ตอนที่ 117 สู่ขอภรรยาสองคน

“ฉีเฉิงเฟิง! เจ้ายังมีชีวิตอยู่!” สือเป้ยเอ๋อร์ตื่นตกใจ

“เป็นอะไรไป? อยากให้ข้าตายมากเลยหรือ?” ฉีเฉิงเฟิงเยาะเย้ย แล้วทำความเคารพท่านนายอำเภอพร้อมกับพูดว่า “ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงลูกสาวของอัครมหาเสนาบดี ข้าก็ขอให้ท่านอย่ายอมจำนนต่อฐานะอันสูงส่งนี้และเพิกเฉยต่อกฎขององค์จักรพรรดิ”

ท่านนายอำเภอทุบไม้อย่างแรง “ให้คนนำตัวนางไป!”

“หากพวกเจ้ากล้า ก็ลองมาจับตัวข้าดูสิ!” สือเป้ยเอ๋อร์กล่าวออกมาอย่างโกรธจัด ทว่าก็ถูกคนนำตัวออกไปอยู่ดี

ในตอนนี้ทุกคนรู้สึกโล่งใจเมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลายลง หลังจากที่จับตัวสือเป้ยเอ๋อร์ไปแล้ว ทุกคนก็พากันตกใจที่เห็นฉีเฉิงเฟิงเดินไปหยุดข้าง ๆ ซูหวานหว่าน ทำให้พวกเขาสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน

ฉีเฉิงเฟิงจับมือของซูหวานหว่านและพูดออกมาเสียงดัง “ทุกท่าน เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด อันที่จริงแล้วซูหวานหว่านยังคงเป็นคู่หมั้นของข้า ส่วนแม่นางสือไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า นอกจากเป็นเพียงคนที่โลภมากและไร้ยางอายเท่านั้น”

แม้คำว่า ‘โลภและไร้ยางอาย’ อาจฟังดูแปลก ๆ ทว่าทุกคนก็คิดเกี่ยวกับมันและพบว่ามันสมเหตุสมผล จิตใจของสือเป้ยเอ๋อร์นั้นเลวร้ายเสียจนสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายซูหวานหว่านได้ แล้วนางจะไม่พูดข่มขู่ฉีเฉิงเฟิงได้อย่างไรกัน?

ตอนนี้ความจริงทุกอย่างกระจ่างหมดแล้ว

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงกำลังจะเดินออกไป จู่ ๆ ชายผู้หนึ่งรีบเข้ามากอดขาของซูหวานหว่านไว้พร้อมทั้งพูดว่า “ท่านหมออัจฉริยะ! อย่าเพิ่งไป! ท่านยังไม่ได้รักษาใบหน้าให้ข้าเลย!”

เมื่อเห็นชายหนุ่มใบหน้าเขรอะ ซูหวานหว่านก็หยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง หญิงสาวแอบเติมน้ำแร่ลงในขวดขนาดเล็กแล้วหยิบออกมายื่นให้กับชายคนนั้น

“นี่คือเครื่องประทินผิวที่ข้าเป็นคนคิดค้นขึ้นมา เจ้าเอาไปลองใช้ดูนะ”

“ขอบคุณมาก! ขอบคุณท่านหมออัจฉริยะมาก!” ชายหนุ่มป้ายน้ำแร่ลงบนใบหน้าของตนเอง หลังจากนั้นไม่นาน รอยแดงบนใบหน้าของเขาพลันจางลงในทันใด

ชายผู้นั้นรู้สึกประหลาดใจและรู้สึกดีใจมาก เขาหันไปหาซูหวานหว่าน สิ่งที่เห็นทำให้ทุกคนต่างพากันตกตะลึง ผลลัพธ์จากยาของหญิงสาวมีประสิทธิภาพเกินจริงนัก ทว่าจะเถียงออกมาก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะว่าประสิทธิภาพของเครื่องประทินผิวของซูหวานหว่านนั้นดีมากจริง ๆ พวกเขาต้องการยาจากนาง แต่กลับพบว่าซูหวานหว่านกับฉีเฉิงเฟิงได้หายไปแล้ว

เมื่อทั้งสองคนเดินกลับมาถึงที่พัก ซูหวานหว่านจึงขอตัวไปที่ร้านอาหารเจวียเซ่อเพื่อหาวิธีที่ทำให้ผู้คนสามารถกินพริกเผ็ดได้ นางพยายามหาอยู่หลายทางและลองชิมไปเรื่อย ๆ

ชื่อเสียงของร้านหงเหมินเหม็นคาวฉาวโฉ่ ไม่มีผู้ใดย่างก้าวเข้าไปที่ร้านอาหารแห่งนั้นเลย ต่างจากร้านเจวียเซ๋อที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนทุกวัน

ซูหวานหว่านเดินเข้าไปที่ครัวด้านหลัง เด็กสาวมองสำรวจวัตถุดิบและพบว่าพริกที่นางนำมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งพริกนั้นมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 150 ชั่งเลยนะ!

แม้ว่าพื้นที่ในมิติฟาร์มของนางจะขยายใหญ่ขึ้น ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ในไม่ช้าพริกอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการในการนำมาปรุงอาหาร

ซูหวานหว่านพยายามขบคิด จึงตัดสินใจว่านางจะต้องหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพิ่มกำลังในการปลูกพริกเพิ่มในปริมาณที่มากขึ้น

ดั่งคำที่กล่าวเอาไว้ว่า สายน้ำที่อุดมสมบูรณ์อย่าปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่น นางจะต้องทำให้หมู่บ้านของตัวเองมั่งคั่งขึ้นมาก่อน

เมื่อตัดสินใจได้แบบนี้ ซูหวานหว่านก็สั่งให้เสี่ยวเฮ่ยคอยดูแลพี่ชายและน้องชายของนางที่เรียนหนังสืออยู่ภายในเมือง เพราะนางอาจจะไม่อยู่สักพักจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง

ก่อนที่จะนางออกเดินทางกลับหมู่บ้าน ฉีเฉิงเฟิงได้ขอติดตามไปด้วย ซึ่งตัวเด็กสาวเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงปล่อยให้เขาตามตนเองกลับมา

รถม้านางได้ยืมมาจากคุณชายถัง แม้ว่าถนนหนทางจะขรุขระเพียงใด ทว่ารถม้าก็วิ่งความเร็วคงที่ไม่ตกหลุมบ่อใด ๆ เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึงหมู่บ้านดวงอาทิตย์ยังไม่ลาลับขอบฟ้า

บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน นางได้ยินเสียงของเหล่าป้า ๆ และกลุ่มคนใส่ชุดสีแดงและสวมกางเกงสีแดง พร้อมกับถือกล่องสองสามกล่องแล้วเดินเข้าไปในหมู่บ้าน เส้นทางนั้นคือทางไปบ้านใหม่ของซูหวานหว่าน!

งานเลี้ยงต้อนรับ? เหตุใดพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่บ้านของนาง? ความสงสัยเกิดขึ้นในหัวของหญิงสาว ทันใดนั้น ก็ได้ยินชาวบ้านพูดว่า “ไป๋ซุนชุ่ยกำลังไปที่บ้านของตระกูลซู! พวกเจ้าว่าเขาจะไปสู่ขอผู้ใด? ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าเพิ่งจะได้ยินมาว่าเขาจะมาสู่ขอภรรยาไปสองคนเลย!”

“เจ้าพูดช้าหน่อยได้หรือไม่ สองคนที่เจ้าว่าหมายถึงใครกัน?”

“จะใครเสียอีก! ตระกูลซูมีลูกสาวเพียงสองคนเท่านั้นคือ ซูหวานหว่านและซูเสี่ยวเหยี่ยน!”

“…”

ไป๋ซุนชุ่ยชักโลภเกินไปแล้ว! มาสู่ขอแต่งงานถึงสองคน!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้วและขอให้คนขับรถม้าเร่งรถให้เร็วกว่านี้

ก่อนที่จะมาถึงประตูบ้าน นางก็ได้ยินเสียงแหลมของใครบางคนดังออกมาว่า “แม่นางเจิ้น เจ้าไม่รู้หรือว่าฐานะหลานชายของข้าไม่ได้น้อยหน้าใคร ๆ เลย? อีกอย่างซูหวานหว่านก็โดนถอนหมั้นมาแล้วถึงสองครั้ง! เจ้าไม่ต้องกลัวที่จะต้องเสียหน้าอีกต่อไป! เพราะหลานชายของข้านั้นรักนางจริง ๆ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาสู่ขอนางไปเป็นสะใภ้! พวกเจ้าไม่ต้องละอายใจไปหรอก!”

“ใช่แล้ว! ที่พูดมาทั้งหมดล้วนแต่คือเรื่องจริง!” แม่สื่อร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “พวกเราจะมาสู่ขอพวกนางไปทั้งสองคน แต่มอบของหมั้นให้เพียงชิ้นเดียว พวกเจ้าอย่าคิดมากเกินไปนักเลย สาเหตุที่เรามาก็เป็นเพราะว่าซูเสี่ยวเหยี่ยนไปให้ท่าเขาก่อน! ใครเป็นคนสั่งให้นางมายั่วยวนคุณชายไป๋ก่อนล่ะ! ทำให้คู่หมั้นของคุณชายไป๋ไม่พอใจอย่างมาก! ครอบครัวของเจ้าจะต้องจ่ายค่าชดเชยมาถึงจะถูก!”

“อ๋องั้นรึ? ข้าอยากจะดูสิว่าใครกันแน่ที่บ้า!” ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็ได้เดินเข้ามา

เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยทุกคนก็หันกลับไปมอง และเห็นชายหนุ่มรูปงามเดินตามหลังซูหวานหว่านเข้ามาด้วย พวกเขาต่างตกตะลึงและส่งเสียงพึมพำ “ฉีเฉิงเฟิงไม่ได้ถอนหมั้นนางไปแล้วหรือ? เหตุใดเขาถึงกลับมาที่นี่อีก?”

“เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาพูดเกลี้ยกล่อมหลอกล่อซูหวานหว่านให้หลงเชื่อ?”

“…”

ทุกคนพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ไป๋ซุนชุ่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เกิดอาการตื่นตระหนกและรีบพูดออกมาว่า “ซูหวานหว่าน! เจ้าอย่าหลงกลฉีเฉิงเฟิงเด็ดขาด! เขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลยสักนิด!”

“คุณชายไป๋ ข้าขอบคุณเจ้ามากที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่ข้า อย่างที่ท่านป้าเจ้าพูดก่อนหน้านี้ว่าข้าถูกถอนหมั้นถึงสองครั้งสองครา และข้าไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก ต่อไปเจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก” ซูหวานหว่านพูดจบ ฉีเฉิงเฟิงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับสือเป้ยเอ๋อร์ให้ฟังว่านางใช้วิธีข่มขู่เขาให้เขายอมจำนนและเชื่อฟัง ซึ่งเมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดทุกคนก็ต่างสับสน

มีเพียงไป๋ซุนชุ่ยคนเดียวที่ไม่เชื่อคำพูดของฉีเฉิงเฟิง “เป็นไปไม่ได้! ฉีเฉิงเฟิงได้แบกผู้หญิงคนนั้นออกไปจากที่นี่ด้วยตนเอง วันนั้นพวกเจ้าทุกคนก็เห็นกันไม่ใช่หรือ?”

ชาวบ้านไม่ฟังเรื่องไร้สาระของเขาและพูดออกมาทันทีว่า “คุณชายฉีไม่ใช่คนเช่นนั้น! เขาต้องถูกบังคับอย่างแน่นอน! มองจากนิสัยของเขาแล้ว เขาไม่น่าจะเป็นคนที่จะทำเรื่องแบบนั้น”

“ใช่แล้ว! ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้จักนิสัยของคุณชายฉีดี และพวกเราทุกคนเข้าใจเขาผิดต่างหาก!”

“…”

หลังจากที่แม่เจิ้นและซูต้าเฉียงได้ยินพูดคำเหล่านี้ ความโกรธที่พวกเขามีต่อฉีเฉิงเฟิงก็พลันหายไป และพูดขึ้นมาว่า “ฉีเฉิงเฟิงยังคงเป็นลูกเขยของครอบครัวเรา การแต่งงานระหว่างเขากับลูกสาวข้าได้ถูกกำหนดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเจ้ายังกล้ามาสู่ขอนางอีก ช่างน่าอายเสียจริง ๆ!”

ผ่านไปไม่กี่วัน ยังเกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นอีก!

ซูหวานหว่านแทบจะอดใจที่จะปรบมือออกมาไม่ได้ นางกำลังจะจัดการกับไป๋ซุนชุ่ยและคนอื่น ๆ ทว่าเด็กสาวก็เห็นซูเสี่ยวเหยี่ยนวิ่งออกมาจากในบ้าน สวมชุดสีชมพูราวกับผีเสื้อพร้อมกับตะโกนว่า “ท่านแม่! ท่านจะต้องให้ท่านพี่แต่งงานกับคุณชายไป๋! คุณชายไป๋บอกว่าหากท่านพี่ไม่ยอมแต่งงานกับเขา เขาจะไม่เอาข้า!”

ดวงตาของซูเสี่ยวเหยี่ยนนั้นบวมแดงเหมือนลูกเหอเถอ นางเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ซูหวานหว่านกลับไม่รู้สึกสงสารนางเลยแม้แต่น้อย

แม่เจิ้นและซูต้าเฉียงที่เห็นแบบนั้นก็เอ่ยความในใจของตัวเองออกมาตรง ๆ “ซูเสี่ยวเหยี่ยน! นางเป็นพี่สาวของเจ้านะ! เหตุใดเจ้าถึงกล้าพูดจาเช่นนี้ออกมา!”

“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดอย่างไรถึงต้องการจะแต่งงานกับไป๋ซุนชุ่ย! เจ้าอยากจะแต่งงานไปเป็นอนุหรือเมียน้อยอย่างงั้นหรือ? และเจ้ายังจะลากพี่สาวของเจ้าตกนรกไปด้วยกันอีก! ใครสั่งสอนเจ้ากัน!” ซูต้าเฉียงเอ่ยตำหนิลูกสาวแต่ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ ชายวัยกลางคนจึงหยิบไม้ขึ้นมา

ซูเสี่ยวเหยี่ยนรีบวิ่งไปหลบข้างหลังไป๋ซุนชุ่ย พร้อมกับจ้องมองไปที่ซูหวานหว่านด้วยสายตาไม่พอใจและพูดออกมาว่า “ท่านพี่ ท่านกับข้าจะต้องแต่งงานกับคุณชายไป๋! ไม่อย่างงั้นแล้ว… “

น้องสาวของนางจะต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ!

ทั้งยังพูดจาขู่นางอีก!

ซูหวานหว่านมองไปที่ซูเสี่ยวเหยี่ยนอย่างเย็นชาและพูดออกมาสองสามคำว่า “มิฉะนั้นจะทำไม!”