ตอนที่ 139 ค้นเรือ (2)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

เหมยเซียงจื่อเห็นว่าชิวเยี่ยไป๋ไม่มาพยุงแน่ เพียงเจอหน้าก็ออกปากขับไล่ตน ดวงตาฉายแววตัดพ้อแต่สงบลงอย่างรวดเร็วและยืนขึ้นเอง กล่าวกับชิวเยี่ยไป๋อย่างกล้าหาญว่า “ใต้เท้า ท่านน่าจะเข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงอยู่ที่นี่”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อทันที เลิกคิ้วถามว่า “น่าจะเข้าใจ ทำไมข้าจึงน่าจะเข้าใจ และเข้าใจอะไร”

 

 

หากนางจำไม่ผิด คุณหนูเหมยเซียงจื่อกับนางเคยพบกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

 

 

เหมยเซียงจื่อกัดริมฝีปาก จ้องมองชิวเยี่ยไป๋เขม็ง “ใต้เท้า ท่านลืมแล้วหรือตอนกลับจากบ้านตระกูลเหมยเมื่อครึ่งเดือนก่อน ข้าเคยให้ผ้าเช็ดหน้าท่านไว้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋สีหน้าเฉยเมย “จำไม่ได้”

 

 

เหมยเซียงจื่อคาดไว้ว่าชิวเยี่ยไป๋อาจลังเลหรือเฉไฉ จะอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะตอบทันทีว่า ‘จำไม่ได้’ ทำเอานางตัวแข็งในพริบตา

 

 

“ใต้เท้า…ท่าน” นางขอบตาแดงระเรื่อ น้ำตาคลอหน่วยแลดูชิวเยี่ยไป๋ “ใต้เท้า…ท่านรังเกียจเซียงจื่อหรือ”

 

 

ดรุณีน้อยน้ำตาคลอ ดูแล้วช่างน่าสงสารยิ่งนัก

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังเป็นดรุณีเจียงหนานผู้งดงามปานบุปผาด้วย

 

 

เดิมทีชิวเยี่ยไป๋เป็นคนใจอ่อนมิอาจทนเห็นน้ำตาสตรี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะสงสารคนงามพร่ำเพรื่อ เห็นสภาพเหมยเซียงจื่อแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “คุณหนูเซียงจื่อผู้เลอโฉม ข้าจะรังเกียจเจ้าได้อย่างไร”

 

 

เหมยเซียงจื่อฉายแววปีติทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า ก้มหน้าอย่างขวยเขิน เผยอปากพึมพำว่า “ใต้เท้า…”

 

 

คาดไม่ถึงว่าประโยคต่อมาจะทำเอารอยยิ้มขวยเขินนั้นหายวับไปเลย

 

 

“เพียงแต่คิดว่าข้าไม่ได้มีไมตรีใดๆ กับคุณหนูเซียงจื่อ ก็แค่คนแปลกหน้า จะบอกว่ารังเกียจหรือรักชอบได้อย่างไร” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างเฉยเมย

 

 

เหมยเซียงจื่อตัวแข็งทื่อ ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยว นางเงยหน้าขึ้นมองชิวเยี่ยไป๋ กัดริมฝีปากกล่าวว่า “ใต้เท้า ท่านจะให้เซียงจื่อทิ้งศักดิ์ศรีความเป็นหญิงบอกท่านตรงๆ หรือ แม้เซียงจื่อจะเติบโตในเจียงหนาน มิได้เปิดเผยร่าเริงเช่นสตรีทางเหนือ แต่วาจาบางคำยังคงมิกล้าให้ออกจากปากนะ”

 

 

นางหยุดลงแลดูชิวเยี่ยไป๋แล้วกล่าวทีละคำว่า “ใต้เท้า วันนั้นเซียงจื่ออยู่บนสะพานเห็นบุปผาเกลื่อนฟ้า พริบตาที่เงยหน้าขึ้นเห็นท่านนั่งเรือหลังคาดำแล่นมาก็รู้ทันทีว่า เซียงจื่อได้พบกับผู้ที่จะฝากฝังชีวิตได้แล้ว วันนี้เซียงจื่อมาหาใต้เท้า เพราะหวังว่าใต้เท้าจะพาเซียงจื่อไปด้วย!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดใส่ เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ เขม้นจ้องเหมยเซียงจื่อ สงสัยว่าเพราะตนเองวุ่นวายอยู่หลายวันจึงเหนื่อยล้าเกินไปจนหูฝาดหรือไม่

 

 

แต่ที่เห็นคือ ดรุณีน้อยเบื้องหน้าผู้ดื้อดึงเย็นชา ยืนยันได้ว่านางฟังไม่ผิด…คุณหนูใหญ่ตระกูลเหมยแสดงตนว่ารักเมื่อแรกพบ จึงมาหาและจะหนีไปด้วยกัน!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ลูบหน้าผากอย่างอดมิได้ แล้วหัวร่อเบาๆ

 

 

จะอย่างไรเหมยเซียงจื่อก็เป็นดรุณีในห้องหอ แข็งใจพูดจนจบ บัดนี้กลับเห็นชิวเยี่ยไป๋หัวร่อ นางรู้สึกขายหน้า จึงกระทืบเท้าน้อยๆ อย่างคับแค้น กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ใต้เท้า ท่านหัวร่ออะไร!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อจนพอใจ มองดูนางกล่าวเนือยๆ ว่า “ข้าเพียงหัวร่อเพราะวิธีโกหกของคุณหนูไม่แนบเนียนนะสิ”

 

 

เหมยเซียงจื่องงงัน “อะไรนะ”

 

 

ริมฝีปากชิวเยี่ยไป๋ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน “คุณหนูเซียงจื่อ ถ้าท่านจะหลอกคน ทางที่ดีควรหัดหลอกตัวเองก่อน แม้ข้าจะโง่ แต่กับกลเกมด้านชู้สาวยังพอจะประสาอยู่บ้าง ข้าดูแล้วในตาของคุณหนูไม่มีวี่แววว่าเลื่อมใสต่อข้าแม้แต่น้อย”

 

 

สาวน้อยคนนี้ถูกตามใจจนเสียคนแล้ว จึงเหมาเอาว่าใครๆ ก็โง่หมด

 

 

เหมยเซียงจื่อนึกไม่ถึงว่าชิวเยี่ยไป๋จะพูดจาเช่นนี้ นางนิ่งอึ้งสีหน้าลนลานแต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว ทำหน้าเย็นชาแต่น้ำเสียงกระเง้ากระงอด “ใต้เท้าเจ้าขา ยังจะมีผู้ใดรู้ดีกว่าตัวเซียงจื่อเองว่าชอบใคร

 

 

เซียงจื่อบอกว่าเลื่อมใสท่านก็คือเลื่อมใสท่าน”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ร้องเฮอะในใจ เออหนอ ดรุณีผู้นี้ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ก็เลยใช้ไม้แข็ง ฝืนจะเอาคำว่า ‘รักชอบ’ ใส่หัวตนให้ได้

 

 

คุณหนูเหมยคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ แค่จะให้นางพาหนีเท่านั้นหรือ

 

 

ไม่ว่าเหมยเซียงจื่อจะหลอกใช้ตนอย่างไร ชิวเยี่ยไป๋ก็ไม่อยากพัวพันกับตัวยุ่งนี้อีกต่อไป

 

 

นางมองดูเหมยเซียงจื่อแล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เอาล่ะ ถือว่าเจ้าเลื่อมใสข้าก็แล้วกัน ข้ารับรู้ดี แต่ข้ามิได้สนใจเจ้าแม้แต่น้อย คนเราจะอยู่ร่วมกันย่อมต้องสองเรารักชอบกันจริง ข้าว่าผู้ที่ได้ฉายาคนงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง คงไม่ถึงกับตกต่ำจนต้องบีบบังคับให้บุรุษรับรักกระมัง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋นับว่าเป็นนักเที่ยวตัวยงคนหนึ่ง รู้ว่าทำอย่างไรให้สตรีรักชอบและรู้ว่าจะทำอย่างไรให้หัวใจพวกนางสลายเช่นกัน โดยเฉพาะดรุณีน้อยที่ถือตัวว่าเลอโฉมชีวิตราบรื่นไปเสียหมดตั้งแต่เล็กจนโต คนพวกนี้เคยชินกับผลประโยชน์ที่ได้มาเพราะความงาม จึงเย่อหยิ่งจองหองเป็นพิเศษ

 

 

คำพูดไม่เกรงใจชนิดกรีดเฉือนหัวใจเช่นนี้ทำเอาเหมยเซียงจื่อหน้าซีดเผือด นางมองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างไม่อยากจะเชื่อ มือสั่นเทาจับเสื้อไว้แน่น รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกเหยียบย่ำ แต่ดันเป็นตนเองที่บากหน้ามาให้เขาเหยียบย่ำเอง

 

 

ต่อให้นางแค่จะหลอกใช้เขา ตั้งแต่เล็กจนโต ใครก็ตามที่เห็นความงามของตนแม้จะไม่ถึงกับ

 

 

ทะนุถนอม แต่คำพูดคำจายังคงนุ่มนวลต่อนาง

 

 

ไม่เคยมีบุรุษคนใดถากถางนางถึงสามครั้งสามครา แม้แต่เหมยซูพี่ชายของนางเองก็เถอะ…

 

 

“ชิวเยี่ยไป๋…เจ้าเกินไปแล้ว!” ดวงตาที่คลอด้วยน้ำตาของเหมยเซียงจื่อส่อแววเคียดแค้น ก้าวไปข้างหน้าเงื้อมือขึ้น แต่ก็ถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือไว้ทันควัน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ที่อยู่สูงกว่าก้มมองนางอย่างดูแคลน “อย่าใช้วิธีที่ทำกับคนอื่นมาทำกับข้า กับคนที่ข้าไม่ชอบข้าไม่เคยเกรงใจเลย ข้าเป็นคนเกินไปอย่างนี้แหละ”

 

 

เหมยเซียงจื่อรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ นางพยายามดิ้นรนแต่ดิ้นไม่หลุด จึงได้แต่เขม้นมองชิวเยี่ยไป๋

 

 

อย่างดื้อดึงทั้งน้ำตา ดวงตากลอกไปมาแต่ไม่ยอมให้น้ำตาร่วงริน ดูทุลักทุเลเป็นที่สุด

 

 

สภาพเช่นนี้เหมือนแมวเหมียวแสนสวยถูกคนเหยียบเข้าเต็มเท้า คับแค้นเป็นที่สุด ต่อให้เป็นสตรีด้วยกัน เห็นสภาพดรุณีน้อยน่าสงสารเช่นนี้ยังคงต้องใจอ่อน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ลอบถอนใจ คนงามนั้นงามจริง แต่สภาพเช่นนี้ทำเอานางนึกสงสัยไม่ได้ว่าตนเองทำเกินเหตุไปหรือเปล่า จะว่าไปแล้วเหมยเซียงจื่อก็แค่ดรุณีน้อยอายุสิบห้า

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กำลังคิดว่าจะคลายมือแล้วปลอบโยนนางสักหน่อย ก่อนจะส่งนางกลับไป พลันได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้น

 

 

“ทำอะไรกัน พวกเจ้าทำอะไร”

 

 

“เรือทุกลำในท่าหยุดให้หมด พวกเราจะค้นเรือ!”

 

 

“หยุด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นเรือของใคร!”