บทที่ 86 กระจกตา

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 86 กระจกตา
เฟิ่งชิงเฉินหยุดฝีเท้าลงแล้วกำลังจะหันมากลับไป ลู่เส้าหลินจึงได้เอ่ยขึ้นอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมที่ข้างหูของนางว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเจ้างดงามยิ่งนัก ราวกับมันสามารถพูดได้ อย่าให้ข้ามีโอกาสควักลูกตาเจ้ามาทำสุราล่ะ”
ลู่เส้าหลินไม่ใช่คนใจดีมีเมตตาอะไร เนื่องจากผู้ที่มีจิตใจดีคงไม่อาจนั่งในตำแหน่งเขาได้
“ใต้เท้าลู่ โปรดวางใจเถิด ท่านไม่มีโอกาสนั้นแน่” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะขึ้นเบาๆก่อนจะก้าวขาเดินออกไปข้างนอก
เจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังเห็นดังนั้นล้วนตกตะลึง
คุณหนูเฟิ่งซึ่งมีความสามารถยิ่งนัก
เนื่องด้วยว่าคนเบื้องบนกำชับมาแล้วว่านางเป็นคนที่ต้องให้ “การต้อนรับเป็นอย่างดี” แต่นางกลับมีความสามารถทำให้ใต้เท้าลู่ปล่อยนางไปได้
เก่งกาจ เก่งกาจยิ่งนัก
เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนมีความสามารถเช่นกัน เมื่อพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ใดเล่ากล้าคิดจะจัดการกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่ละคนล้วนพยายามแย่งกันเอาอกเอาใจเฟิ่งชิงเฉิน
ทั้งยาทาแผล น้ำร้อน ผ้าไหม ผ้าห่ม ไม่ว่าต้องการอะไรล้วนมีทุกอย่าง เมื่อนึกถึงว่าด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉินมีบาดแผล พวกเขายังได้เชิญหมอหญิงมาใส่ยาให้แก่เฟิ่งชิงเฉินด้วย
เช่นนี้เรียกว่าเฟิ่งชิงเฉินติดคุกอยู่หรือ นี่นางกำลังอยู่ในคุกองครักษ์เสื้อโลหิตที่เรียกว่าไม่ตายก็สาหัสหรือ นางกำลังพักผ่อนอยู่ต่างหาก
ช่างน่าเห็นใจอวี่เหวินหยวนฮั่ว โจวสิง หวังชี ซูฉีและคนอื่นเหลือเกิน ที่เป็นห่วงกังวลนางจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
……
หลังจากกินอิ่มนอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้ว เช้าวันที่สองเมื่อเฟิ่งชิงเฉินตื่นขึ้นมานางก็กระปรี้กระเปร่า บาดแผลบนร่างกายเนื่องจากถูกรักษาได้ทันเวลาจึงดีขึ้นไม่น้อย
ในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้าไปได้ครึ่งหนึ่ง ลู่เส้าหลินก็เดินตรงเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้ามองดูลู่เส้าหลินด้วยใบหน้าที่สดใส จึงรู้ว่าว่ายาเม็ดสีฟ้าเล็กๆ นั้น ออกฤทธิ์ได้เป็นอย่างดี
เฟิ่งชิงเฉินดีใจยิ่งนัก แต่ใบหน้าของนางมิได้เผยออกมาถึงความดีใจหรืออย่างไร เพียงยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าลู่ รับประทานมื้อเช้าหรือยัง ร่วมรับประทานด้วยกันดีหรือไม่ อาหารเช้าขององครักษ์เสื้อโลหิตไม่เลวเลย”
มันอร่อยและดีกว่าตอนที่นางกินในจวนเฟิ่งเสียอีก เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินช่างยากจนยิ่งนัก
“อืม ข้ายังไม่ได้กินจนอิ่ม จะได้นั่งกินเป็นเพื่อนคุณหนูเฟิ่ง” เมื่อกล่าวจบเขาก็นั่งลงไปโดยไม่รู้สึกรังเกียจ
บรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังจ้องมองเสียจนลูกตาแทบกระเด็นออกมา
นายท่าน! ดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไร?
ใต้เท้าลู่ของพวกเขา ผู้ที่ได้รับสมญานามว่ามัจจุราชลู่ ในวันนี้ไม่เพียงแต่เดินทางมายังองครักษ์เสื้อโลหิตด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม แต่กลับนั่งรับประทานมื้อเช้ากับนักโทษในคุก เรื่องนี้หากเผยแพร่ออกไปคาดว่าคงไม่มีใครเชื่อ
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คุณหนูเฟิ่งมีเสน่ห์อะไรตรงไหนกัน จึงทำให้ใต้เท้าลู่อนุโลมให้นางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ประหลาด น่าประหลาดใจยิ่งนัก!
เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย มองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยดวงตาอันลุกร้อน
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาเบาๆ “ทหารของใต้เท้าลู่ช่างเป็นคนตรงไปตรงมาเหลือเกิน ถูกพวกเขาจับตามองอยู่เช่นนี้ ชิงเฉินไม่กล้าแม้แต่จะรับประทานอาหารเลย”
ลู่เส้าหลินกำลังคิดหาโอกาสจะสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินเพียงลำพังอยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ได้รีบฉวยโอกาสใช้อำนาจไล่ทุกคนให้ออกไป
“คุณหนูชิงเฉินช่างเป็นผู้ประหลาดนัก แม่ทัพเฟิ่งมีบุตรสาวซึ่งมีความสามารถเยี่ยงนาง ต่อให้ตายก็ตายตาหลับแล้ว จะว่าไปข้าและแม่ทัพเฟิ่งก็นับว่าอยู่ในรุ่นเดียวกัน เพียงแต่ตอนนั้นแม่ทัพเฟิ่งเป็นทหารระดับสามแล้ว แต่ข้ายังคงเป็นทหารผู้ต่ำต้อย” ลู่เส้าหลินยิ้มขึ้นเบาๆ แล้วสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินเพื่อกระชับความสัมพันธ์
ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อโลหิตต้องการจะสร้างความสัมพันธ์กับเจ้า เจ้าจะปฏิเสธหรือ?
แน่นอนว่าคงไม่
ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งมีใจหนักแน่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ ส่วนอีกคนหนึ่งให้ความร่วมมือยิ่งนัก เพียงแค่สองสามประโยค เฟิ่งชิงเฉินก็เปลี่ยนคำเรียกจากลู่เส้าหลินเป็นท่านลุงลู่ ส่วนลู่เส้าหลินเองก็ได้เรียกนางเพียงแค่หลานชิงเฉิน
หากผู้ใดที่ไม่รู้เรื่องคงคิดว่าทั้งสองคนเป็นลุงหลานกันจริงๆ
แท้จริงแล้วทั้งสองคนนี้เป็นจิ้งจอกเฒ่าและจิ้งจอกสาว หลังจากรับประทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ลู่เส้าหลินก็ได้รับยาเม็ดเล็กๆ สามเม็ดมาจากมือของเฟิ่งชิงเฉิน ส่วนเฟิ่งชิงเฉินก็ได้รับอำนาจในการเดินไปไหนมาไหนตามอำเภอใจในคุกขององครักษ์เสื้อโลหิต
แน่นอนว่ายังมีการแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างใหญ่โตอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเฟิ่งชิงเฉินจะต้องให้ยาแก่ลู่เส้าหลินอย่างไม่มีจำกัด โดยเงื่อนไขคือเฟิ่งชิงเฉินจะต้องออกไปได้อย่างไม่บาดเจ็บแต่อย่างใด
เรื่องนี้ลู่เส้าหลินเองก็ไม่กล้าตอบรับอย่างหนักแน่น แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เผยข้อมูลอันสำคัญยิ่งแก่เขานั่นก็คือ…
ผู้ที่ออกคำสั่งให้องครักษ์เสื้อโลหิตไปจับตัวนางมานั้นก็คือฮองเฮา ขณะเดียวกันฮองเฮายังได้ส่งพยานมาด้วยคนหนึ่ง ได้ยินมาว่าเป็นคนที่ซุ่มยิงธนูเย็นนั่น
เป็นเขาที่ให้คำยืนกรานว่าเฟิ่งชิงเฉินซื้อตัวคนร้าย อีกทั้งยังกล่าวอีกว่าเดิมทีเฟิ่งชิงเฉินต้องการจะฆ่าองค์หญิงอันผิง
การจะลอบปลงพระชนม์องค์หญิงอันผิงนั้นไม่ใช่ความผิดธรรมดา โทษฐานนี้เพียงพอที่จะทำให้องครักษ์เสื้อโลหิตเชิญเฟิ่งชิงเฉินมาดื่มน้ำชาที่นี่ได้
ไม่ว่าจะเป็นพยานหรือหลักฐานล้วนครบครัน ประกอบกับคำให้การของฮองเฮา คดีนี้ไม่ต้องแม้จะสืบสวนเสียด้วยซ้ำ คาดว่าชีวิตนี้เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้คิดจะออกไปจากคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตเลย
แม้จะไม่อาจปล่อยตัวเฟิ่งชิงเฉินให้ออกไปได้ แต่ลู่เส้าหลินก็ให้คำสัญญาว่าเพียงแค่เขายังมีชีวิตอยู่ เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถกระทำการใดๆ ได้ตามต้องการในคุกขององครักษ์เสื้อโลหิต
แม้จะผิดหวังยิ่งนัก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเอ่ยขอบคุณลู่เส้าหลิน นางรู้ดีว่าลู่เส้าหลินพยายามอย่างเต็มที่แล้ว เพียงแต่ว่า…
ไม่ว่าจะเป็นพยานหรือหลักฐานล้วนครบครัน ประกอบกับคำให้การของฮองเฮา คดีนี้ไม่ต้องแม้จะสืบสวนเสียด้วยซ้ำ คาดว่าชีวิตนี้เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้คิดจะออกไปจากคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตเลย
ผู้ที่นางทำให้ขุ่นเคืองใจนั้นสูงส่งเหลือเกิน
ฮองเฮา!
นี่คือขุนเขาที่มั่นคงและใหญ่โตยิ่ง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าแตะต้อง อีกอย่างในครั้งนี้ที่ฮองเฮาเอาผิดนางล้วนเป็นไปตามกฎ และมีกฎหมายชี้แจงชัดเจน
เฮ้อ……เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างยืดยาว หรือชีวิตนี้ของนางจะต้องอยู่ในคุกขององครักษ์เสื้อโลหิตนี้ตลอดไป คอยส่งยาให้แก่ลู่เส้าหลิน
แต่ว่ายาของนางต้องมีสักวันที่ใช้หมด เมื่อถึงเวลานั้นจุดจบของนางจะแย่กว่าเดิมหรือไม่?
เอาเถอะ เอาเถอะ ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว ตอนนี้ต่อให้คิดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก
ด้วยเหตุนี้เอง การเป็นอยู่ในคุกองครักษ์เสื้อโลหิตของเฟิ่งชิงเฉินจึงค่อนข้างจะพิเศษ นางอาศัยอยู่ในห้องหมายเลขเก้าซึ่งตกแต่งเช่นเดียวกับในพระราชวัง ของใช้ทุกอย่างล้วนเป็นของใช้ที่ดี
ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือเครื่องนุ่งห่มล้วนมีมาตรฐานเช่นเดียวกับองค์หญิง นางสามารถไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจในคุกองครักษ์เสื้อโลหิต สามารถเดินเข้าออกห้องขังทุกห้องและห้องลงทัณฑ์ทุกห้องได้
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนเฉลียวฉลาด แม้นางจะไม่พอใจในวิธีการจัดการอย่างไร้มนุษยธรรมขององครักษ์เสื้อโลหิต แต่นางก็รู้ดีว่าตัวนางไม่อาจมีกำลังเพียงพอจะไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใดๆ
ตัวนางในตอนนี้ดูเหมือนกับกำลังเดินอยู่บนเหล็กเส้น มองไปแล้วอาจจะคิดว่าปลอดภัยแต่เมื่อมีลมพัดโชยมานางก็อาจจะตกลงไปได้ทุกวินาที
ตัวเองยังเอาชีวิตรอดยาก แล้วจะไปช่วยคนอื่นหรือ เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถทำตัวเป็นแม่พระได้ดังนั้น
ทำนองเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นไม่สามารถมองข้ามไปได้ ด้วยเหตุนี้เองนางจึงไม่เคยเดินทางไปห้องลงโทษ และไม่เคยเดินทางไปมองนักโทษที่เพิ่งถูกลงทัณฑ์มา
การที่ทำเช่นนี้ แม้จะเป็นการโกหกตนเองแต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะนางก็ไม่มีความสามารถที่จะไปช่วยคนเหล่านั้น เมื่อนางได้เห็นพวกเขาแล้วก็คงจะได้แต่โทษตัวเองและไม่สงบสุขทางใจเท่านั้น
หลายวันมานี้ นางเดินเข้าออกในห้องขังมากมาย จึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้เรื่องราวในองครักษ์เสื้อโลหิตไม่น้อย และรู้ว่าราชวงศ์ตงหลิงมีการแก่งแย่งกัน
ในคุกขององครักษ์เสื้อโลหิต นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วผู้ที่ถูกขังอยู่โดยมากล้วนเป็นขุนนาง ผู้สำคัญของราชวงศ์ พวกเขาส่วนมากถูกจับเข้าคุกหลังจากที่ทำการทุจริตหรือแก่งแย่งอำนาจทางการเมืองล้มเหลว กระทั่งบางคนอาจถูกใส่ร้าย
แน่นอนว่าต่อให้ถูกคนใส่ร้าย ก็คงจะไม่ได้สะอาดสะอ้านสักเท่าไร
สำหรับขุนนางในราชวังเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินบอกไม่ได้ว่าเกลียดพวกเขา แต่สำหรับพวกขุนนางที่ทุจริตนางเกลียดเข้าไส้
พวกที่ทุจริตนั้นไม่ต่างจากการขูดเนื้อประชาชนแล้วดื่มเลือดของประชาชน การที่พวกเขาต้องพบกับจุดจบเช่นนี้นับว่ารนหาที่เอง
เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าในฐานะหมอคนหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับชีวิตหนึ่งนางควรจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกันและเคารพในศักดิ์ศรีของทุกชีวิต
แต่หลังจากที่รู้ว่าพวกที่ถูกลงโทษอย่างหนักเหล่านั้น โดยมากแล้วเป็นพวกที่ทุจริตคดโกง เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียว ความรู้สึกโทษตนเองที่ไร้หัวจิตหัวใจ หรือความเจ็บปวดก่อนที่จะนอนหลับตาลงในแต่ละวันก็ได้เบาบางลงไม่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ถึงก็คือ ท่ามกลางคุกอันสกปรกขององครักษ์เสื้อโลหิต นางกลับค้นพบชายหนุ่มคนหนึ่งที่บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องเลย
ชายหนุ่มผู้นั้นถูกองครักษ์เสื้อโลหิตลงทัณฑ์สิบแปดชนิด แต่กลับมีชีวิตรอดออกมาได้ ทว่าทางร่างกายไม่มีสิ่งใดดีเลย มีเพียงแค่ดวงตาคู่นั้นที่เป็นประกายดุจสายน้ำ มันช่างสะอาดสะอ้านไม่มีสิ่งใดเจือปน
เมื่อมองเห็นชายหนุ่มผู้นี้แล้ว ในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินจึงได้เข้าใจในสิ่งที่ลู่เส้าหลินกล่าวว่า การตกนรกทั้งเป็นคือสิ่งใด
จะตายก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่ได้
ชายหนุ่มผู้นั้นพยายามใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายในการร้องขอนางว่า “ท่านพี่ ได้โปรดฆ่าข้าเสียเถิด ฆ่าข้าเถิด”