บทที่ 414 หิมะตกหนัก

คู่ชะตาบันดาลรัก

บรรยากาศในจวนเงียบสงัด

จงซู่ยืนขึ้นทันที “เจ้าพูดว่าอะไรนะหิมะปกคลุมทั่วพื้นดินเช่นนี้หูเหรินจะบุกมาได้อย่างไร”

ฤดูหนาวนี้ไม่ใช่พวกเขาที่ลำบาก แต่หูเหรินก็ลำบากเช่นกัน หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายมีการกระทบกระทั่งกัน แต่จะมีการสงบศึกชั่วคราวในฤดูหนาวแล้วค่อยกลับมาอีกทีหลังพ้นปลายปี

ทหารผู้นั้นตอบว่า “เรียนท่านแม่ทัพเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ทหารของหูเหรินได้ลอบโจมตีเนินกรวด รายงานนี้เป็นเรื่องจริงขอรับ!”

ทหารยื่นรายงานให้ท่านแม่ทัพ จงซู่คว้ามัน และคลี่ออกกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว

กัวสวี่ตกตะลึงเขาเอนหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ ถึงได้รู้สาเหตุ ในช่วงฤดูร้อนเกิดการนองเลือดที่เขาเทียนเสินในเป่ยหู จากนั้นองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าหมาป่าหิมะนามซูถูก็ออกมารวมทั้งแปดเผ่าให้เป็นหนึ่ง

ทั้งแปดเผ่าถูกแยกออกจากกันเป็นเวลานาน แต่ละเผ่ามีความบาดหมางกันและเข้ากันไม่ได้เพื่อรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ซูถูจึงได้ยกกระบี่ขึ้นสังหารคนธรรมดาจนทุ่งหญ้ากลายเป็นสีแดง

เมื่อเห็นว่าเผ่าอื่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูถู จงซู่เลยคาดว่าการรวมเผ่าเป็นหนึ่งนั้นคงเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว อีกทั้งยังเคยส่งสาส์นกราบทูลถามว่าให้ใช้โอกาสนี้ยกทัพไปหรือไม่ แต่ฮ่องเต้ไม่ให้คำตอบแก่เขา เขาจึงทำเป็นลืมมันไป

จงซู่รู้อยู่แก่ใจดีว่าฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ผู้สืบสาน รักษาผลงาน และความสำเร็จของรุ่นก่อนมันจึงยากเกินไปสำหรับเขาที่จะตัดสินใจพิชิตเผ่าหู

ยิ่งไปกว่านั้นทางใต้ยังมีแคว้นฉู่ หากเริ่มสงครามจริงๆ ก็มีหลายปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่โทษเขาเลยที่จะแสวงหาความมั่นคง เพียงแต่น่าเสียดายที่พลาดโอกาสนี้ไป จงซู่จึงยังคงส่งคนมาจับตาดูการเคลื่อนไหวของเผ่าหู

จากสถานการณ์ครึ่งปีที่ผ่านมาเผ่าหูที่อยู่ในระหว่างการรวมเข้าด้วยกันอย่าพูดถึงมาเยือนเลย แม้แต่การคุกคามที่ชายแดนก็ไม่สามารถส่งคนมาได้ และข่าวที่ถูกส่งมาอย่างกะทันหันนี้ก็ทำให้เขาสับสนจริงๆ

หลังจากอ่านรายงานจบจงซู่ถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่าเป็นเพราะเผ่าที่เหลือไม่ยอมจำนน ซูถูจึงรีบมาทางใต้รวบรวมคนโจมตีเนินกรวด

จงซู่ส่งรายงานให้รองแม่ทัพ และพูดกับกัวสวี่ว่า “หิมะปกคลุมไปทั่วพื้นดินแต่ยังส่งทหารมา เกรงว่าหูเหรินพวกนั้นเข้าตาจนไม่มีทางไปจึงหาทางเอาชีวิตรอด เนินกรวดนับเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ใต้เท้ากัวข้าต้องรีบไปข้างหน้าเชิญท่านตามสบาย”

กัวสวี่พยักหน้า “สงครามเป็นเรื่องสำคัญเชิญท่านแม่ทัพตามสบาย”

จงซู่กลับไปที่ห้องประชุมไป๋หู่เพื่อจัดกองทัพแม้แต่ตัวเขาเองก็วางแผนที่จะไปที่แนวหน้าด้วยตนเอง

จงรุ่ยพูด “ท่านพ่อ ที่นั่นเป็นเพียงเนินกรวด เหตุใดท่านถึงต้องเป็นผู้บัญชาการกองทัพซีเป่ยเล่าให้ลูกไปไม่ดีกว่าหรือ”

จงซู่หลีกเลี่ยงผู้คน และพูดกับเขาว่า “พ่อไม่ได้ไปเพื่อสนับสนุนแม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะยาก แต่ทหารม้าของเราแข็งแกร่ง เสบียงมีเพียงพอ ไม่มีอะไรต้องกังวล ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมามีซากศพในทุ่งหญ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง สถานการณ์การป้องกัน และโจมตีของพวกเรากับเผ่าหูยุ่งเหยิงแล้ว หากอาศัยจังหวะที่หูเหรินมาเยือนเข้าไปในทุ่งหญ้าได้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทออกพระราชโองการ…”

จงรุ่ยตระหนักได้ในทันที “เป็นเช่นนี้นี่เอง! ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าไปด้วยตอนนี้ความดีความชอบทางด้านทหารนั้นคว้ามาได้ยาก!”

“เจ้าต้องอยู่ที่นี่” จงซู่ไม่ให้ความหวังเขา “พวกเราไม่เหมือนกับกองทัพขวา พวกเขาเพียงแค่ปกป้องเป่ยเทียนเหมินเท่านั้น อีกอย่างนอกจากเผ่าหูทางเหนือแล้ว ยังมีตระกูลวู และเผ่าคุนอี๋ที่ต้องระมัดระวัง พ่อไปทางเหนือ ไม่มีผู้ใดอยู่ปกป้องไป๋เหมินเซี่ย พ่อไม่วางใจ” จงรุ่ยตอบรับอย่างไม่เต็มใจ

จงซู่ถอนหายใจแล้วตบไหล่เขา “ตระกูลจงปกป้องชายแดนมาตลอดพี่น้องพ่อส่วนใหญ่เสียชีวิตในสนามรบเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น น้องชายทั้งหลายของเจ้ายังไม่ประสบความสำเร็จมีเพียงพวกเราสองพ่อลูกที่ต้องลำบากหน่อย”

“ลูกเข้าใจ ท่านพ่อเดินทางระวังตัวด้วยขอรับ” จงรุ่ยหวังในใจว่าการเดินทางของจงซู่จะราบรื่นหากได้เข้าไปในทุ่งหญ้าก็มีโอกาสสร้างผลงานได้

…………

ข่าวการมาเยือนของหูเหรินแพร่ออกไปยังหมิงเวยที่อยู่กับเหล่าสมาชิกในครอบครัวที่เป็นสตรีของเหล่าแม่ทัพด้วย

สมาชิกในครอบครัวที่เป็นสตรีเหล่านี้อยู่ที่ชายแดนตลอดทั้งปี และคุ้นเคยกับที่นี่มานานแล้วจึงไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด อนุภรรยาของจงซู่ทำหน้าที่เสมือนฮูหยินได้ดี จบงานเลี้ยงอย่างเป็นไปตามระเบียบแบบแผน ปลอบโยนทุกคน และยังเรียกคนให้ส่งหมิงเวยกลับไป

หมิงเวยกลับมายังเรือนรับรองแต่โดยดี หลังจากนั้นไม่นานหยางชูก็กลับมา

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” นางถาม “ซูถูยังมีแรงเหลือที่จะบุกใต้อยู่หรือ”

หยางชูส่ายหน้า “ไม่ใช่ซูถู แต่เป็นผู้ที่ถูกเขาขับไล่ออกจากเผ่า อากาศหนาวเลยไม่มีที่ไปเลยยอมเสี่ยงอันตรายเพราะเข้าตาจน”

“อ้อ” หมิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอกในความทรงจำของนางไม่มีเรื่องนี้

“แล้วเหตุใดจึงพูดว่ามาเยือนกันข้าก็คิดว่าเป็นการบุกทางใต้เสียอีก”

หยางชูยิ้ม “ไป๋เหมินเซี่ยไม่ได้มีเอกลักษณ์เฉพาะเท่ากับเป่ยเทียนเหมิน ด้วยเหตุนี้เส้นทางทางใต้จึงมีหลายด่านเนินกรวดเป็นด่านเล็กๆ แม้จะถูกแย่งชิง แต่ปัญหาก็ไม่ได้ร้ายแรงเพียงนั้น”

ทั้งสองคุยกันครู่หนึ่งแล้วก็พักผ่อนตามปกติหยางชูสนใจที่จะรบกวนนางเกือบตลอดทั้งคืน…

เมื่อตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้นก็มีหิมะตกอีกครั้ง เกล็ดหิมะไม่ใหญ่พวกมันกำลังโบยบิน ดูสุนทรีย์เป็นอย่างมาก

หยางชูเรียกหนิงซิว และอาสวนมาทานหม้อไฟเนื้อแกะด้วยกันพวกเขามีความสุขมาก เป็นเช่นนี้อยู่สองวันก็เกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นกลางดึกในจวนแม่ทัพ

แม้ว่าหลายวันมานี้หยางชูจะใช้ชีวิตอย่างสำราญ แต่เขาก็ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวภายนอกเขาก็ลุกขึ้น

“อาสวนๆ!”

อาสวนรีบเดินเข้ามาทั้งที่ยังไม่สวมเสื้อผ้า “คุณชาย ข้าน้อยส่งคนไปสอบถามแล้วโปรดรอสักครู่”

ทางด้านหมิงเวยเองก็ตื่นขึ้นเช่นกันทั้งสามคนล้อมรอบเตาไฟเพื่อรอข่าว

ไม่นานขุนศึกก็กลับมา “คุณชาย เกิดเรื่องขึ้นกับท่านแม่ทัพขอรับ”

หยางชูตกใจ “เกิดอะไรขึ้น”

เผ่าหูที่เหลือหยางชูไม่ได้สนใจเลยสักนิดอาจมีการต่อสู้เล็กน้อยที่ยากลำบาก แต่กองทัพซีเป่ยมีทหารจำนวนมาก ตราบใดที่กำลังเสริมไปถึงก็จะได้รับการแก้ไขยิ่งไปกว่านั้นมีจงซู่เดินทางไปด้วยจะเกิดปัญหาได้อย่างไร

ขุนศึกกล่าวเสียงหอบว่า “เส้นทางที่แม่ทัพเดินทางไปเนินกรวดประสบปัญหาหิมะตกหนัก…”

“หิมะตกหนักจริงหรือ”

ขุนศึกตอบกลับว่า “พวกเขาพูดเช่นนั้นขอรับ”

หยางชูพยักหน้าจากนั้นก็กลับห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า และเตรียมรอข่าวด้วยตนเอง

เมื่อเขาไปถึงห้องประชุมไป๋หู่ จงรุ่ย และกัวสวี่ก็อยู่ด้วย เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาทุกคนไม่ตอบสนองอะไรเพราะกำลังโต้แย้งเรื่องการช่วยเหลืออยู่ หยางชูฟังอยู่ครู่หนึ่ง และตระหนักว่าเรื่องนี้อาจร้ายแรงกว่าที่เขาคิด

จงซู่หายตัวไป และเนื่องจากภัยพิบัติหิมะจึงไม่สามารถส่งกำลังเสริมไปได้ทำให้สูญเสียการป้องกันไปแล้วแปดส่วน หยางชูมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

ในที่สุดเขาก็หาโอกาสสอบถามจงรุ่ยระหว่างการทะเลาะได้ “ท่านคิดจะทำอย่างไร”

จงรุ่ยเหลือบมองเขา และพูดด้วยเสียงต่ำ “ข้าจะไปช่วยท่านพ่อ”

“หากท่านไปแล้วผู้ใดจะอยู่บัญชาการที่นี่กัน อย่าพูดว่าน้องชายของท่าน ตอนนี้เขาดำรงแค่ตำแหน่งเล็กๆ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นที่ไม่ใช่แซ่จงคงไม่มีบารมีมากพอ” จงรุ่ยเลิกคิ้ว

หยางชูเกลี้ยกล่อมเขา “ข้ารู้ว่าท่านกระวนกระวายใจ แต่ในเวลานี้ไม่ควรรีบเคลื่อนไหวจะเป็นการดีกว่า ซีเป่ยมีทหารมากมายไม่ขาดแคลนขุนศึกมีคนให้ส่งไปมากมาย ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือเกิดอุบัติเหตุกับแม่ทัพจง ท่านจะไปหรือไม่ไปที่เกิดเหตุการช่วยเหลือไม่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว หากท่านเดินทางไปด้วยตนเองอาจเสียเปรียบได้”

จงรุ่ยพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนักเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขอบคุณมาก” เวลานี้หยางชูไม่ได้หัวเราะเยาะเขาเพียงตบไหล่เขาเท่านั้น

จงรุ่ยสงบลงเมื่อนึกถึงตัวเลือกที่จะส่งไปในตอนนั้นก็มีรายงานการต่อสู้จากด้านนอก “รายงานท่านแม่ทัพเผ่าซีหรงเกิดการต่อต้านขอรับ!”

……………