อีริสทอดสายตามองแอสรันที่นอนอยู่ เขายังคงนอนหลับราวกับตาย แน่นอนว่านางรู้ว่าเขายังไม่ตาย ทว่าบางคราวภาพที่ผมไม่ขยับเขยื้อนเลยตั้งแต่วินาทีที่เขาหลับไป ก็ชวนให้เข้าใจผิดไปบ้างเช่นกัน
“อึ้ดช่า…”
หลังจากมองเขาอยู่สักพัก อีริสก็ลุกขึ้น ข้างตัวนางมีผลไม้ป่าวางอยู่บนใบไม้ใบใหญ่
“ต้องไปหาของกินสำหรับวันนี้แล้ว”
ผ่านไปไม่เท่าไร อาหารที่แอสรันมอบให้ก็ถูกกินหมดแล้ว แม้นางจะพยายามกินอย่างประหยัดแต่ก็ช่วยไม่ได้ หากวางไว้เช่นนั้นก็มีแต่ทำให้ของเน่าเสีย แถมอาหารพวกนั้นยังเป็นของอร่อยที่อีริสไม่เคยลิ้มลองมาก่อนตั้งแต่เกิดมา เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่อีริสประหยัดเลย นางกินไปโดยไม่เหลือแม้เศษซากด้วยซ้ำ
นางแอบคิดเช่นกันว่าหากกินหมดแล้วแอสรันจะตื่นขึ้นมาและมอบมันให้อีก แต่เขากลับยังนอนหลับอยู่เหมือนเดิม
อีริสเดินเข้าใกล้ปากถ้ำอย่างระมัดระวัง ระหว่างนั้นอีริสได้รู้ความจริงหลายอย่าง เช่น หลังจากเฮกซ่าจากไปก็ไม่มีปีศาจเข้ามาในที่แห่งนี้อีกเลย และสัตว์ป่าที่ร้องคำรามอยู่โดยรอบก็ไม่มีทางเข้ามาในนี้ได้เด็ดขาด
อีริสชะโงกหน้าออกจากปากถ้ำแล้วสังเกตร่องรอยผู้คนโดยรอบ เวลานี้เพิ่งผ่านไปไม่นานหลังจากพระอาทิตย์ขึ้น และพวกสัตว์อันตรายก็ดูเหมือนจะกลับรังของพวกมันไปหมดแล้ว แน่นอนว่าอาจจะยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการออกไปหาเสบียงอาหารด้านนอก
‘คอแห้งด้วย…’
โชคดีที่ไม่ไกลจากตรงนี้มีลำธารขนาดเล็กๆ อยู่ เดี๋ยวไปดื่มน้ำที่นั่น แล้วค่อยไปเด็ดผลไม้ป่าที่พบเมื่อวานกลับมาแล้วกัน
“ซ่า…!”
อีริสใช้น้ำในลำธารล้างหน้า จากนั้นนำเศษผ้าที่ฉีกมาจากกระโปรงจุ่มน้ำขึ้นมาเช็ดตัว น้ำเย็นสดชื่นทำให้อารมณ์ขุ่นมัวหายไปในพริบตา
“ไหนดูสิ…”
อีริสเก็บผลไม้ที่เล็งไว้วันก่อนรอบๆ ลำธารใส่ในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง พอยัดจนเต็มกระเป๋าฝั่งหนึ่ง อีริสก็ย้ายมายัดผลไม้ในกระเป๋าอีกข้างจนเต็มเช่นกัน พวกมันเป็นผลไม้ที่มีขนาดใหญ่และสุกกว่าที่เก็บใส่กระเป๋าฝั่งแรก
‘ถึงจะดูไม่ค่อยเหมือนของกินก็เถอะ…’
ทุกวัน อีริสจะหาของกินสำหรับตัวเองพร้อมกับหาให้แอสรันไปด้วย จากนั้นก็จะนำพวกมันไปวางไว้ด้านข้างเขาที่กำลังนอนหลับ แม้จะรู้ว่าคนที่แข็งแกร่งจนถึงกับสามารถใช้เวทมนตร์เสกอาหารขึ้นมาได้ง่ายๆ และขับไล่เฮกซ่าออกไปได้จะไม่กินของพวกนี้ แต่นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่นางทำได้
‘ตอนแรกก็กลัวอยู่หรอกนะ…’
ทุกวันนี้เมื่ออีริสลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้า สิ่งแรกที่นางทำคือการตรวจสอบว่าแอสรันยังอยู่ด้านข้างหรือไม่ นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างหลังจากสูญเสียพ่อแม่ไปเมื่อนานมาแล้วและต้องอยู่คนเดียว มันทำให้นางอารมณ์ดีอย่างน่าประหลาด แม้ในความจริงแอสรันจะคิดว่านางเป็นสิ่งของน่ารำคาญก็ตาม
‘เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น คงไม่ต้องกลัวอะไรเลย’
ทันทีที่คิดถึงพลังของแอสรันที่ได้เห็นในวันที่หมู่บ้านถูกถล่ม อีริสพลันรู้สึกอิจฉาขึ้นมา จะดีแค่ไหนกันถ้านางได้ครอบครองพลังเช่นนั้นด้วย
ตอนที่อีริสกำลังคิดแบบนั้นอยู่นั่นเอง
“…?”
เสียงผิดปกติที่ดังขึ้นมา ทำให้อีริสกลั้นหายใจ
‘หูแว่วหรือ?’
หลังจากมาที่นี่ เสียงที่นางได้ยินมีแค่เสียงนกและเสียงร้องของแมลง มีบางคราที่เป็นเสียงร้องของสัตว์บ้าง ทว่าเมื่อครู่เหมือนจะเป็นเสียงอย่างอื่น อีริสซ่อนตัว แล้วเงี่ยหูฟังอีกครั้ง
“…ทำ!”
“…!”
ไม่ได้หูแว่วไปเอง เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเสียงคน เมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เสียงที่ได้ยินก็ยิ่งดังขึ้น
‘ใครกัน’
ใครกันที่เข้ามาในหุบเขาลึกที่ไม่มีกระทั่งทางเดิน นี่เป็นป่าที่ต่อให้เป็นคนที่ขุดสมุนไพรไปขายแบบนางก็ยังเข้ามาได้ยาก แถมยังไม่ใช่สถานที่ที่จะเข้ามาเที่ยวเล่นได้ ถึงอย่างไรแถวนี้ก็ไม่มีคนที่มีเวลาว่างถึงเพียงนั้น
แม้จะได้ยินเสียงคน แต่อีริสก็ไม่รู้ว่าควรต้องทำตัวอย่างไร พวกเขาอาจเป็นคนอันตราย ทว่าหากต้องการหนีออกจากที่นี่และไปสถานที่ที่มีผู้คนอยู่อาศัย บางทีตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสก็ได้
ในระหว่างที่อีริสกำลังสองจิตสองใจ เสียงพูดคุยก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีริสพบว่ากลุ่มคนที่เข้ามาใกล้เป็นอัศวินได้ทันที เพราะนางได้ยินเสียงเสื้อเกราะกระทบและเสียงฝีเท้าอันมั่นคง เสียงพูดคุยของพวกเขาที่เข้ามาใกล้ดังเข้ามาในหูของนาง
“ร่างกายผู้บัญชาการราธบันเป็นอย่างไรบ้าง?”
‘ผู้บัญชาการราธบัน?’
ได้ยินดังนั้น อีริสก็หูผึ่งขึ้นมา บุคคลผู้สูงศักดิ์ที่สุดในหมู่อัศวินมาถึงที่นี่เลยหรือ อีกทั้งฟังจากที่พวกเขาถามถึงสภาพร่างกายแล้ว แสดงว่าคงได้รับบาดเจ็บที่ไหนสักแห่ง
อีริสหายใจอย่างแผ่วเบาที่สุดขณะนอนราบกับพื้น แล้วพิจารณามองกลุ่มคนที่เห็นผ่านร่องใบไม้ หลังจากนั้นไม่นานพงไม้ก็เกิดการเคลื่อนไหว เวลาเดียวกับที่อัศวินจำนวนหนึ่งปรากฏกายออกมา
“…!”
แม้จะอยู่ในสภาพที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและดินโคลน แต่นางก็รับรู้ได้ในทันที
‘หน่วยอัศวินแห่งวิหาร!’
ชั่วขณะที่ตระหนักได้ อีริสก็กลั้นหายใจแล้วกลอกตาขณะแนบตัวติดกับพื้น
สมัยที่พ่อกับแม่ยังมีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว คำพูดที่เคยได้ยินหลายต่อหลายครั้งในหนึ่งวันพลันแวบผ่านเข้ามาในหัวของอีริส
“ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ห้ามเข้าไปพัวพันกับคนของวิหาร เพียงแค่ชั่วครู่ก็ไม่ได้ เจ้าต้องหลีกเลี่ยงพวกเขาให้ได้มากที่สุด”
แม้จะยังเยาว์วัย แต่นางก็สามารถรับรู้ได้ว่าใบหน้าของพ่อกับแม่ที่พูดเช่นนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเศร้าใจ และเพราะพ่อกับแม่เป็นเช่นนั้น แม้จะเจอเหล่านักบวช อีริสจึงต้องก้มศีรษะและเดินผ่านไปแทนที่จะขอให้พวกเขาประสาทพร
‘ท่านพ่อ ท่านแม่เป็นพวกนอกรีตอย่างนั้นหรือ?’
ทว่าความเป็นจริง พ่อกับแม่กลับสวดภาวนาให้พระเจ้าอย่างตั้งใจทุกเช้าและก่อนนอน
“ได้โปรดช่วยคุ้มครองลูกๆ ของพวกเราด้วย”
ขณะที่ได้ยินคำอ้อนวอนของพ่อกับแม่บนเตียงนอน อีริสพลันเกิดความคิดว่าแปลกจริง ระหว่างพวกท่านทั้งสอง มีนางเพียงคนเดียวที่เป็นลูก แต่พวกเขากลับใช้คำว่าลูกๆ ของพวกเรา? วันหนึ่งเมื่อนางถามออกไป สีหน้าของพ่อกับแม่ก็แข็งกระด้างทันที และอีริสก็ไม่เคยถามรายละเอียดอีกเลยเมื่อเห็นทั้งสองร้องไห้
พ่อกับแม่พาอีริสเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในแผ่นดิน ต้องไปจนถึงที่ที่ไม่มีทั้งวิหารและนักบวช ทั้งสองถึงจะยอมวางกระเป๋าและหยุดชีวิตเร่ร่อนลงได้
แม้นางจะคาดหวังว่าเมื่อโตขึ้นอีกหน่อยอาจจะได้รู้ความจริงที่พ่อกับแม่ปิดบังเอาไว้ แต่ผ่านไปไม่นาน แม่ก็ล้มป่วย ส่วนพ่อกลับถูกปีศาจทำร้ายจนจากโลกใบนี้ไป อีริสนึกถึงคำพูดที่แม่กล่าวหลังจากจับมือนางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
“พี่สาวของเจ้า…วิหารหลวง…”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่ทิ้งเอาไว้ ตอนนั้นเอง อีริสถึงได้รู้ความจริงว่าตนมีพี่สาวเป็นครั้งแรก
‘พี่จะยังอยู่ที่วิหารหลวงไหมนะ?’
แม้จะกล่าวว่าคนที่กลายเป็นนักบวชจะต้องตัดสัมพันธ์กับทางโลก แต่ก็ใช่ว่าต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักคนในครอบครัวเลย มีบางคนที่โอ้อวดว่าญาติของตนเป็นนักบวชของวิหารหลวง และหากไปพบก็จะได้รับพรอยู่บ้าง แต่พ่อกับแม่กลับหลีกเลี่ยงวิหารหลวงสุดชีวิต
‘เพราะอะไรกัน’
ตอนนี้ทั้งสองท่านก็ลาลับโลกนี้ไปแล้ว อีริสจึงไม่อาจรู้เหตุผลได้เลย
ระหว่างที่อีริสกำลังย้อนนึกถึงความหลัง เหล่าอัศวินก็กำลังเข้ามาใกล้นาง พวกเขาเห็นลำธารที่มีน้ำสะอาดไหลผ่าน ก่อนจะร้องตะโกน
“ดูเหมือนวันนี้จะต้องพักที่นี่แล้ว”
“แต่หัวหน้า…”
“ตอนนี้มีแค่พลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราที่ช่วยกดพิษและบาดแผลเอาไว้ได้ ดังนั้นพวกเราก็ควรพักแล้วก็ฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์เสียหน่อย เราข้ามภูเขากันมาทั้งคืน ข้าวก็ไม่ได้กินมาสองวันแล้ว วันนี้ก็หยุดพักที่นี่เพื่อฟื้นฟูกำลังกันหน่อยเถิด ก่อนอื่นหาที่พักก่อน แล้วค่อยออกไปล่าสัตว์กัน”
ได้ยินดังนั้น เสียงตอบรับว่าเห็นด้วยก็ดังขึ้นทั่ว
‘ทำอย่างไรดี’
อีริสตั้งใจจะหนีเมื่อพวกเขาห่างไป แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงไม่อาจหนีไปได้แล้ว อีริสคิดถึงแอสรันที่ยังอยู่ในถ้ำ เขาคงไม่ตื่นขึ้นมาในระหว่างที่นางไม่อยู่หรอกนะ? แล้วจะออกมาตามหานางหรือไม่?
คิดถึงตรงนั้น อีริสก็หลับตาลง ลองคิดคำนวนดูแล้ว การที่เขาออกมาตามหาก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี นี่เป็นโอกาสที่นางจะได้หนีจากปีศาจกลับไปหามนุษย์ แต่ปัญหาคือทำไมอีกฝ่ายจะต้องเป็นอัศวินแห่งวิหารด้วย
‘ทำอย่างไรดี…’
ระหว่างที่อีริสยังคงกังวลว่าจะทำอย่างไรดี เหล่าอัศวินก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สายตาของอีริสไล่ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาไป หลังจากนั้นไม่นาน อัศวินคนหนึ่งก็นำชายที่แบกไว้บนหลังวางลงบนจุดที่มีหญ้าหนานุ่มแถวนั้น
“…!”
เป็นชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง ผิวสีไหม้เกรียมจากแดด เส้นผมสีดำขลับ แขนและกล้ามเนื้อแน่นที่มองเห็นผ่านเสื้อผ้าที่ฉีกขาดทำให้แยกแยะได้ทันทีว่าเขาก็เป็นอัศวินเช่นกัน อีริสเบิกตากว้างหลังจากมองสำรวจเขา
‘มือ…’
มือข้างหนึ่งพันผ้าพันแผลเอาไว้ แต่กลับชุ่มไปด้วยเลือด ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงข้อศอกที่มองเห็นได้เหนือผ้าพันแผลเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทราวกับแขนกำลังเน่า
‘เป็นพิษ’
ในเขตภูมิภาคนี้ นั่นเป็นสภาพที่พบเจอได้บ่อยครั้งจากผู้คนที่ถูกปีศาจโจมตี
‘เขาอดทนจนเป็นถึงขนาดนั้นได้อย่างไร?’
คนส่วนใหญ่ หากขอบเขตที่ถูกพิษลามเกินฝ่ามือก็เสียชีวิตแล้ว กระทั่งชายหนุ่มที่ตัวใหญ่และแข็งแรงที่สุดในหมู่บ้านก็ยังสิ้นใจหลังจากอดทนได้ไม่กี่ชั่วโมง ทว่าชายที่กำลังนอนอยู่กลับยังมีลมหายใจทั้งที่แขนข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแล้ว
“วางหัวหน้าไว้ระวังๆ ก่อน แล้วมาช่วยทางนี้หน่อย!”
บทสนทนาของเหล่าอัศวินทำให้อีริสรู้ว่าชายที่นอนอยู่ก็คือผู้บัญชาการราธบันที่พวกเขากล่าวถึง ไม่นานหลังจากนั้น เหล่าอัศวินก็พากันเดินไปตรงจุดซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากลำธาร และเริ่มเตรียมที่ทางสำหรับพักผ่อนโดยจัดการหญ้ารอบๆ ตัวและตัดกิ่งไม้ออก
‘ตอนนี้แหละคือโอกาส’
ตรงจุดที่เหล่าอัศวินอยู่มองไม่เห็นนาง แล้วอย่างไรคนที่นอนอยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้สติ ดังนั้นเขาก็ไม่มีทางเห็นนางเช่นกัน
คิดได้ดังนั้น อีริสก็กำลังจะลุกขึ้น ตอนนั้นเอง
“แค่ก!”
จู่ๆ ชายหนุ่มที่ราวกับตายไปแล้วก็ไอขึ้นมา เลือดสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากปากของเขา อีริสรู้ได้ทันทีที่เห็นภาพนั้น ชีวิตของชายผู้นี้เหลืออีกไม่นานแล้ว
‘ข้าควรจะไปได้แล้ว’
แต่ทั้งที่คิดได้เช่นนั้น ร่างกายของอีริสกลับไม่ยอมขยับ หากอัศวินคนอื่นได้ยินเสียงเขาไอแล้วกลับมาก็คงจะดี แต่ดูเหมือนเหล่าอัศวินจะไม่ได้ยินเสียงไอของชายหนุ่มเพราะเสียงร้องของฝูงนกและเสียงที่พวกเขากำลังตระเตรียมบริเวณโดยรอบ แต่กระนั้นก็ไม่ใช่กงการของนางที่จะวิ่งไปบอกว่าสหายร่วมรบของพวกเขากำลังจะตายได้
ในตอนที่อีริสกำลังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ปากของชายผู้นั้นพลันมีเสียงดังขึ้น
“…ลีน่า”
“…!”
ลีน่า?
อีริสย้อนนึกถึงชื่อที่แอสรันกล่าวขณะที่เสกอาหารให้นาง เห็นได้ชัดว่าเขาก็พูดชื่อลีน่าเช่นกัน
แน่นอนว่าชื่อลีน่าเป็นชื่อที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หมู่บ้านเล็กๆ ที่อีริสอาศัยอยู่ก็มีคนใช้ชื่อนี้อยู่ถึงสองคน แต่ไม่รู้ทำไมอีริสถึงรู้สึกว่าลีน่าที่ว่านั้นเป็นคนคนเดียวกัน
อีริสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วคลานไปหาชายหนุ่มอย่างระมัดระวัง โชคดีที่อัศวินที่อยู่ไกลๆ ยังไม่สังเกตเห็นนาง
‘ลองดูสักครั้งแล้วกัน’
หลังจากวันที่เกิดเหตุการณ์นั้นในหมู่บ้าน อีริสก็ไม่เคยลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์อีกเลย แม้จะเป็นเพราะแอสรันชมขู่ด้วยก็จริง แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำพูดของพ่อกับแม่มักจะผุดขึ้นมาในทุกครั้งที่พยายามใช้เสมอ
อย่างไรก็ดูเหมือนว่าพลังนี้จะไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถใช้ได้ตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้น อีริสยังรู้สึกขัดแย้งในทุกครั้งที่ใช้มัน ราวกับสวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของตนเอง ดังนั้นนางจึงตัดสินใจจะไม่ใช้มันอีก
‘ถ้าพลังไม่ปรากฏขึ้นมา ข้าก็ค่อยหนีไปเลยแล้วกัน’
อีริสคิดเช่นนั้นพลางวางมือของตนลงบนปลายนิ้วของชายหนุ่ม นางรู้ว่าสถานการณ์ของตนเองตอนนี้ไม่ได้เป็นอิสระพอที่จะไปช่วยเหลือใครได้ แต่ต่างจากลูกชายของเจ้าของหมู่บ้าน นางรู้สึกอยากช่วยคนผู้นี้อย่างประหลาด
‘ขอร้องล่ะ…’
อีริสรวบรวมสมาธิพร้อมกับหวังว่าชายหนุ่มจะมีชีวิตรอด
“…!”
ชั่วขณะนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามพลันมารวมกันที่ปลายนิ้วของอีริสอย่างรวดเร็ว พลังศักดิ์สิทธิ์ที่มารวมกันเข้าโอบล้อมร่างกายของราธบันทันทีโดยไม่ทันมีโอกาสให้อีริสได้ตกใจ
แขนสีดำสนิทกลับคืนสู่สีเดิมอย่างรวดเร็ว เลือดที่ไหลพรากก็หยุดลงโดยไม่รู้ตัว ตอนนั้นเอง คงเพราะสังเกตเห็นเหตุการณ์ เหล่าอัศวินจึงส่งเสียงดังขึ้นมา
“เจ้าทำอะไร!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น อีริสก็รีบยกมือออกแล้วลุกพรวดขึ้นทันที จากนั้นก็วิ่งกลับไปถ้ำที่แอสรันอยู่อย่างลนลาน แต่ไม่ว่าจะวิ่งอย่างไรนางก็ไม่มีทางวิ่งบนภูเขาได้เร็วไปกว่าอัศวินได้ ไม่นานอัศวินคนหนึ่งก็คว้าหลังของอีริสที่กำลังจะปีนขึ้นไปบนหินไว้ได้
“ช่วยด้วย!”
เสียงร้องของอีริสดังก้องไปทั่วหุบเขา แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดกลับมา
“หญิงผู้นั้นทำอะไร?”
“นี่เจ้าทำอะไรกับหัวหน้า…!”
อัศวินที่ตามมาจ้องอีริสที่ห้อยโตงเตงอยู่ในมือของสหายด้วยสายตาดุร้ายราวกับอยากจะฆ่านางบัดเดี๋ยวนั้น คนที่ใจร้อนถึงกับดึงดาบออกมาถือไว้แล้ว
“ชะ ช่วย…”
ในตอนที่ความโหดเหี้ยมอันรุนแรงพุ่งหานางจนทำให้ไม่อาจเปล่งกระทั่งคำพูดขอความช่วยเหลือออกมาได้ อัศวินที่เข้าไปอยู่ข้างราธบันก็ตะโกนขึ้น
“เดี๋ยวก่อน! พิษของหัวหน้าหายไปแล้ว!”
“อะไรนะ”
เหล่าอัศวินเบิกตากว้างเมื่อได้ยินว่าราธบันอาการดีขึ้นทั้งที่เขาคิดว่าคนผู้นี้จะมาทำร้ายราธบัน มันเป็นพิษร้ายแรงที่กระทั่งถ่ายเทพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของพวกเขาก็ยังทำได้เพียงกดไว้ชั่วคราวเท่านั้น แต่นี่กลับหายไปเสียแล้ว คนที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ในระดับนี้มีเพียงผู้เดียว อัศวินที่จับอีริสไว้พึมพำ
“หรือว่า…ท่านนักบุญหญิงคนใหม่?”