ตอนที่ 669

Elixir Supplier

669 ไม่หันหลังกลับ ไม่เสียใจทีหลัง

 

หวังเย้าพบว่ามีมีต้นสนอยู่หลายพันธุ์ทั้ง พันธุ์ทิงฟ่า, พันธุ์เฟิงชี, พันธุ์ฉงซง, และพันธุ์จิ่วหลง

 

ในเมื่อเขาก็ปลูกทั้งต้นไม้และสมุนไพรมากมายเอาไว้บนเนินเขาหนานชาน เขาจึงให้ความสนใจต้นไม้เหล่านี้เป็นพิเศษ เขายังพบอีกด้วยว่า ทิวทัศน์ของธรรมชาตินั้นน่าสนใจกว่าสิ่งก่อสร้างโบราณเหล่านั้นมาก

 

ที่เขาเซียงชานมีทั้งสิ่งอำอวยความสะดวกต่างๆและร้านอาหารอยู่ด้านบนด้วย พื้นที่บริเวณนี้เป็นจุดที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและเที่ยวชมสิ่งต่างๆ พวกเขาหาที่นั่งพักและหาอะไรทานง่ายๆแถวนั้น หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันเดินชมบริเวณอื่นกันต่อ

 

สวนสาธารณะเซียงชานนั้นมีขนาดใหญ่พอๆกับอุทยานหลวง มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อเที่ยวให้ทั่วบริเวณ

 

ในช่วงบ่าย พวกเขาไปที่สวนจื้อซง, และวัดปี้หยุน

 

สิ่งก่อสร้างหลายอย่างได้รับความเสียหายและถูกทำลายไปบางส่วน ถึงจะมีการซ่อมแซมในบางส่วนแล้ว แต่มันก็ไม่สามารถคืนกลับสู่สภาพเดิมของมันได้

 

“เราเข้าไปอธิษฐานข้างในกันไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ไปสิ” หวังเย้าพูด

 

หลายคนเชื่อกันว่า หากพวกเขาได้อธิษฐานขอพรในวัด สิ่งที่พวกเขาปรารถนาก็จะเป็นจริงได้ แต่หวังเย้าไม่ใช่หนึ่งในนั้น

 

ด้านในวัดมีการตกแต่งเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่ ซูเสี่ยวซวีคุกเข่าเพื่อขอพร ส่วนหวังเย้าก็ยืนอยู่ข้างๆเธอ

 

อยู่ๆพวกเขาก็ได้ยินเสียงคนเรียก “เสี่ยวซวี?”

 

พวกเขาหันไปตามเสียงและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้ามีรอยยิ้มแสนเจิดจ้าติดอยู่ เขาก็คือ กั๋วเจิ้งเหอ

 

“สวัสดี พี่เจิ้งเหอ บังเอิญจังเลยนนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“สวัสดี เสี่ยวซวี สวัสดีครับ หมอหวัง” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

“สวัสดี” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ยอมฟังคำแนะนำจากผมนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูดพร้อมกับจ้องไปที่หน้าของหวังเย้า

 

“ผมไม่คิดจะสนใจ แล้วผมก็ไม่ล้มเลิกความคิดนั้นด้วย” หวังเย้าพูด

 

ไม่กี่นาทีก่อน หวังเย้าอาจจะคิดว่า การที่เขามาเจอกั๋วเจิ้งเหอที่นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ตอนนี้ ความคิดนั้นได้หายไปแล้ว เขารู้สึกไม่ชอบในตัวกั๋วเจิ้งเหอเลยสักนิด

 

ทำไมเขาจะต้องอยู่ห่างจากของหรือคนที่กั๋วเจิ้งเหอสนใจด้วยล่ะ? กั๋วเจิ้งเหอไม่ใช่เทพเจ้าหรือจักรพรรดิของโลกนี้สักหน่อย เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมตามใจชายคนนี้เลยสักนิด

 

“ดี ผมหวังว่าหลังจากนี้คุณจะไม่ต้องมาเสียใจภายหลังนะครับ” กั๋วเจิ้งเหอพูด

 

ซูเสี่ยวซวีดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากคำพูดของพวกเขา

 

“พี่เจิ้งเหอหมายความว่ายังไงคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยรอยยิ้ม

 

“ไปกันเถอะ” หวังเย้าจับมือของซูเสี่ยวซวีและเดินออกไป

 

ซูเสี่ยวซวีสั่นเล็กน้อย เมื่อหวังเย้าจับมือของเธอ มันราวกับมีไฟฟ้าสถิตเกิดขึ้น เธอเดินตามหวังเย้าออกไปจากวัดอย่างไม่รู้สึกตัว ทิ้งกั๋วเจิ้งเหอเอาไว้ด้านหลังเพียงลำพัง กั๋วเจิ้งเหอไม่พอใจอย่างที่สุด สีหน้าของเขาดูราวกับสภาพอากาศในเดือนมิถุนายน ที่อยู่ๆก็เปลี่ยนจากแดดจ้าไปเป็นมืดครึ้ม

 

“ดื้นด้านจริงๆ!” กั๋วเจิ้งเหอกัดฟันพูดด้วยท่าทีไม่น่ามอง

 

การที่หวังเย้าจับมือซูเสี่ยวซวี มันก็ไม่ต่างจากการตบหน้าเขาเลยสักนิด เขาเชื่อว่า หวังเย้ากำลังท้าทายเขาอยู่ ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้ต่อหน้าเขามาก่อน

 

ซูเสี่ยวซวีเป็นเหมือนชิ้นเนื้อที่อยู่ในจานของเขา เธอคือผู้หญิงที่เขาสั่งจองเอาไว้นานแล้ว ไม่มีใครที่จะแตะต้องตัวเธอได้นอกจากเขา

 

กั๋วเจิ้งเหอตัดสินใจลบความรู้สึกขอบคุณที่หวังเย้าเคยช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ออกไปจนหมด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หวังเย้าคือศัตรูของเขา

 

“หมอหวัง?” ซูเสี่ยวซวีที่ใบหน้าแดงก่ำเรียกหวังเย้าเสียงเบา เสียงของเธอเบาราวกับเสียงยุง นี่เป็นครั้งแรกที่มีชายหนุ่มจับมือของเธอ

 

“โอ้ ขอโทษนะ” หวังเย้าปล่อยมือของซูเสี่ยวซวี

 

ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันที่ใต้ต้นสนที่ดูเหมือนจะมีอายุหลายร้อยปีต้นหนึ่ง

 

“เขาบอกให้คุณยอมแพ้เรื่องอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม เธอจดจำคำพูดที่หวังเย้าและกั๋วเจิ้งเหอคุยกันได้ทุกคำ

 

“ก็เรื่องของเธอน่ะสิ” หวังเย้าพูด

 

“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกใจ สีหน้าของเธอกลายเป็นเคร่งเครียดในทันที “แปลกคนจริงๆ!”

 

“ใช่” หวังเย้าพูด

 

“บอกฉันได้ไหมคะ ว่าเขาพูดอะไรกับคุณบ้าง?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

หวังเย้าตกลงและเล่าเรื่องที่กั๋วเจิ้งเหอไปหาเขาที่หมู่บ้านให้ซูเสี่ยวซวีฟัง เขาบอกกับซูเสี่ยวซวีว่า กั๋วเจิ้งเหอต้องการให้เขาปล่อยมือจากเธอ

 

“เราตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนที่น่ารังเกียจมาก” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยความโมโห

 

“อย่าโกรธไปเลย เลิกสนใจเรื่องเขากันเถอะนะ” หวังเย้าพูด “เราไปที่อื่นกันดีไหม?”

 

“คุณต้องระวังตัวไว้นะคะ ฉันรู้ว่า เขาจะต้องหาทางทำร้ายคุณแน่” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ผมรู้ ผมจะระวังตัว” หวังเย้าพูด

 

หลังจากหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีจากไปแล้ว กั๋วเจิ้งเหอก็ออกไปจากเขาเซียงชานทันที เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก เขาไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่ไปที่บ้านอีกหลังหนึ่งในปักกิ่ง เขานั่งสูบบุหรี่อยู่ภายในห้องนั่งเล่นเพียงลำพัง และเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ใครจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่?

 

อีกหนึ่งวันได้ผ่านพ้นไป เวลาดีดีมักจะผ่านไปเร็วเสมอ

 

“น้าเหลียนคะ วันนี้ ตอนที่เราไปวัดปี้หยุนเราเจอกั๋วเจิ้งเหอด้วยค่ะ” หลังจากส่งหวังเย้าลงที่โรงแรมแล้ว ซูเสี่ยวซวีก็พูดขึ้นมา

 

“โอ้ บังเอิญจังเลยนะคะ” ชูเหลียนพูด

 

“หนูไม่คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรอกค่ะ หนูว่าเขาตั้งใจมามากกว่า” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอเป็นคนฉลาด

 

“คุณหนูคิดว่า เขาตามคุณหนูไปงั้นเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม

 

“ใช่ค่ะ เขายังพยายามจะข่มขู่หมอหวังด้วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“คุณหนูหมายความว่ายังไงเหรอคะ?” ชูเหลียนถาม ตั้งแต่ที่ได้ยินเรื่องที่กั๋วเจิ้งเหอทำภายในหน่วยงานท้องถิ่นและที่ปักกิ่งแล้ว ชูเหลียนก็ไม่มีความรู้สึกประทับใจอะไรในตัวกั๋วเจิ้งเหอเลยแม้แต่น้อย

 

“เขาไปที่หมู่บ้านเพื่อบอกให้หมอหวังเลิกคบกับหนูค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“จริงเหรอคะ?” ชูเหลียนไม่แปลกใจเลยสักนิด

 

“วันนี้ เขาก็ขู่หมอหวังอีก เขาพูดกับหมอหวังว่า สักวันหมอหวังจะต้องเสียใจที่ไม่ฟังคำพูดของเขา เขาเป็นพวกเผด็จการชัดๆ!” ซูเสี่ยวซวีเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดและเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

 

ชูเหลียนรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นท่าทีไม่พอใจของซูเสี่ยวซวี ทั้งๆที่เธอมักจะเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยอยู่เสมอ

 

“แล้วคุณหนูคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้คะ?” ชูเหลียนถาม

 

“หนูต้องทำให้แน่ใจว่า เรื่องนี้จะไม่ไปรบกวนชีวิตของหมอหวังค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“แบบนั้นคงจะยุ่งยากสักหน่อยนะคะ” ชูเหลียนพูด

 

เธอรู้ว่า พ่อของกั๋วเจิ้งเหอมีตำแหน่งสูงอยู่ในหน่วยงานรัฐของจังหวัดฉี เขาอาจจะกลายเป็นผู้ว่าจังหวัดฉีได้ในอนาคต การที่เขาคิดจะสร้างปัญหาให้กับใครสักคนนั้นง่ายดายอย่างมาก

 

“หนูจะลองคุยเรื่องนี้กับคุณแม่ดูค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

คืนนั้น ซูเสี่ยวซวีคุยกับแม่ของเขาเป็นเวลานาน

 

“แม่เข้าใจว่าลูกต้องการอะไร แม่จะพยายามปกป้องหมอหวังกับครอบครัวของเขาอย่างสุดความสามารถนะจ๊ะ” ซงรุ่ยปิงพูด

 

“ขอบคุณนะคะ คุณแม่” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ! ยังไงหนูก็เป็นลูกของแม่นะ” ซงรุ่บปิงพูด

 

ในขณะเดียวกัน ซูเสี่ยวซวีก็รู้สึกได้ว่า ตัวเองนั้นไร้อำนาจขนาดไหน เธอต้องพึ่งพาแม่ของเธอเพื่อปกป้องคนที่เธอรัก แต่ถึงยังไง เธอก็เป็นแค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น เธอไม่มีอะไรเลยนอกจากใบหน้าที่งดงาม, จิตใจที่อบอุ่น, และครอบครัวที่มีอำนาจ

 

ขณะเดียวกัน หวังเย้าก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เขาได้เจอกับกั๋วเจิ้งเหอ เขาจำได้ทุกคำพูดที่กั๋วเจิ้งเหอพูดกับเขา และตอนนั้น เขาก็ไม่พอใจมากด้วย

 

กั๋วเจิ้งเหอคิดว่า ตัวเองอยู่เหนือกว่าหวังเย้าและถึงขนาดกล้าที่จะข่มขู่เขา หวังเย้ารู้ดีว่า พ่อของกั๋วเจิ้งเหอมีตำแหน่งสูงอยู่ในจังหวัดฉี ประชาชนไม่อาจสู้เจ้าหน้าที่รัฐ และคนจนก็ไม่อาจสู้คนรวยได้

 

ถ้าเขาต้องการจะสู้กับกั๋วเจิ้งเหอ หวังเย้าจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบมากกว่า เพราะแม้แต่ซุนเจิ้งหรงก็ไม่สามารถทำอะไรกั๋วเจิ้งเหอและครอบครัวของเขาได้ มีเพียงตระกูลของซูเสี่ยวซวีเท่านั้น ที่มีอำนาจเท่าเทียมกับตระกูลของกั๋วเจิ้งเหอ แต่เขาก็ไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบต่อคนในครอบครัวของเขาด้วย

 

“ดูเหมือนว่า ฉันจะทำตัวเป็นคนไม่เข้าสังคมไม่ได้แล้วสินะ ฉันต้องมีอำนาจมากพอที่จะปกป้องคนที่ฉันรักได้” หวังเย้าพึมพำ ถึงแม้ตัวเขาจะเกลียดการใช้เล่ห์กลและการต่อสู้ก็ตามที

 

เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปมีปัญหากับใครทั้งนั้น แต่เขาไม่สามารถหลีกหนีคำท้าทายจากกั๋วเจิ้งเหอได้ ในบางครั้ง ยิ่งเขาหนีเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนปัญหาจะเข้ามาหาเขาเร็วขึ้นเท่านั้น

 

เขากำลังคิดหาวิธีที่จะต่อกรกับกั๋วเจิ้งเหอ

 

มาลองสู้กันสักตั้งแล้วกัน!

 

แต่คู่ต่อสู้ในครั้งนี้ของเขาต่างจากครั้งก่อนๆ ฝ่ายนั้นมีข้อได้เปรียบกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด

 

เช้าวันต่อมา หวังเย้าโทรไปหาซูเสี่ยวซวี และไปที่กระท่อมที่ตระกูลซูเคยจัดไว้ให้โดยที่ไม่ได้หูเหลียนมารับเขา เขาต้องการไปเจอกับเฉินหยิงและเฉินโจว

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ?” เฉินหยิงถาม

 

“ผมมาที่ปักกิ่งตั้งแต่สองวันที่แล้วน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ทำไมไม่บอกฉันล่ะคะ?” เฉินหยิงถาม “ฉันจะได้ทำความสะอาดห้องให้”

 

“ไม่จำเป็นต้องทำหรอกครับ คราวนี้ ผมมาด้วยเรื่องส่วนตัวน่ะครับ” หวังเย้าพูด “ผมไม่อยากมารบกวนพี่และเสี่ยวโจว ที่ผมมาก็เพราะจะแวะมาเยี่ยมเท่านั้นเอง แล้วเสี่ยวโจวเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม?”

 

“ผมสบายดีครับ อาการของผมไม่ได้กำเริบนานมากแล้ว ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมน่าจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ” เฉินโจวพูด

 

หวังเย้าไม่ได้เจอเขานานแล้ว ดูเหมือนว่า เฉินโจวจะดูแข็งแรงขึ้นมาก

 

หลังจากอยู่คุยกับเฉินหยิงและเฉินโจวได้สักพัก ชูเหลียนก็มาหาพร้อมกับซูเสี่ยวซวี

 

“ผมคงต้องไปแล้วนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“แล้วเจอกันใหม่นะคะ หมอหวัง” เฉินหยิงพูด

 

เธอและน้องชายเดินออกมาส่งหวังเย้าที่หน้าประตู และมองส่งรถของพวกเขาที่ขับออกไป

 

“พี่ พี่ว่าคราวนี้ หมอหวังมาทำอะไรที่ปักกิ่ง?” เฉินโจวถาม

 

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ” เฉินหยิงพูด

 

สองชั่วโมงต่อมา หวูถงชิ่งก็มาถึงที่กระท่อม

 

“สวัสดีค่ะ คุณหวู” เฉินหยิงพูด

 

“สวัสดี ฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้ว ว่าให้เรียกฉันว่า ลุงหวูน่ะ? หมอหวังมาที่ปักกิ่งเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม

 

“ใช่ค่ะ เขาเพิ่งออกไปกับคุณหนูซูเมื่อกี้นี้เอง” เฉินหยิงพูด

 

“ออกไปกับเสี่ยวซวีเหรอ?” หวูถงชิ่งถาม “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

หลังจากที่หวูถงชิ่งไปแล้ว ก็มีรถอีกคันขับเข้ามาที่กระท่อม ชายชราคนหนึ่งลงมาจากรถ เขาก็คือ หมอเฉิน

 

“สวัสดีค่ะ หมอเฉิน” เฉินหยิงพูด

 

“หมอหวังอยู่ที่นี่รึเปล่า?” หมอเฉินถาม

 

“เขาเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?” หมอเฉินถาม

 

“ประมาณชั่วโมงหนึ่งได้แล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“แล้วเขาไปที่ไหน?” หมอเฉินถาม

 

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ทำไมเธอไม่บอกฉันล่ะ ว่าเขามาที่นี่น่ะ?” หมอเฉินบ่น