ตอนที่ 156.3 ใกล้เพียงเอื้อมมือ (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ป้าอ้วนปากไม่ไวเท่านาง พูดไม่ทัน นั่งกลับไป นวดทุบหน้าอก โมโห “นังตัวประหลาดน่าเกลียดนี่…หลี่ว์ปาพาคนบ้าอะไรกลับมากัน…” 

 

 

“ถึงจะเป็นตัวประหลาดน่าเกลียด ก็ยังดีกว่ากินอยู่เปล่าๆ ไม่ทำอะไร” อวิ๋นหว่านชิ่นถอดเสื้อคลุมข้างนอกออก ค่อยๆ พับอย่างช้าๆ “นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังไม่สามัคคีกันต่อสู้กับฝั่งตรงข้าม ทำเป็นเพียงรังแกเด็กใหม่ที่เข้ามา โชคดีที่พวกเจ้าเป็นชาวบ้านผู้ประสบภัย หากเป็นภรรยาขุนนาง ภรรยาคนร่ำรวย ยังไม่รู้ว่าปกติจะบ้าอำนาจเพียงใด! ให้ข้าว่านะ คนอย่างพวกเจ้า ช้าเร็วจะต้องเป็นภาระของลูกพี่หลี่ว์ปา น่าจะโยนออกไปเสีย!” 

 

 

“เจ้า…” ป้าอ้วนโมโหจนกระวนกระวาย เข้าไปจะตบเจ้าเด็กสาวบ้านป่านี่ แต่กลับได้ยินเสียง ก็อกแก็ก! ดังมาจากข้างนอก มีคนยืนอยู่หน้าประตูปรบมือไปพลางหัวเราะไปพลาง เมื่อมองออกไป กลับเป็นหลี่ว์ปา 

 

 

ทุกคนลงจากเตียง ท่าทีดีขึ้นมาทันใด แล้วเอ่ยปากทักทาย 

 

 

หลี่ว์ปาเห็นว่าแม่นางชิ่งเอ๋อร์พูดปกป้องกลุ่มผ้าเหลืองทุกคำ เพิ่งมาถึงก็นับว่าตนเองเป็นคนบ้านนี้แล้ว ช่างพอใจเป็นอย่างยิ่ง ความระแวงที่ยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยก็หายไปแล้ว เขากล่าว “แม่นางชิ่งเอ๋อร์พูดได้ดี! พวกเจ้าจำไว้ ต้องสามัคคีกัน อีกอย่าง จากนี้ไปอย่ารังแกแม่นางชิ่งเอ๋อร์อีก ของของนาง พวกเจ้าห้ามแตะ และห้ามอะไรๆ ก็ว่านางเป็นตัวประหลาดน่าเกลียดอีก ได้ยินหรือไม่!” 

 

 

เหล่าหญิงพวกนั้นมาพึ่งใบบุญหลี่ว์ปากันทั้งบ้าน ต่างก็รอกินข้าวของหลีว์ปาทั้งนั้น พยักหน้าตอบรับกัน จะกล้าไม่ตบปากรับคำได้อย่างไร 

 

 

พูดเพียงไม่กี่คำ หลี่ว์ปาก็ออกไปแล้ว เหล่าหญิงพวกนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานของตน 

 

 

ผ่านไปสักพัก อวิ๋นหว่านชิ่นก็เปิดประตูออกไป เพียงสักครู่ก็เดินตามหลี่ว์ปาทัน เดินตามหลังอ้อมประตูไปสองบาน สุดท้ายเห็นเขาเดินเข้าเรือนหลังหนึ่งไป 

 

 

ที่นี่น่าจะเป็นที่พักของเขา แต่หน้าประตูนั้นมีลูกน้องสองสามคนเฝ้าอยู่ เดินเข้าไปไม่ได้อีก นางนอนคว่ำลงใต้กำแพงกระเบื้องเคลือบแอบดู สักครู่ ก็เห็นผู้เฒ่าเถียนและชาวบ้านผู้ประสบภัยที่ผูกหัวผ้าสีเหลืองเดินมา แล้วเข้าไปในเรือนของหลี่ว์ปา 

 

 

ผู้เฒ่าแซ่เถียนผู้นั้นมาดท่าทางไม่แพ้หลี่ว์ปาเลย เหล่าลูกน้องก็ตามติดอยู่ด้านหลังอย่างเชื่อฟัง ระหว่างเดินไป ก็พูดอะไรด้วยท่าทีนอบน้อมไปพลาง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นคนกลุ่มนั้นเข้าไปแล้ว ในห้องก็มีแสงเทียนสว่างขึ้น บนกระดาษหน้าต่างก็สะท้อนเงาคน เหมือนว่านั่งล้อมโต๊ะพูดคุยกันอยู่ กดเสียงแผ่วเบา ถึงแม้หน้าต่างห้องนั้นจะเปิดอยู่บานหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ยินเลยสักคำ 

 

 

ในขณะนั้นเอง ก็มีคนมาดึงนาง ดึงกำแพงกระเบื้องเคลือบออก 

 

 

เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นหันมามอง เป็นเว่ยเสียวเถี่ย จึงรีบเดินตามเขาไปยังห้องเก็บฟืนอีกเรือนหนึ่งที่ไม่มีคน 

 

 

“ชิ่งเกอเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงได้ใจกล้ากว่าข้าอีกเล่า” เว่ยเสียวเถี่ยตื่นตระหนกตกใจ “เพิ่งจะมาวันแรก อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ เมื่อครู่หากเจ้าถูกจับได้จะเป็นเรื่องใหญ่! ไล่เจ้าออกไปยังถือว่าดี ไม่แน่ว่าจะเอาเจ้าไป…” พูดๆ อยู่ ก็ทำท่ากรีดคอ 

 

 

จะไม่รีบร้อนได้อย่างไร ตอนนี้นางนั้น อย่างแรก จะต้องรีบสืบพื้นเพของกลุ่มผ้าเหลืองนี้ว่า มีความสามารถอะไรที่ทำให้ฉินอ๋องไม่ใช้กำลังทหารกันแน่ เพื่อง่ายต่อการส่งสาส์นกลับทหารตระกูลเฉิน 

 

 

อย่างที่สอง อยากจะหาโอกาสส่งยาและงูสมุนไพรไปที่พระราชนิเวศน์ของฉินอ๋อง ยิ่งยื้อเวลาไว้นาน ไม่รู้ว่าร่างกายของเขาจะเป็นอะไรไปหรือไม่ 

 

 

เห็นว่าตนทำเว่ยเสียวเถี่ยตกใจถึงเพียงนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ขมวดคิ้ว “ทำไมหรือ พวกเขากำลังคุยเรื่องสำคัญอะไรกันอยู่หรือ” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยถอนลมหายใจออก กล่าวเสียงเบา “เสบียงในคลังของจวนผู้ว่าแทบจะหมดแล้ว เสบียงที่ชาวบ้านให้มาก็มีจำกัด เหมือนว่าพวกเขาเตรียมจะใช้ตัวประกันไปหาฉินอ๋องเพื่อแลกกับเสบียงอาหาร ข้าได้ยินว่า สาส์นได้ส่งไปถึงพระราชนิเวศน์แล้ว นัดเป็นตอนบ่ายของวันพรุ่ง ทั้งสองฝ่ายนัดเจอกันที่พื้นที่ว่างเปล่าชานเมืองด้านเหนือในเมืองเพื่อยื่นหมูยื่นแมว! ตัวประกันคนหนึ่ง แลกกับข้าวสารกับแป้งตั้งห้าสิบหาบ!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหนังตากระตุกเล็กน้อย เว่ยอ๋องยึดเสบียงที่เหลือครึ่งหนึ่งไว้ไม่ยอมปล่อย เสบียงที่ฉินอ๋องเอามาแลกกับตัวประกัน น่าจะเป็นเสบียงทหารที่เอามาเอง จะต้องมีจำกัดเป็นแน่ หากหลี่ว์ปายังขู่เข็ญแลกเสบียงอยู่อย่างนี้ต่อไป ทางฉินอ๋องนั้น จะต้องทนได้ไม่นานเป็นแน่ 

 

 

“ฉินอ๋องตอบตกลงหลี่ว์ปาว่าจะใช้เสบียงแลกกับตัวประกันหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

“อืม นัดกันไว้แล้ว” เว่ยเสียวเถี่ยแน่ใจ 

 

 

“เสียวเถี่ย พรุ่งนี้หลี่ว์ปาไปทำการแลกเปลี่ยน น่าจะพาคนไปด้วยใช่หรือไม่ พวกเราตามไปด้วยได้หรือไม่” กะพริบตาปริบๆ บนใบหน้าอันหยาบกร้านของหญิงสาว หน้าตาชวนอาเจียน ผิวหยาบแย่ มีเพียงดวงตาคู่นี้ที่สว่างสดใสจับใจคน เหมือนดั่งหยกที่ถูกฝังอยู่ในโคลนเลน 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยเกาหัว “พวกเราเพิ่งจะเข้ามา ไม่รู้ว่าหลี่ว์ปาจะตกลงให้พวกเราไปด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะเจ้า ที่แต่งกายเป็นหญิง…แต่ว่า ไม่เป็นไร ข้างกายเขามีลูกน้องติดตามคนหนึ่ง ข้าเคยคุยกันสองสามคำ ตามติดอยู่ข้างกายหลี่ว์ปาตลอด พรุ่งนี้น่าจะไปด้วย เป็นลุงหนิวหมู่บ้านเดียวกับข้าพอดี ดูแลข้าเป็นอย่างดีเลย อีกสักครู่ข้าจะไปหาเขา ดูว่าเขาจะช่วยเราได้หรือไม่” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าโชคดีที่ได้พบกับเว่ยเสียวเถี่ย และโชคดีอีกที่รับเขาไว้ ช่างเป็นของล้ำค่าเสียจริง ไม่มีเจ้าถิ่นที่เกิดและโตในเมืองเยี่ยนหยางอย่างเขาคอยบุกเบิกเปิดทางให้ เกรงว่าแม้แต่เข้าเมืองก็คงยาก 

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ในหัวนางก็มีความคิดผุดขึ้น จึงเอ่ยถาม “จริงสิ เสียวเถี่ย ผู้เฒ่าเถียนนั่นเป็นคนเยี่ยนหยางเหมือนกันหรือ ข้าเห็นหลี่ว์ปาดูเคารพนับถือเขามาก” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยส่ายหน้า “เจ้าฟังสำเนียงเขาสิ ไม่ใช่คนที่นี่หรอก คนแซ่เถียนนั่นมาเยี่ยนหยางหลังจากแม่น้ำชิงทะลักท่วม เหมือนบอกว่ามาค้าขาย บังเอิญมาเจอตอนที่เยี่ยนหยางเกิดภัยพอดี เลยตกค้างอยู่ที่นี่ ตอนหลังหลี่ว์ปาก่อการจลาจล ต่อต้านทางการ ผู้เฒ่าเถียนก็ติดตามข้างกายหลี่ว์ปาตลอด คาดว่าน่าจะเห็นว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ อีกยังมีความคิด จึงได้ให้ความสำคัญกับเขา ทุกครั้งที่ต่อรองกับทางการ จะเป็นผู้เฒ่าเถียนนี้เป็นคนช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เป็นแขนขาของหลี่ว์ปา ช่วยจัดการธุระในเมืองเยี่ยนหยาง ใช้ตัวประกันแลกเสบียงฉินอ๋อง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคำแนะนำของผู้เฒ่าเถียนอีกก็เป็นได้…ทำไมหรือ” 

 

 

ถึงว่าแค่ชายฉกรรจ์ตีเหล็กไม่รู้หนังสืออย่างหลี่ว์ปานี้กับชาวบ้านผู้ประสบภัยที่รู้หนังสือไม่กี่ตัว จะปกครองเมืองเยี่ยนหยางให้สงบสุข อีกยังต่อรองกับทางการได้อย่างราบรื่นได้อย่างไร 

 

 

ที่แท้ก็มีคนช่วยเหลือนี่เอง! ผู้เฒ่าเถียนนั่นเป็นคนค้าขาย ทั้งยังอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว จะต้องมีความสามารถอยู่บ้าง 

 

 

“ก็หมายความว่า ผู้เฒ่าเถียนถือว่าเป็นกุนซือของหลี่ว์ปาล่ะสิ” ความกังขาในใจอวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งเพิ่มทวีคูณ คนค้าขายคนหนึ่ง ไม่ใช่คนพื้นที่ ที่ที่ทำการค้าเกิดภัยพิบัติ ไม่รีบหนีไปไม่ว่า ยังจะมาอยู่ข้างกายชาวบ้านที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับทางการ ช่วยเขาวางแผนออกความเห็นอีกหรือ 

 

 

“อืม น่าจะใช่” เว่ยเสียวเถี่ยตอบกลับ แล้วเอ่ยถามขึ้นอีก “ทำไมหรือ ผู้เฒ่าเถียนนั่น…มีปัญหาอะไรหรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าเขาน่าสงสัย ตั้งแต่นี้ไปเจ้าคอยเฝ้าแอบดูเขาเอาไว้” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยรีบกล่าวทันใด “ได้!” 

 

 

ทั้งสองคุยธุระเสร็จ เว่ยเสียวเถี่ยเห็นว่าเรือนเล็กไม่มีคน ก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา มองดูพิจารณานางทั้งตัว สุดท้ายก็พูดความในใจออกมา กล่าวเสียงแผ่วเบา “ชิ่งเกอเอ๋อร์เอาฝีมือด้านนี้มาจากไหนกัน เป็นชายแต่กลับแต่งหน้าปลอมตัวได้ อีกยังแต่งได้เหมือนเพียงนี้อีก…ตาของเจ้านี่ ทำเป็นขีดได้อย่างไร ยังมีอีก กระบนผิวหน้านี่ ช่างเป็นธรรมชาติเสียจริง! จริงสิ ล้างหน้าแล้วคงไม่โดนจับได้หรอกนะ!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหน้า “ข้าแต่งหนาอยู่ ไม่เป็นอะไรหรอก อีกยังพกเครื่องสำอางของสาวบ้านนายอำเภอเจียงมาด้วย หากมีอะไรก็สามารถแต่งเพิ่มได้ สองสามวันนี้ก็พยายามไม่ล้างหน้า อย่างไรเสียอากาศหนาว ไม่เป็นอะไร หากเป็นหน้าร้อนก็จะคงไม่ไหว!”