ตอนที่ 138 ค้นเรือ (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

หลายวันมานี้ โจวอวี่ใช้เส้นสายของตระกูลอย่างเต็มกำลังจึงสืบได้ความมาว่า ตระกูลเหมยยืนยงมานานปี อิทธิพลที่หยั่งรากลึกและซับซ้อนในราชสำนักเป็นที่น่าตกใจ

 

 

นางแลดูควันจางๆ ที่ล่องลอยจากถ้วยน้ำชาของตนและจมอยู่ในความคิด “พวกเจ้าคิดว่าตระกูลเหมยเป็นคนลงมือ แต่ข้ากลับคิดว่าเป็นศัตรูตระกูลเหมยและตระกูลตู้เป็นผู้ลงมือมากกว่า”

 

 

ดวงตาเป๋าเป่าฉายแววเย็นเยียบแวบหนึ่ง “ใต้เท้าสันนิษฐานว่าฝ่ายตรงข้ามลงมือ ก็เพื่อให้พวกเรามุ่งความสนใจไปที่พิรุธของตระกูลเหมยหรือ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเงียบๆ ว่า “ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็แค่การคาดเดา ฟังว่ากองปู่เฟิงกับกองทิงเฟิงก็ส่งคนไปไหวหนานด้วย พวกเราเตรียมไปไหวหนานกันเถอะ”

 

 

โจวอวี่คิดดูแล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ไม่ทราบใต้เท้าได้เบาะแสอะไรจากตระกูลเหมยบ้างไหม”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะร้องหึเบาๆ “จะว่าได้ก็ได้ จะว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ มิใช่เบาะแสใหญ่โต แต่ดูเหมือนยืนยันได้ว่าตระกูลเหมยเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เรือนั่นนอกจากเครื่องบรรณาการและเงินบัญชีแล้ว อาจบรรทุกอย่างอื่นด้วย”

 

 

ก่อนหน้านี้นางเคยสันนิษฐานว่าบนเรือไม่มีสิ่งของอย่างอื่น และศัตรูของตระกูลเหมยอ้างเหตุนี้หาเรื่อง แต่หลังพบกับเหมยซูแล้ว แม้นางจะไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่ก็แน่ใจในจุดนี้

 

 

เหมยซูเยือกเย็นเกินไป และทำการใดๆ ได้โดยไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย เรือบรรทุกของหลวงเกิดเหตุ เขาผู้เป็นพ่อค้าหลวงย่อมต้องรับผิดชอบบ้าง แต่กลับมิลนลานแม้แต่น้อย แถมยังปูดเองเรื่องเงินบัญชีด้วย เพื่อชี้นำการสืบคดี

 

 

เชื่อว่าเวลานี้พวกเขาคงลอบระดมพลเพื่อลบร่องรอยหลักฐานทั้งหมด

 

 

“สรุปแล้วคนของตระกูลเหมยมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมันโดยเด็ดขาด” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างเหยียดหยามที่มุมปาก

 

 

แม้แต่เหมยเซียงจื่อที่ดูแล้วเป็นดรุณีในห้องหอชาวเจียงหนานแสนบอบบาง แต่ความล้ำลึกของจิตใจก็มิใช่คนธรรมดาจะเทียบได้

 

 

ถ้าจะว่าทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดา แต่เหมยซูย่อมไม่รู้ว่าน้องสาวแสนดีของเขาอยากขายเขาอย่างโจ่งแจ้ง และเท่ากับยืนยันว่าที่โดนปล้นมิใช่แค่เครื่องบรรณาการเท่านั้น

 

 

“ใต้เท้า เตรียมจะไปไหวหนานเมื่อใด” เป๋าเป่าคิดดูแล้วถาม

 

 

นางนับเวลากล่าวว่า “เร็วที่สุด…ยิ่งเร็วยิ่งดี”

 

 

เป๋าเป่าทำงานรวดเร็วมาก จัดการเรื่องของหอไผ่เขียวให้เรียบร้อยทันที เดิมทีเขาคิดจะวางตัวโจวอวี่ให้คอยส่งข่าวในราชธานี แต่ชิวเยี่ยไป๋คิดดูแล้ว หากนางกับเป๋าเป่าไม่อยู่ทั้งคู่ โจวอวี่อายุยังน้อย ไม่แน่ว่าจะคุมกองคั่นเฟิงไว้ได้ ถึงแม้ตระกูลโจวจะมีอิทธิพลไม่น้อย แต่ก็เป็นตัวถ่วงเช่นกัน ถ้าเกิดโจวอวี่ทำอะไรผิดพลาด คงเสียการทั้งขึ้นทั้งล่อง

 

 

นางสังหรณ์ใจว่า พอนางไม่อยู่จะต้องมีคนฉวยโอกาสหาเรื่องกองคั่นเฟิงแน่ เรื่องใหญ่คราวนี้ก็เกิดขึ้นตอนนางไม่อยู่นี่แหละ พวกก่อกวนถึงได้ก่อเรื่อง

 

 

นางคิดไปคิดมา จึงตัดสินใจให้โจวอวี่ไปพร้อมนาง ส่วนเป๋าเป่านำทุกคนล่วงหน้าไปก่อนในฐานะผู้สืบคดี พอถึงครึ่งทางค่อยพรางตัวให้คนในกองคั่นเฟิงทั้งหมดเร้นกาย ถึงอย่างไรหอซ่อนกระบี่ก็มีอิทธิพลไม่น้อยในยุทธจักร ส่งคนของกองคั่นเฟิงทั้งหมดไปบนภูเขาคอยดูไว้

 

 

พอเป๋าเป่ารู้เข้าก็คัดค้านคอเป็นเอ็น ชิวเยี่ยไป๋ปลอบใจว่า “เดิมที ข้าก็คิดจะหาโอกาสฝึกฝนพวกเขาอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นบ่อเกิดของเภทภัยในวันข้างหน้า ถ้าเจ้าอยากช่วยข้าจริง ก็จงจัดแจงพวกเขาให้ดี ไว้เมื่อถึงไหวนานและเจ้าจัดแจงพวกหยิบหย่งในกองคั่นเฟิงเรียบร้อยแล้ว เราค่อยสมทบกัน”

 

 

แม้เป๋าเป่าจะไม่อยากแยกทางกับชิวเยี่ยไป๋ แต่ก็รู้ว่าที่นางพูดมีเหตุผล จึงได้แต่ยอมรับอย่างไม่เต็มใจ และลอบระบายโทสะทั้งปวงลงบนหัวของคนในกองคั่นเฟิง โดยไม่มีใครคาดคิดว่า สุดท้ายแล้วซือหลี่เจียนจะกลับกลายเป็นหน่วยงานดังทะลุฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นภายภาคหน้า

 

 

จะกล่าวถึงขณะนี้ ชิวเยี่ยไป๋กำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัว คิดดูแล้วการเดินทางครั้งนี้คงไม่ง่าย ยังมีสิ่งที่ต้องตระเตรียมและวางแผนอีกมากมาย

 

 

พอว่างลงบ้าง ชิวเยี่ยไป๋ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนไป๋หลี่ชูจะหายสาบสูญไป หลังจากพบกันที่ร้านอีแล้ว เขาก็หายไปจากชีวิตของนาง

 

 

ก่อนหน้านี้บางครั้งนางเข้าออกหน่วยราชการมักรู้สึกว่ามีเงาของคนค่งเฮ่อเจียนสะกดรอยตามอยู่ และนั่นคงเป็นคนที่ไป๋หลี่ชูส่งไป แต่พักนี้นางเข้าออกหน่วยงานราชการบ่อยครั้ง กลับไม่รู้สึกว่ามีใครสะกดรอยตามเลย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกสับสน แต่ก็บอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไรกันแน่

 

 

แต่โดยสัญชาตญาณแล้ว นางสงสัยว่าเจ้าไป๋หลี่ชูคนนี้คงกำลังเล่นกลอะไรอยู่ แต่ในเมื่อไม่ได้มาวุ่นวายกับตน นางก็คร้านจะใส่ใจด้วย มีแต่โจรคอยจ้องพันปี ไม่มีการป้องกันโจรเป็นพันปีอยู่แล้ว

 

 

นางจึงทุ่มเทสมาธิทั้งหมดให้กับการเตรียมตัวขั้นสุดท้าย

 

 

พอถึงวันจะเดินทาง นางจึงรายงานต่อตูกงเจิ้งจวิน แล้วนำโจวอวี่กับองครักษ์กองคั่นเฟิงจำนวนหนึ่งลงเรือไป

 

 

เจิ้งจวินเห็นท่าทางของนางแล้ว คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวคำหนึ่ง “ขอให้ราบรื่นตลอดทางนะ”

 

 

เขามิได้มาส่ง ขณะเดียวกันก็สั่งให้ทุกคนจัดการกับงานตนเองในที่ทำงาน ไม่ต้องส่ง ซึ่งก็ตรงใจชิวเยี่ยไป๋ นางคร้านจะเห็นใบหน้าเย็นชาของคนพวกนั้น

 

 

เป๋าเป่าส่งนางด้วยสายตาจนไกลออกไป แต่ไม่คิดมาก หันกายกลับจวน เตรียมจะพาพวกหยิบหย่งจากไป พวกหยิบหย่งพอรู้ว่ามีที่ให้เที่ยวเล่นย่อมดีใจมากเป็นธรรมดา แต่ไม่ทันสังเกตแววยิ้มแสยะในดวงตาของใต้เท้าอี้จ่าง

 

 

จะกล่าวถึงเรือด้านนี้เตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ อยู่แล้ว ถือว่าตูกงเจิ้งจวินยังไว้หน้า เขาสั่งคนของกองทิงเฟิงกับกองปู่เฟิงนำเรือมา และให้ชิวเยี่ยไป๋ลำหนึ่ง

 

 

แต่ชิวเยี่ยไป๋หารู้ไม่ว่า บนเรือยังมี ‘ความยินดีที่น่าตกใจ’ รออยู่

 

 

ลงเรือแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเตรียมเข้าห้องท้องเรือจัดแจงข้าวของ ชิวเยี่ยไป๋ก็เช่นกัน พอนางเข้าไปในห้อง เห็นสตรีนางหนึ่งในชุดหญิงชาวเรืออยู่บนเรือของตนด้วย ก็เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้า ไยเจ้าจึงอยู่ที่นี่!”

 

 

 “ข้าเอง นึกไม่ถึงว่าใต้เท้ายังจำข้าได้ ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก” ดรุณีน้อยลุกขึ้น ริมฝีปากน้อยๆ แย้มยิ้มแล้วย่อตัวคารวะ

 

 

ดรุณีน้อยในชุดผ้าหยาบสีคราม ซึ่งมิอาจบดบังความอ้อนแอ้นรูปร่างบอบบางราวต้นหลิวต้องลม

 

 

นางย่อตัวอยู่เช่นนั้นมิลุกขึ้น

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จ้องอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเฉยเมย “คุณหนูใหญ่เหมย ที่นี่มิใช่ที่ที่เจ้าควรมา คิดว่าคงมาผิดที่กระมัง สักครู่ข้าจะให้คนคุ้มกันเจ้ากลับตระกูลเหมย”

 

 

ดรุณีน้อยที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวในห้องท้องเรือของตน ถึงกับเป็นเหมยเซียงจื่อ!

 

 

จะอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเหมยจะมาโผล่ที่นี่ แต่ไม่ว่านางจะมาผิดที่เพราะเข้าใจผิดหรือเพราะอะไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็น…ความยุ่งยากใหญ่โต!