข้างนาน อาหารที่นำอกมาเสริฟทั้งหมดแปดจานใช้เวลาทานถึงเกือบหนึ่งชั่วโมง อาหารแต่ละจานมีรสชาติอร่อย และมีวัตถุดิบมากมายที่นำออกมาทำอาหารให้แต่ละจาน

 

“หืม?” หวังเย้ารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากที่เขาได้กินอาหารจานหนึ่งเข้าไป อาหารจานนี้มีส่วนผสมของชะเอมและมิ้นต์อยู่ด้วย เขาลองชิมอาหารจานอื่นดู ซึ่งก็มีสมุนไพรผสมรวมอยู่ในนั้นเช่นเดียวกัน

 

“โอเคไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามขึ้นมา ในขณะที่หวังเย้ากำลังลองชิมอาหารแต่ละจานอยู่

 

“อืม ผมแค่สงสัยเกี่ยวกับรสชาติของอาหารแต่ละจานน่ะ เชฟของร้านนี้แปลกจริงๆ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“อาหารแต่ละจานเป็นยังไงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เขาใส่สมุนไพรลงไปในแต่ละจานด้วยน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“จานนี้มีส่วนผสมของชะเอมกับมิ้นต์อยู่ ส่วนจานนี้มีโสมกับโก่วฉี, ส่วนจานนี้มีฟู่หลิงกับเป้ยหมูผสมอยู่…” หวังเย้าชี้ไปที่อาหารแต่ละจาน และบอกกับซูเสี่ยวซวีว่ามีสมุนไพรอะไรผสมอยู่บ้าง

 

“แล้วถ้ากินสมุนไพรพวกนี้เข้าไปจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ไม่เป็นอะไรหรอก” หวังเย้าพูด

 

อาหารเหล่านี้ก็คืออาหารที่นำสมุนไพรมาปรุงเป็นอาหาร แต่มีอยู่จานหนึ่งที่ฤทธิ์ของสมุนไพรมีความขัดแย้งกัน ซึ่งสามารถทำให้เกิดแก็สในกระเพาะและท้องเสียได้

 

“ผมสงสัยว่า เขาไปได้สูตรอาหารพวกนี้มาจากที่ไหน” หวังเย้าพูด

 

“คุณอยากจะคุยกับเขาไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม “ฉันไม่อยากมาท้องเสียทีหลังนะ”

 

“ไม่ล่ะ ช่างมันเถอะ” หวังเย้าพูด

 

อาหารรสชาติอร่อยเป็นที่พอใจของทุกคน ทั้งสามทานเสร็จตอนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม

 

“อยากจะไปดูหนังไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เอาสิ” หวังเย้าพูด เขาไม่ได้ไปโรงหนังหลายปีแล้ว

 

พวกเขาเลือกหนังที่มีเนื้อหาสนุกสนาน ทั้งสองนั่งดูหนังอยู่ข้างกันอย่างเงียบๆ

 

ซูเสี่ยวซวีกินป๊อบคอร์นพร้อมกับดูหนังไปด้วย อารมณ์ของเธอในเวลานี้ หวานพอๆกับรสชาติของป๊อบคอร์น

 

หนังที่ดูไม่ได้น่าประทับใจมากนัก คนที่มาดูส่วนใหญ่จะมากันเป็นคู่ พวกเขาเพียงแค่อยากจะหาสถานที่ที่จะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเท่านั้น บางคู่ก็โอบกอดคู่ของตนเอาไว้ในอ้อมแขน

 

ชูเหลียนนั่งมองคนทั้งคู่อยู่ที่มุมหนึ่งของโรงหนัง และคิดในใจว่า คุณหนูซูดูเหมือนจะชอบหมอหวังมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีนั่งใกล้ชิดติดกัน ทั้งสองจะกระซิบข้างหูของกันและกันเป็นครั้งคราว ศีรษะของคนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไม่มากกว่านั้น

 

หลังจากดูหนังจบ ชูเหลียนก็ขับรถไปส่งหวังเย้าที่บ้านและกลับบ้านไปพร้อมกับซูเสี่ยวซวี

 

หลังจากที่ออกไปนอกบ้านมาตลอดทั้งวัน ซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกเหนื่อยล้า เธออาบน้ำและเข้านอน เธอก็ไม่ได้หลับในทันที แต่กลับกำลังคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่เธอได้อยู่กับหวังเย้า และคิดถึงสถานที่ที่พวกเขาจะไปกันในวันพรุ่งนี้

 

ภายในห้องนั่งเล่นที่อยู่ชั้นล่าง ชูเหลียนนั่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในระหว่างวันให้ซงรุ่ยปิงฟัง

 

“คุณผู้หญิงคะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นสปายยังไงไม่รู้ค่ะ” ชูเหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“เสี่ยวซวีเป็นคนใสซื่อ เราต้องคอยจับตาดูเธอเอาไว้ ฉันอดห่วงเธอไม่ได้เลยจริงๆ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

ขณะเดียวกัน หวังเย้านั้นกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่างของห้องพัก เขาใช้เวลาไปทั้งวัน และเขาก็มีความสุขมาก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่สามารถอธิบายได้

 

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! มีใครบางคนมาเคาะประตู

 

“ใครครับ?” หวังเย้าถาม

 

เขาเดินไปที่ประตูและพบว่า มีหญิงสาวหน้าตาดีแต่งหน้าหนาเตอะยืนอยู่ที่ประตู

 

“ขอโทษนะครับ คุณคือใคร?” หวังเย้าถาม

 

“สวัสดีค่ะ ต้องการบริการพิเศษไหมคะ?” เธอถาม

 

เขาปิดประตูทันที

 

“บ้าอะไรกัน? มีบริการแบบนี้ในโรงแรมด้วยเหรอเนี่ย?” หวังเย้าพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด

 

“เฮอะ” หญิงสาวส่งเสียงหึออกมาและเดินไปที่ห้องอื่นต่อ

 

บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับมีชายวัยกลางคนร่างท้วมเดินออกมาจากภายในห้อง เขามองไปที่หญิงสาว ก่อนจะเชิญเธอเข้าไปด้านใน

 

ในตอนที่หวังเย้ากำลังจะหลับ เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคน

 

“โอ้ ไม่นะ!”

 

เกิดอะไรขึ้น? เขาสงสัย

 

ครู่ต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูรีบร้อน เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งกับปัญหาของคนอื่น ดังนั้น เขาจึงยังคงอยู่ภายในห้องของตัวเอง

 

“เกิดอะไรขึ้น?” พนักงานโรงแรมถาม

 

“ฉัน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้แรกเขาก็ยังดีดีอยู่ แต่อยู่ๆเขาก็หมดสติไป” หญิงสาวพูด

 

เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นในระหว่างทีเพศสัมพันธ์เหรอ? เกิดการสูญเสียธาตุหยาง? หวังเย้าคิด

 

ชายวัยกลางคนร่างท้วมคนนี้ช่างโชคร้าย เขาตั้งใจจะมีความสุขกับการเดินทางมาทำธุรกิจที่ปักกิ่ง เพราะภรรยาจอมจู้จี้ของเขาไม่ได้มาด้วย เขาจึงใช้โอกาสนี้เรียกใช้บริการพิเศษจากหญิงสาวห้าคนภายในเวลาสามวัน คืนนี้ เขาก็รู้สึกเบื่อเหมือนเช่นเคย แล้วก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมาเคาะประตูห้องของเขาพอดี เขาจึงกินยาไวอะกร้าเข้าไปหลายเม็ด ก่อนที่จะมีเซ็กซ์กับหญิงสาว และสุดท้าย เขาก็ต้องมาเสียชีวิตเพราะอาการช๊อคจนหัวใจหยุดเต้น

 

“รีบพาเขาไปโรงพยาบาลเร็วเข้า” พนักงานโรงแรมพูด

 

รถฉุกเฉินเดินทางมาถึงในเวลาไม่นาน

 

มันเป็นความจริงที่ว่า สิ่งมึนเมาเป็นพิษร้ายที่เข้าไปทิ่มแทงกระเพาะของผู้ดื่ม และเซ็กซ์คือมีดที่แหลมคมที่สามารถตัดกระดูกให้ขาดออกจากกันได้

 

การตายของเขาไม่ได้เกี่ยวของกับหวังเย้าเลยสักนิด เขาแค่นอนหลับช้ากว่าที่ตั้งใจเอาไว้ไปเล็กน้อยก็เท่านั้น

 

ขณะเดียวกัน เครื่องบินลำหนึ่งได้แล่นลงที่สนามบินปักกิ่ง

 

“สวัสดียามเย็นครับ คุณชายกั๋ว” ชายที่มารอรับกั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“เขามาที่ปักกิ่งเหรอ?” กั๋วเจิ้งเหอถาม

 

“ครับ เราเห็นเขากับซูเสี่ยวซวีอยู่ด้วยกัน” ชายคนนั้นพูด

 

“อืม” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

เขาขึ้นไปนั่งบนรถด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก รอยยิ้มที่แสนเจิดจ้าไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย และถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด

 

เขากล้าดียังไงถึงมาที่ปักกิ่ง! เขากล้าดียังไงถึงได้มาใช้เวลาอยู่กับเสี่ยวซวี!

 

เขาคิดไม่ถึงว่า หวังเย้าจะเดินทางมาที่ปักกิ่ง และทันทีที่เขาทราบข่าว เขาก็เดินทางมาปักกิ่งด้วยความโมโห

 

เขามักจะวางแผนก่อนจะลงมือเสมอ มันถือเป็นหลักการหนึ่งของเขา แต่ครั้งนี้ เขากลับทำก่อนคิด

 

ตอนที่อยู่บนเครื่อง เขาเอาแต่คิดว่า เขาจะทำอะไรได้บ้างและควรทำอะไรบ้าง เขาไม่ได้กลับไปที่บ้านและพักอยู่ที่อื่นแทน เขาไม่ต้องการให้คนในครอบครัวรู้ว่าเขากลับมา

 

วันต่อมา มันเป็นวันที่สดใสและแดดจ้า

 

“เอาน้ำไปด้วยนะจ๊ะ วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอุณหภูมิจะอยู่ที่ 30 องศาเลยนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูดเตือนก่อนที่ซูเสี่ยวซวีจะออกจากบ้านไป

 

“รู้แล้วค่ะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“แล้ววันนี้จะไปที่ไหนกันเหรอจ๊ะ?” ซงรุ่ยปิงถาม

 

“ไปที่สวนสาธารณะเซียงชานค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“โอเคจ๊ะ ไปเถอะ ขอให้สนุกนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“ขอบคุณค่ะ คุณแม่ แล้วเจอกันนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ชูเหลียนขับรถเพื่อพาซูเสี่ยวซวีไปรับหวังเย้าที่โรงแรม จากนั้น พวกเขาก็ตรงไปที่สวนสาธารณะเซียงชานกันต่อ

 

มันเป็นวันเสาร์พอดี ดังนั้น จึงมีคนมาเที่ยวอยู่เต็มไปหมด

 

สวนสาธารณะเซียงชานนั้นมีขนาดใหญ่มาก และมีหลายจุดที่น่าสนใจ มีต้นไม้อยู่ทั่วสวน ถึงแม้แดดจะค่อนข้างแรงและอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ภายในสวนสาธารณะกลับไม่ได้ร้อนเลย

 

พวกเขาไปที่วัด, ยอดเขาเซียงลู่, และบ้านเจียนซิน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น ทั้งสองคอยดูแลซึ่งกันและกัน ในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่บนเขา หวังเย้าก็ได้ให้ความสนใจกับต้นไม้ในบริเวณนี้เป็นพิเศษ

 

เขาได้ยินมาว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเนินเขาเซียงชานถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ และต้นไม้แต่ละต้นก็มีความเก่าแก่อย่างมาก