ตอนที่ 116 เปิดเผยตัวตนของนางมารร้าย

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 116 เปิดเผยตัวตนของนางมารร้าย

“ข้าให้พริกเจ้าไปเมื่อใดไม่ทราบ? เป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าเห็นว่าเครื่องปรุงรสของร้านข้าอร่อย แล้วมาขโมยมันไปจากร้านของข้า แต่เจ้าไม่รู้จักการปรุงวัตถุดิบเลยทำให้พวกเจ้าขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารในอีกกำมือ*[1]?” ซูหวานหว่านพูดเยาะเย้ยออกมาอย่างประชดประชัน

สือเป้ยเอ๋อร์แสร้งทำเป็นนิ่งสงบ นางหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของแล้วพูดออกมาว่า “นี่เป็นสัญญาที่เจ้าเซ็นสัญญากับร้านอาหารของเรา เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกนะ!”

ซูหวานหว่านหมายยื่นมือออกไป แต่สือเป้ยเอ๋อร์นั้นได้ยื่นกระดาษให้กับท่านนายอำเภอแทน ชายชราชำเลืองมองดู แล้วส่งสัญญาณเรียกใครบางคนที่อยู่ด้านข้าง และนำแผ่นกระดาษไปให้ซูหวานหว่าน

การกระทำของท่านนายอำเภอทำให้สือเป้ยเอ๋อร์กระวนกระวายใจเป็นอย่างมากจนเกือบจะตะโกนพ่นคำหยาบคายออกมา ทว่านางก็ข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้ “ต่อหน้าข้า พวกเจ้าอย่ามาทำเจ้าเล่ห์อันใด มิฉะนั้น… ข้าจะไปฟ้องร้องกับนายอำเภอ!”

นางรู้จักนายอำเภอรึ? ซูหวานหว่านหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา นางขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาว่า “นี่…”

สือเป้ยเอ๋อร์ผุดยิ้มออกมา ตัวหนังสือข้างบนชัดเจนมาก นางต้องการดูว่าซูหวานหว่านจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรต่อไป!

“เจ้าแน่ใจนะว่าข้าเป็นคนเขียนร่างกระดาษฉบับนี้ขึ้นมา?” ซูหวานหว่านถามออกมา

“แน่นอน เจ้าเป็นคนเขียนชื่อเองและประทับรอยนิ้วมือด้วยตนเอง นี่คือหลักฐาน” สือเป้ยเอ๋อร์กล่าว

“อย่างงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านยิ้มออกมา ยื่นกระดาษคืนให้อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ข้าเป็นเพียงสาวชาวนาที่อยู่ชนบท ข้าไม่รู้หนังสือ ไม่ต้องพูดถึงการเขียนหนังสือ ไหนจะลายมือชื่อข้า ข้าแทบจะไม่รู้เลย”

เด็กสาวพูดออกมาและนางก็มั่นใจมากว่าในเมืองนี้มีเพียงไม่กี่คนที่นางเคยเขียนใบสั่งยาให้ และคนเหล่านั้นต่างก็เขินอายที่จะพูดถึงเรื่องโรคของตัวเองที่เป็นอยู่ คนเหล่านั้นจะช่วยมาเป็นพยานกับสือเป้ยเอ๋อร์ได้อย่างไรกัน?

แน่นอนว่าคนที่รู้ก็คงจะไม่เอ่ยออกมา และหลายคนก็คงจะไม่รู้ ทว่าบังเอิญมีบางคนจากหมู่บ้านฮวงที่จำซูหวานหว่านได้จึงพูดออกมาว่า “ข้าเคยเห็นเจ้าเด็กซูหวานหว่านมาตั้งแต่เล็ก นางโตมานางก็คอยรับใช้ท่านย่าและท่านลุงของนาง! นางจะได้รับอนุญาตให้ไปเรียนหนังสือได้อย่างไรกัน? ข้าสามารถยืนยันเป็นพยานให้แก่นางได้ว่านางเป็นคนที่ไม่มีการศึกษา!”

พอคนนั้นพูดออกมา อีกคนหนึ่งที่มาจากหมู่บ้านก็เสริมออกมาว่า “ตรงกันข้ามมีเศรษฐีสาวคนหนึ่งที่เข้ามาในหมู่บ้านเพื่อแย่งคู่หมั้นของนางไป แล้วยังมาพูดจาแย่ ๆ ใส่นางอีก หากเป็นเช่นนั้นนางอาจจะถูกใส่ร้ายก็ได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นทุกคนก็ตกตะลึง

สีหน้าของสือเป้ยเอ๋อร์พลันเปลี่ยนสีและพูดออกมา “โอ้ย ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน เรื่องของวันนี้… ค่อยไว้ว่ากันใหม่แล้วกันนะ”

เมื่อพูดเสร็จนางก็เตรียมตัวจากไป ทว่าซูหวานหว่านไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ เด็กสาวยื่นมือออกไปทันที “ข้าต้องการถามให้แน่ชัดอีกครั้ง เครื่องปรุงของข้าที่อยู่ในร้านเจวียเซ่อไม่เคยให้มันแก่ผู้อื่น เจ้าไปขโมยมาจากที่ใด?”

เครื่องปรุงของนางไม่มีวางขายที่ไหน!

ซูหวานหว่านทำความเคารพท่านนายอำเภอแล้วพูดออกมาอย่างสุภาพว่า “ข้าขอให้ท่านนายอำเภอช่วยตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยเจ้าค่ะ ว่าเหตุใดเครื่องปรุงจากร้านอาหารเจวียเซ่อถึงไปปรากฏที่ร้านหงเหมินได้อย่างไรกัน”

สือเป้ยเอ๋อร์เกิดความกังวลทันที หากได้รับการตรวจสอบและความจริงถูกเปิดเผย ชื่อเสียงของร้านอาหารหงเหมินอาจจะเสียหายได้ หญิงสาวจึงเตะขาชายผู้หนึ่งผู้มีใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยตุ่มแดง ชายคนนั้นก็ตะโกนออกมาทันทีว่า “โอ้ พวกเจ้าดูสิ! หน้าของข้ากลายเป็นแบบนี้แล้ว! ดูสิตุ่มขึ้นเต็ม จนใบหน้าของข้าเสียหายหนัก! พวกเจ้าจะยังกล้ากินเครื่องปรุงนั้นอีกอย่างงั้นหรือ? อีกอย่างนางยังส่งเครื่องปรุงมาให้กับร้านหงเหมินอีก มันจะมากเกินไปแล้ว!”

ใครว่าเครื่องปรุงของนางกินไม่ได้?

ซูหวานหว่านยิ้มเยาะ ก้าวเดินไปหาชายคนนั้นช้า ๆ แล้วเอ่ยแผ่วเบา “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เลย หากจะให้ข้าวิเคราะห์สิวที่ขึ้นอยู่บนใบหน้าของเจ้าตอนนี้ ข้าว่าเจ้าน่าจะอายุ 17 ปี เกิดในหมู่บ้านสือหยวน ขายหินแกะสลัก งานที่เจ้าทำมันก็ทำให้หน้าของเจ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ก่อให้เกิดการอุดตันของผิว แล้วทำให้เป็นตุ่ม เจ้าเกาใบหน้าของตนเอง แล้วเครื่องปรุงที่เจ้ากินเข้าไปก็ส่งผลให้เกิดความเผ็ดร้อน จนทำให้ตุ่มของเจ้าเห่อแดงและน่ากลัวแบบนี้”

ชายคนนั้นตกใจ ซูหวานหว่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน! เพียงวิเคราะห์จากใบหน้าของตนแค่นั้น ซึ่งนางวิเคราะห์ได้ดีมาก ให้ตายเถอะ! สิ่งนี้ทำให้เขาตกตะลึง

ซูหวานหว่านพูดต่อว่า “ตุ่มบนใบหน้าของเจ้ามันขึ้นมาสามปีแล้วใช่หรือไม่?”

ชายคนนั้นตกใจอีกครั้งและตอบซูหวานหว่านออกไปว่า “อัจฉริยะจริง ๆ! ข้าอยากจะขอร้องให้เจ้าช่วยข้าทีเถอะ! เพราะตอนนี้หน้าของข้าก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ไม่มีหญิงจากครอบครัวใดกล้าแต่งงานกับข้า! ยามข้าไปเที่ยวที่หอนางโลมก็ถูกพูดจาดูถูกใส่! เวลาข้าเดินบนถนนข้าก็ก้มหน้าตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรังเกียจข้า!”

ความจริงแล้วซูหวานหว่านเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน เพราะตอนนั้นที่นางจะสร้างบ้านใหม่นางได้เดินทางไปต่างหมู่บ้านเพื่อไปหาของและนางก็จำคนนี้ได้ว่าเขาเป็นคนมาส่งของให้กับนาง

ตอนนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เพราะนางสามารถแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย เด็กสาวจึงพูดออกมาอีกว่า “เจ้าควรเล่าความจริงของเรื่องทั้งหมดออกมา แล้วข้าจะรักษาหน้าของเจ้าให้”

“ขอบคุณหมออัจฉริยะ! ขอบคุณหมออัจฉริยะ! ข้าจะบอก! เหตุใดคนอื่นถึงกินเครื่องปรุงรสพริกแล้วไม่เป็นไร! แต่เหตุใดข้ากินมันเข้าไปแล้วใบหน้าของข้ามันถึงบวมแดงขนาดนี้!” ชายคนนั้นกล่าวขอบคุณซูหวานหว่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก้มหน้างุดเตรียมเปิดปากเล่าเรื่อง

พลันใดสือเป้ยเอ๋อร์ก็อุทานขึ้นมาว่า “หุบปาก! หากเจ้าพูดออกมาข้าจะไม่ให้เงินเจ้าแม้แต่เหรียญเดียว!”

ทุกคนต่างสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนสือเป้ยเอ๋อร์เผลอพูดออกมาแบบลืมตัว

“ที่แท้มันเป็นแผนการของนางที่ต้องการใส่ร้ายแม่นางซูอย่างงั้นหรือ! ไม่น่าแปลกใจเลย!”

“จิตใจชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”

“…”

ท่านนายอำเภอจึงพูดออกมาว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ แม่นางสือ เจ้ามีอะไรจะพูดแก้ต่างไหม?”

“ข้า…” สือเป้ยเอ๋อร์รู้สึกลนลาน นางไม่เคยติดคุกมาก่อน! นางจะต้องร้องไห้เพื่อขอความเมตตา!

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็คงมีแต่จะต้องใช้วิธีนี้!

สือเป้ยเอ๋อร์หยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อของตัวเอง โดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาพร้อมทั้งยังทำท่าทางเย่อหยิ่งอีกด้วย

นี่เป็นเครื่องยืนยันตัวตนของตระกูลนาง! นางไม่เชื่อว่าท่านนายอำเภอหน้าขาวผู้นี้จะมองไม่เห็นค่ามัน! ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเปลี่ยนเรื่องนี้ให้นางบริสุทธิ์ก็ได้!

แต่แล้วเขาก็ทำให้นางผิดหวัง

ท่านนายอำเภอมองดูสิ่งนั้นแล้วตะโกนออกมาว่า “เจ้ากำลังพยายามติดสินบนข้าด้วยจี้หยกชิ้นนี้รึ? พ่อแม่ของเจ้าไม่เคยสอนหรืออย่างไร!”

เขาไม่รู้จักจี้หยกชิ้นนี้อย่างงั้นหรือ!?

นางไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงซึ่งซ่อนเอาไว้ได้!

สือเป้ยเอ๋อร์กัดฟันและรู้สึกโกรธมาก หญิงสาวไม่รู้จะบอกอย่างไรดี

ซูหวานหว่านจึงถามความจริงออกมา “เจ้าคงจะคิดว่าทุกคนจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับของมีค่าในสำนักอัครมหาเสนาบดีงั้นสินะ?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นลูกสาวอัครมหาเสนาบดี!” สือเป้ยเอ๋อร์ตกใจ

ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาเสียงดัง “ข้าไม่รู้หรอก ข้าก็แค่เดาดูแล้วหลอกเจ้าให้ตกหลุมพรางก็เพียงเท่านั้น”

นางโดนอีกฝ่ายจับได้! ทว่ามันไม่ได้ทำให้หญิงสาวรู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย และกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี เหตุใดเจ้ายังไม่คุกเข่าลงเพื่อขอความเมตตาจากข้าล่ะ? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าอย่างงั้นรึ?”

ถ้าหากว่าฆ่านางได้อีกฝ่ายก็คงฆ่านางตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เหตุใดจึงไว้ชีวิตนางไว้จนถึงวันนี้ด้วย ซูหวานหว่านส่ายหัว “เจ้ามาที่นี่ พ่อของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือยังเล่า? แล้วที่ลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีมาเปิดร้านอาหารที่นี่ จักรพรรดิรู้เรื่องหรือยัง?”

ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ที่สืบทอดกันมา มีกฎเกณฑ์ว่าหากครอบครัวใดที่เป็นขุนนางหรืออัครมหาเสนาบดีที่เป็นขุนนางภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ ห้ามมิให้ทำการค้าใด ๆ ทั้งสิ้น หากใครฝ่าฝืนจะต้องโทษประหารชีวิต

แล้วเหตุใดลูกสาวของอัครมหาเสนาบดีถึงกล้าเพียงนี้?

เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูหวานหว่านก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หากเจ้าไม่กลัว แต่ข้าว่าท่านอัครมหาเสนาบดีน่าจะไม่รู้สึกเช่นนั้นนะ ข้าขอแนะนำเจ้าให้ออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!”

“เฮอะ!” สือเป้ยเอ๋อร์ตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ เตรียมเดินออกไปทันที และไม่มีใครกล้าเอ่ยห้ามออกมา แต่ทันใดนั้นประตูที่ว่าการอำเภอก็ปิดลง “ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี แต่เจ้าก็ต้องถูกลงโทษเพราะว่าเจ้ากระทำความผิด”

“เจ้าบังอาจมาก! กล้าดียังไงมาว่าข้า!” สือเป้ยเอ๋อร์หมายจะพุ่งตัวเข้าหาซูหวานหว่าน ทว่าถูกชายคนหนึ่งคว้าขาของนางเอาไว้และดึงมันอย่างแรง

สือเป้ยเอ๋อร์หันไปมองข้างหลังทันทีและความตื่นตระหนกฉายชัดในแววตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ… ฉีเฉิงเฟิง!

ซูหวานหว่านรู้สึกกังวลใจมาก เหตุใดฉีเฉิงเฟิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้! อีกทั้งไม่ได้สวมหน้ากากอีกด้วย! แล้วจะทำยังไงหากสือเป้ยเอ๋อร์จ้องทำร้ายเขาอีก!

[1] ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารในอีกกำมือ สำนวนจีน แปลว่าฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุนอีกต่างหาก