บทที่ 413 ปลายปี

คู่ชะตาบันดาลรัก

จงรุ่ยร้องเรียนด้วยความเศร้าโศกจนผู้ฟังได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาไหลตาม

จงซู่ยังคงสงบเขายิ้มอย่างหมดหนทาง “ใต้เท้ากัว ท่านอย่าไปสนใจเขาเลย เด็กคนนี้เข้ากับคุณชายหยางไม่ได้แค่เจอหน้าก็ปะทะกันแล้ว เรื่องที่ใหญ่กว่านี้เขาสามารถทนได้จวนของพวกเรามีห้องเพียงพอดูแลพวกเขาสักสิบคนยังได้”

“ท่านพ่อ!”

จงซู่ไม่ได้มองเขาเลย แต่กลับหยิบจอกสุราขึ้นมา “เมื่อวานข้ายุ่งมากเลยไม่ได้ต้อนรับใต้เท้ากัว วันนี้ข้าดื่มสุรากับท่านสักแก้ว ขอให้ใต้เท้าได้กลับราชสำนักในเร็ววันมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป”

กัวสวี่ค่อนข้างสุภาพกับแม่ทัพอย่างจงซู่ เขาจิบสุราแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำอวยพร” จากนั้นก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของกองทัพซีเป่ยจงซู่ให้คำตอบทีละคำถาม

ในเรื่องนี้จงซู่ให้คำตอบทุกคำถามซึ่งกัวสวี่เองก็ไม่สงสัยในเรื่องนี้หลังจากพูดคุยกันลับๆ เสร็จกัวสวี่ก็กลับไปที่เรือนรับรอง

ผู้ที่ออกมากับเขาด้วยเป็นหลานชายที่เป็นญาติห่างๆ อีกฝ่ายบิดผ้าร้อนแล้วยื่นมาให้พร้อมพูดว่า “ท่านลุงหกตระกูลจงดูซื่อสัตย์มาก!”

กัวสวี่พูดขณะทำความสะอาดใบหน้า “ซื่อสัตย์งั้นหรือ ทำเป็นแสดงละครต่อหน้าข้าคิดว่าข้าไม่รู้หรืออย่างไร!”

หลานชายตกใจ “แสดงละครงั้นหรือเมื่อครู่พวกเขาไม่ได้พูดความจริงหรอกหรือ เหตุใดตระกูลจงถึงกล้าเช่นนี้ ท่านถูกลดตำแหน่ง และขับไล่ออกจากเมืองหลวง แต่เหล่าแม่ทัพยังรู้ว่าท่านยังเป็นขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท แค่ท่านพูดออกมาประโยคเดียว…”

“ไม่ใช่เรื่องของกองทัพซีเป่ยเรื่องนี้ตระกูลจงไม่กล้าโกหกหรอก” กัวสวี่ถอดรองเท้า จากนั้นก็แช่เท้าในน้ำร้อนหลังจากที่เท้าเย็นแข็งมาทั้งวันแล้วหรี่ตาด้วยความสบายใจ

“ท่านหมายถึง…”

กัวสวี่ยิ้มเยาะ “การแข่งฝึกซ้อมอะไรนั่นผ่านไปไม่นานคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไรกัน!”

หลานชายเข้าใจทันที “ท่านหมายถึงเรื่องของคุณชายหยางงั้นหรือ”

“อืม…” กัวสวี่พูดไปแช่เท้าไป “ตระกูลจงกลัวข้าเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องปกติ พวกเขาเป็นแม่ทัพที่บัญชาการอยู่ด้านนอก สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดก็คือการที่ฝ่าบาทไม่เชื่อใจ พวกเขาไม่กล้าติดต่อกับหยางซานเป็นข้ออ้างหรอก แต่หยางซานนั้น…ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงกันเป็นอย่างดีทำเป็นบอกว่าพวกเขาไม่มีเรื่องปิดบัง แต่ข้าไม่เชื่อ!”

“แล้วจะทำอย่างไรหรือขอรับ”

กัวสวี่ครุ่นคิดเล็กน้อย “หากไม่ใช่เพราะหิมะตกหนักจนขวางถนน ตอนนี้ข้าคงส่งคนไปเกาถางเพื่อดูว่าหยางซานทำอะไรอยู่ แต่หิมะตกที่ซีเป่ยก็ยากที่จะเคลื่อนไหว!”

หลานชายถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าหยางซานกับตระกูลจงสมรู้ร่วมคิดกัน มีแผนอื่นอยู่”

กัวสวี่ไม่ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ถึงพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกันแล้วจะทำอะไรได้ จะมาก่อกบฏอย่างนั้นหรือเรื่องนี้มีส่วนได้เสียอะไรกันข้ายังมองไม่ออก”

เขาที่ไม่รู้เรื่องราวภายในคำว่ากบฏจึงมองว่าเป็นแค่เรื่องตลกก็เท่านั้น เมื่อเขาแช่เท้าเสร็จเขาก็ตบหัวหลานชายของเขาเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกังวลไป หยางซานออกไปไหนไม่ได้ เมื่อหิมะละลายพวกเราค่อยไปดูที่เกาถางกันรีบเทน้ำเร็ว!”

“ขอรับ!”

…………

กัวสวี่ต้องการสร้างคุณงามความดีกลับไปเพื่อตำแหน่งผู้อาวุโสของเขา แม้จะเข้าปลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังมีความขยันหมั่นเพียร วันๆ แต่อยู่ในห้องประชุมไป๋หู่เพื่อตรวจสอบงานของทหารคอยช่วยเหลือจงซู่แก้ปัญหามากมาย

ในวันส่งท้ายปีเก่า อากาศดีไม่มีลมหรือหิมะ กัวสวี่เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในนามของฮ่องเต้เพื่อตอบแทนแม่ทัพซีเป่ย เหล่าแม่ทัพกำลังดื่มกินกันอยู่ซึ่งมีหรือหยางชูจะพลาดเขาเองก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วม หมิงเวยเองก็ได้รับเชิญมาในฐานะสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิง

จงรุ่ยเห็นเขาก็รู้สึกคึกคัก เหล่าแม่ทัพดื่มด่ำกับสุราเขาจึงนำสุราไปวางตรงหน้าหยางชู “คุณชายหยาง วันนี้วันดีพวกเรามาเล่นกันอีกสักครั้งดีหรือไม่”

หยางชูเหลือบมองเขาอย่างเฉื่อยชา “อย่างไรท่านก็ไม่สามารถชนะได้จะเล่นอีกทำไมกัน”

จงรุ่ยโกรธ “ผู้ใดบอกกันว่าข้าเอาชนะท่านไม่ได้หลายวันมานี้ข้าใช้ความคิดอย่างหนัก มั่นใจว่าจะเอาชนะท่านได้แน่!”

“งั้นหรือ” หยางชูดื่มและพูดอย่างไม่จริงใจ “เช่นนั้นก็ยินดีด้วยข้ายอมแพ้แล้ว” ปากบอกยอมแพ้ แต่ดูท่าทีเขาเหมือนไม่เป็นเช่นนั้นเลย

จงรุ่ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ท่านไม่กล้าแข่งกับข้าหรือ”

หยางชูไม่สนใจท่าทีของเขา “คุณชายใหญ่ ท่านดื่มมากไปแล้ว”

จงรุ่ยผลักสาวใช้ที่ช่วยประคองออกไปแล้วก่นด่า “วันนี้ท่านชนะเจอกันใหม่คราวหน้า ข้าจะเดินทางลัดทำอะไรตามใจชอบให้หมด! หากท่านทำไม่ได้ท่านมันก็ไอ้ลูกหมา!”

เกิดประกายเย็นวาบในแววตาของหยางชู เขาวางแก้วสุราลงบนโต๊ะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณชายใหญ่สร่างเมาได้แล้ว! บรรพบุรุษของข้าเป็นผู้ใดท่านคิดก่อนแล้วค่อยพูดออกมาจะดีกว่า!”

เดิมทีทั้งสองคนเป็นที่ดึงดูดความสนใจอยู่แล้วบทสนทนานี้อย่างน้อยมีคนจำนวนมากได้ยินคำพูดของหยางชู เหล่าแม่ทัพตกใจแล้วรีบโต้ตอบทันที

ใช่ หยางซานผู้นี้เป็นหลานขององค์หญิงหมิงเฉิง และเหลนของฮ่องเต้ไท่จู่ หากเขาเป็นลูกหมา เช่นนี้ก็หมายความว่า…

จงรุ่ยรู้สึกเย็บวาบเขาสร่างเมาแล้วและกำลังจะพูด แต่กลับเห็นหยางชูถือแก้วสุราอีกครั้งแล้วพูดอย่างดูถูก “แต่ในเมื่อคุณชายใหญ่ต้องการเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน ท่านเลือกแผนที่ ตั้งกฎขึ้นมาได้เลยหากครั้งนี้ท่านแพ้ท่านจะพูดอะไรอีกกัน”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้จงรุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้หายไป เขากระซิบกับองครักษ์ให้นำแผนที่มา และทั้งสองก็เริ่มเล่นหมากรุกกัน แน่นอนว่าเหล่าแม่ทัพให้ความสนใจจึงมาล้อมดูการแข่งนี้

จงรุ่ยบอกว่าช่วงนี้เขาใช้ความคิดอย่างหนักซึ่งไม่ใช่เรื่องหลอก เขาเห็นกลอุบายก่อนหน้านี้ของหยางชูมาไม่น้อยทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกัน

กัวสวี่มองด้านนั้นอย่างเย็นชา และเล่นกับแก้วในมือ เขาเป็นตัวแทนฮ่องเต้ ไม่มีผู้ใดกล้ารินสุราให้เขา ดังนั้นเขาจึงดื่มไปไม่เยอะตอนนี้จึงสร่างเมาเรียบร้อยแล้ว

จงซู่พูดกับเขาว่า “ทำให้ใต้เท้ากัวเห็นเรื่องไม่น่าดูเสียแล้วบุตรชายผู้นี้ของข้าเป็นคนปากสว่างวินัยหละหลวมจริงๆ หลังจากนี้ต้องควบคุมดีๆ ไม่ให้เขาไร้สติหลังดื่มสุราเช่นนี้อีก”

กัวสวี่พูดเสียงเรียบเฉย “คนหนุ่มสาวชอบแข่งขันเป็นเรื่องเข้าใจได้”

จงซู่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้บอกกับท่านไปแล้วว่าเขากับคุณชายหยางไม่ถูกกัน ข้าพูดไปหลายรอบก็ยังแข่งกันเมื่อพบหน้ากัน”

กัวสวี่เพิกเฉยต่อคำพูดของเขา แต่สนใจหมากรุกของพวกเขามากกว่าจึงถามว่า “พวกเขาเล่นหมากรุกกองทัพงั้นหรือในเรื่องของสงครามคุณชายหยางสามารถเอาชนะบุตรชายของท่านได้หรือ”

จงซู่ดูไม่เห็นด้วย “แข่งหมากรุกนี้ลูกหมาของข้าไม่สามารถชนะคุณชายหยางอยู่แล้ว แต่การต่อสู้จะตัดสินจากหมากรุกได้อย่างไร”

“คุณชายหยางได้รับการเลี้ยงดูโดยองค์หญิงใหญ่กับผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหวซึ่งทั้งสองคนเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียง” กัวสวี่พูดไปเรื่อย

จงซู่พูดว่า “แน่นอนว่าองค์หญิงใหญ่กับผู้เฒ่าโป๋วหลิงโหวล้วนเชี่ยวชาญในการทำสงคราม แต่คุณชายหยางไม่เคยเข้าร่วมรบมาก่อนการวางแผนการรบบนกระดาษก็เป็นแค่การละเล่นเท่านั้น”

เขาพูดแค่คำสองคำโดยไม่เอ่ยถึงอย่างอื่นอีก หยางชูสำรวจวิธีการของจงรุ่ยอย่างละเอียดในช่วงเวลาสั้นๆ ความสามารถในการเรียนรู้เช่นนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเข้าร่วมรบ แต่ก็สามารถเติบโตได้ในเวลาอันสั้นอย่างทหารผ่านศึกมากประสบการณ์

พวกเขากำลังพูดคุยเรื่องนี้อยู่ ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งมาจากข้างนอกจนกระทั่งเข้ามาในจวนแม่ทัพก็ยังไม่ลงจากหลังม้าชั่วพริบตาก็มาหยุดตรงหน้าห้องโถง ทหารถึงได้ลงจากหลังม้า และตะโกนเสียงดัง “รายงานฉุกเฉิน ท่านแม่ทัพหูเหรินบุกโจมตีขอรับ!”

………………