วังบรรทมของจิ่งเหิงปัว ความมืดมิดทั่วผืน
นางจากไปไม่นาน เรือนตำหนักมีคนปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ ทว่าไม่รู้ด้วยเพราะเหตุใด กลางอากาศจึงมีกลิ่นเจือจางของละอองธุลีชนิดหนึ่งตกตะกอนอยู่ ได้กลิ่นแล้วนึกถึงความเปลี่ยนแปลงและกาลเวลายาวนาน
เป็นไปได้ว่ายามที่เจ้านายไม่อยู่แล้ว ตำหนักจึงสูญเสียวิญญาณด้วยเช่นกัน
เขาเดินเข้ามาอย่างแผ่วเบา
หรืออาจไม่คล้ายเดิน คล้ายเดินละเมอเสียมากกว่า แขนเสื้อขาวราวหิมะคดเคี้ยววกวนบนหยาดหิมะทั่วผืน ทว่าไม่ได้เหยียบย่ำแม้แต่หยาดหิมะเล็กน้อยที่สุดให้แหลกสลาย
เดินเข้ามาประหนึ่งความฝัน ความเคลิบเคลิ้มประหนึ่งความฝัน
สายลมคมกริบเสียดแทงเข้ามา หน้าอกปวดร้าวเลือนราง เขาเหม่อลอยนึกเสมือนว่าบาดแผลตรงนั้นยังคงอยู่
เขาค่อยๆ ยกมือขึ้น ตรงนั้นซึ่งประชิดใกล้หน้าอก นางเคยประทับจุมพิตร้อนผะผ่าว พึมพำวาจาสัญญาว่าจะทำให้เขาอบอุ่น หลังจากนั้นไม่นาน ตำแหน่งเดียวกัน มีดเล่มหนึ่งกลับแทนที่จุมพิตนั้น กรีดผ่านเนื้อหนังโลหิตอย่างเย็นเยียบ
ผู้ใดลอบสลับหิมะโปรยปรายกลายเป็นลมวสันต์ นับแต่นั้นพลันเหน็บหนาวกาลยาวนาน
เขางอนิ้วมือขึ้น ข้อนิ้วค้ำยันบาดแผลไว้ คล้ายบดขยี้หนักหน่วงปานนี้ถึงพบเจอหลักฐานการดำรงอยู่ของกายเนื้อได้
เส้นทางใต้ฝ่าเท้าคุ้นเคยเพียงนี้ คุ้นเคยเสียจนทำให้เขาไม่เดินผิดทางแม้หลับตาก้าว เดินไปข้างหน้าอีกสามจั้งจะเป็นขั้นบันไดตำหนักบรรทมของนาง
แต่ก่อนขั้นบันไดนี้เกลี้ยงเกลายิ่งนัก ตั้งแต่นางลื่นล้มข้างบนนั้นครั้งหนึ่ง เขาจึงออกคำสั่งให้ปูหินหยาบ[1]บนขั้นบันได เช่นนี้ยามหิมะตกก็ย่อมไม่ต้องกลัวลื่นล้มแล้ว
หิมะตกแล้ว ทว่าคนไม่ได้เหยียบย่ำบนขั้นบันไดนั้นอีกแล้ว
ขั้นบันไดสามก้าว หยาดหิมะเกลือกกลิ้งร่วงหล่นดังซ่า แต่ละขั้น แต่ละขั้น เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
ถัดไปข้างหน้า ไม่มีธรณีประตู
นางไม่ชื่นชอบธรณีประตูยกสูง ไม่เคยชินกับมันเลยสักครั้ง ยามแรกเริ่มหกล้มหัวทิ่มหน้าธรณีประตูยกสูงนับครั้งไม่ถ้วน ภายหลังจึงเลื่อยธรณีประตูในตำหนักแห่งนี้กับของเขาออกจนหมดสิ้น ตำหนักของนางนี้ยังไม่เป็นไร แต่ตำหนักของเขานั้นพาให้เหล่าขุนนางประสบหายนะ พวกโชคดีหน่อยมักก้าวข้ามธรณีประตูยกสูงล่องหนนั้นเสมอ กระทำท่าทางยกขาสูงเดินเซ่อซ่า ส่วนพวกโชคร้ายล้มหัวทิ่มเสมือนนาง
เขาไม่ได้ยกขาขึ้น
เพียงเหินผ่านปานเมฆก้อนหนึ่ง
เข้าตำหนักเจ็ดก้าว เจอฉากกั้นห้อง
เดิมทีฉากกั้นห้องเป็นภาพหงส์คู่มุ่งสู่อาทิตย์ นางสั่งให้เปลี่ยนเป็นฉากกั้นห้องภาพปักเสมือนของเหมาจือหนานบุรุษรูปงามเลื่องชื่อในอดีต จากนั้นก็ถูกเขาเปลี่ยนเป็นฉากภาพปักเสมือนของเจ็ดเซียนบุปผาในตำนานโบราณของต้าฮวง นางเอ่ยอีกว่าสตรีเจ็ดนางนี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก มองเห็นทุกวันจะพาให้นางอัปลักษณ์ไปด้วย สุดท้ายทั้งสองคนร่วมปรึกษาหารือ เปลี่ยนเป็นโบตั๋นหมื่นสีสันในยามนี้
นางพอใจ เขาก็พอใจเช่นกัน นางชื่นชอบมงกุฎโบตั๋นเพริศแพร้วหอมกรุ่น เขารู้สึกว่ามีเพียงโบตั๋นถึงคู่ควรกับบุคลิกงดงามของนาง
เขาก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง ยืนอยู่หน้าเตียง
หน้าเตียงนอนไม่มีแท่นเหยียบ ตามหลักแล้วหน้าแท่นเหยียบควรมีนางกำนัลนอนอยู่ด้วย นางไม่เคยชินจึงเอาแท่นเหยียบออกไป เขารู้สึกว่าไม่เลวเช่นกัน เช่นนี้บางครั้งเขาทำงานทั้งคืนจนถึงรุ่งสาง ยามแอบเข้ามามองนางนอนหลับ เขาย่อมสามารถเข้าใกล้นางได้มากยิ่งขึ้น
แสงนภาโปรยปรายยามรุ่งสางเหล่านั้นแจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเขาเสมอ มองเห็นแสงรุ่งอรุณแผ่คลุมแก้มของนางประหนึ่งไหมโปร่ง หน้าตาอ่อนโยนและเงียบสงบแตกต่างจากความทะนงตนยามปกติ อารมณ์ของเขาอ่อนโยนเงียบสงบไปด้วยเสมอ มักเอื้อมมือแผ่วเบาหวังจะลูบปลายคิ้วของนางอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่าชักมือกลับอย่างรวดเร็วในพริบตาหนึ่งก่อนแตะต้อง ด้วยกลัวว่าจะรบกวนความฝันของนาง
บางครั้งเขาจะมองสีหน้ายามหลับฝันของนางแล้วทายว่านางกำลังฝันเรื่องใด เวลาส่วนใหญ่น่าจะเป็นความฝันหวานชื่น ด้วยเพราะมุมปากของนางกระหวัดขึ้นเล็กน้อย แต่งแต้มด้วยลักยิ้มน้อยน่าลุ่มหลง
บัดนี้นางยังคงนอนฝันได้หรือไม่? ยังมีความฝันหวานชื่นได้หรือไม่? อย่าได้ฝันเห็นภาพขาวโพลนแดงฉานทุกค่ำคืน ยามตื่นฟื้นมองเห็นท้องฟ้าประหนึ่งฝันร้ายเฉกเช่นเดียวกับเขา
เป็นไปได้ว่ายามนี้ความฝันของนางน่าจะขาวโพลนแดงฉานเช่นเดียวกันกระมัง ความฝันพิสุทธิ์แพรวพราวแต่เดิมถูกฝืนกำจัดไปแล้ว เหลือเพียงสีสันมวลผกาแห่งปรโลกฝั่งตรงข้าม
สิ่งนี้คือสิ่งที่เขากำจัดไปด้วยมือของตนเอง
เขาก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง นั่งลงตรงขอบเตียง เครื่องนอนอ่อนนุ่มและเย็นเยียบ ไม่ใช่ ไม่ใช่แก้มของนาง
ช่วงเวลายามที่รอคอยนางตื่นขึ้นมาท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแผ่วบางเหล่านั้นคือหนึ่งในความทรงจำที่งดงามที่สุดในชีวิตนี้ มองแสงรุ่งโรจน์ทอประกายทีละเล็กทีละน้อยบนแก้มนาง เขาจะรู้สึกว่าไม่ใช่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องนาง ทว่าเป็นวันหนึ่งที่ถูกความงดงามเพริศแพร้วของนางทอประกายให้สว่างไสว
เพียงหวังว่าภายภาคหน้า นางจะหวนคืนมาทอประกายดินแดนที่มืดมิดแห่งนี้
นิ้วมือค่อยๆ ลูบผ่านเครื่องนอน สอดมุมผ้าห่มเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาตินัก แต่ก่อนนางนอนดิ้น มักจะเตะผ้าห่มหลายครั้งหลายคราว คืนหนึ่งเขาต้องสอดผ้าห่มให้นางหลายครั้ง
สอดได้ครึ่งหนึ่งก็พลันหยุดยั้ง เครื่องนอนว่างเปล่าหนาวเย็น ไม่มีความอบอุ่นของเรือนร่างนั้นอีกแล้ว
บัดนี้ เป็นผู้ใดที่สอดมุมผ้าห่มให้นางยามราตรี อบอุ่นนิ้วมือที่วางอยู่กลางอากาศเย็นเยียบของนางได้เล่า?
เขาเงียบงันชั่วครู่ ยังคงสอดมุมทุกมุมของกองผ้าห่มจนเรียบร้อย
ข้างกายพลันมีเสียงดังครืนขึ้นมา คล้ายมีเสียงขยับกลางห้องลับ เขารู้ว่านั่นคือห้องที่นางเรียกว่าห้องแต่งตัว
เมื่อเลิกม่านห้องข้างเคียงนั้นออก ก็มองเห็นประตูของตู้ติดผนังถูกกระแทกออกตั้งแต่ยามใดไม่รู้ กระเป๋าโผล่ออกมาครึ่งใบ
คืนนี้ลมแรง สั่นคลอนหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง สั่นสะเทือนประตูตู้ด้วย
เขาเดินเข้าไป ก้มหน้าจ้องมองกระเป๋านั้น สิ่งนี้คือสิ่งของที่นางหวงแหนยิ่งนัก นางตั้งฉายาสิ่งนี้ว่าเป็นกล่องร้อยสมบัติของนาง นางจะอาศัยมันเปลี่ยนแปลงต้าฮวง กระเป๋านี้เรียกได้ว่าเป็นร้อยสมบัติโดยแท้ สิ่งของที่หยิบออกมาจากข้างในล้วนหายากแปลกประหลาด ไม่ใช่สิ่งของที่จะมีอยู่ในยุคสมัยนี้ได้โดยสิ้นเชิง
เขาไม่ชื่นชอบกระเป๋าใบนี้ด้วยเพราะเหตุนี้เอง
รู้สึกอยู่เสมอว่านั่นคือผลิตผลของอีกโลกหนึ่ง ไม่เป็นของเขาและไม่เป็นของต้าฮวง มันเป็นเครื่องที่พิสูจน์ว่านางมาจากยุคสมัยที่แปลกแยกแปลกประหลาด ขอเพียงของสิ่งนี้ยังคงอยู่ ระหว่างนางกับเขาคล้ายคงไว้ซึ่งความห่างเหิน คล้ายอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าเลือนราง
เขากลัวว่าของสิ่งนี้จะเป็นสะพานที่เชื่อมนางเข้ากับโลกอีกใบหนึ่ง สักวันหนึ่งนางจะทอดทิ้งเขาไว้ แล้วข้ามสะพานจากไป
นางจากไปแล้ว ไม่อาจนำกระเป๋านี้ไปด้วยได้ และเขาก็ไม่คิดจะมอบมันคืนให้นางเช่นเดียวกัน
กล่องร้อยสมบัติเปลี่ยนแปลงต้าฮวงไม่ได้ วัตถุแปลกปลอมสิ่งใดเปลี่ยนแปลงต้าฮวงไม่ได้ทั้งนั้น หากคิดจะพึ่งพาศาสตร์ลึกลับเลื่อนลอยเหล่านั้น ไม่สู้พึ่งพาตนเองให้มากยิ่งขึ้น
กำจัดที่พึ่งพาอาศัยของนาง ให้นางใช้สองเท้าวัดขนาดผืนดินของตนเอง
เขานั่งยองลง ยกกระเป๋าขึ้นมา ฝากระเป๋าแง้มออกเล็กน้อย อาภรณ์ชุดหนึ่งที่อยู่ข้างบนสุดโผล่ออกมาชายหนึ่ง สีสันสวยสดงดงาม ลวดลายทั่วผืน เนื้อผ้าเบาบาง ขยี้ไว้ในมือดั่งความฝันกลุ่มหนึ่ง
เขาจำอาภรณ์ชุดนั้นได้
เป็นกระโปรงยาวพิมพ์ลายล่องลอยดุจเซียนชุดหนึ่ง นางสวมแล้ว เคียงคู่ด้วยหมวกประดับสายผ้าต่วนกับผมยาวขดงอเล็กน้อย ริมฝีปากแต่งแต้มแสงดารา ครู่หนึ่งนั้นงดงามดุจภูตพรายที่เดินมากลางเกลียวคลื่นหุบเขาท้องทุ่ง
เขาจดจำความงดงามน่าตกตะลึงครู่หนึ่งนั้นได้เสมอ แม้ยามนั้นเขากำลังโกรธแค้นเยือกเย็นด้วยเพราะการสวมรอยของจื่อหรุ่ย
นิ้วมือลูบผ่านบนอาภรณ์อย่างแผ่วเบา คล้ายยังมีกลิ่นหอมของนางหลงเหลืออยู่ ผนึกแน่นกลางค่ำคืนเงียบสงัดของพระราชวัง
เสียง แกร๊ก ดังขึ้นเสียงหนึ่ง เขาพลันลงกลอนกระเป๋าแล้ว
เขาวางกระเป๋าคืนสู่ตำแหน่งเดิม นิ้วมือลูบเพียงครั้ง ก่อนปิดผนึกกุญแจกระเป๋า
สิ่งของของนาง นางแตะต้องได้เพียงผู้เดียว ชั่วนิรันดร์
เขากำลังลุกขึ้นเดินจากไป ฝีเท้าก็พลันหยุดชะงัก จากนั้นมือสะบัดเพียงครั้ง หน้าต่างด้านข้างถูกเปิดออก
บนขอบหน้าต่างมีน้ำแข็งทรงกลมก้อนเล็กก้อนหนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ยามใดไม่รู้ กลางก้อนน้ำแข็งทรงกลมนั้นมีสิ่งของเลือนราง เปล่งประกายระยิบระยับกลางแสงสลัว
ในแววตาของเขาผุดเผยความเกลียดชังออกมา คล้ายไม่ปรารถนาจะมองเห็นของสิ่งนี้ยิ่งนัก ทว่าสุดท้ายเขายกมือเพียงครั้ง ก้อนน้ำแข็งทรงกลมค่อยๆ ลอยขึ้นร่วงหล่นกลางฝ่ามือของเขา จากนั้นแตกร้าวออกจากกัน
กลางเศษน้ำแข็งแตกร้าวคือกระดูกท่อนหนึ่ง ดูท่าทางเป็นกระดูกนิ้วมือ ไม่คล้ายกระดูกสดใหม่ เปล่งแสงสีดำหมองคล้ำเล็กน้อย ดุจสีโลหิตแลดั่งพิษตกตะกอน เขาหมุนกระดูกนิ้วมืออย่างต่อเนื่อง จวบจนมองเห็นบนกระดูกนิ้วมือลายพร้อยมีจุดเล็กจุดหนึ่งผุดเผยสีขาวดั้งเดิมของกระดูกออกมา
เขาตกตะลึงเล็กน้อย
ภายในกระดูกพลันมีแมลงน้อยตัวหนึ่งมุดออกมา แมลงนั้นดูคล้ายเต่าทอง เปล่งแสงสีฟ้าออกมาเล็กน้อย บนหลังมีลายจุดด่าง เขานับจุดด่างได้ทั้งสิ้นเจ็ดจุด
สีหน้าของเขาไม่รู้ว่าเป็นความผิดหวังหรือความยินดี
เขาพลิกท้องของเต่าทองขึ้น บนท้องของเต่าทองมีร่องรอยสามสาย
“สามเดือน…” เขาพึมพำ
จากนั้นเขาก็เขวี้ยงเต่าทองกับกระดูกออกไปโดยพลัน แมลงนั้นเปล่งแสงไฟสีฟ้าสายหนึ่งกลางอากาศ แม้แสงไฟดวงเล็กแต่ร้ายกาจยิ่งนัก เผาไหม้กระดูกท่อนนั้นกับตนเองจนเป็นจุณในพริบตา ทว่าไม่ได้หลงเหลือร่องรอยไว้สักเสี้ยว และไม่ได้เผาไหม้สิ่งใดที่อยู่รอบด้าน
แสงไฟแผดเผาเต่าทองกับกระดูกจนสิ้น ทว่ายังไม่มอดดับ ทะลุออกไปผ่านหน้าต่าง กะพริบวูบสู่ท่ามกลางความมืดมิดประหนึ่งมีเป้าหมาย
เขาไม่ได้ขยับเขยื้อน
ไม่ต้องไล่ตามไปหาคนที่วางก้อนน้ำแข็งทรงกลมคนนั้นแล้ว เพลิงโลกันตร์เช่นนี้จะเผาไหม้เป้าหมายที่ต้องทำลายทุกสิ่งจนสิ้นซากโดยพลันในพริบตาเดียว
แต่ก่อนเขาเคยไล่ตาม ใช้ทุกวิถีทางคิดจะเก็บคนส่งข่าวสารไว้ ทว่าทุกครั้งยามตามไปพบเจอ มองเห็นได้เพียงเถ้าถ่านกองหนึ่ง
คนเหล่านั้นมักหาหนทางไม่ให้เขาค้นพบเบาะแสใดได้เลย ไม่มีทางควานหาคนที่ต้องการพบเจอได้
หลายปีมานี้ การส่งข่าวสารเช่นนี้เกิดขึ้นทั้งสิ้นสี่ครั้ง เพียงปีนี้เกิดขึ้นสองครั้ง
รีบร้อนมากยิ่งขึ้นทุกวันแล้วหรือ?
หลายปีมานี้มุ่งมั่นพยายาม ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่ง เพียงเพื่อได้ครอบครองพละกำลังเพียงพอ พลิกคว่ำดินแดนแว่นแคว้นแห่งนี้ ปกคลุมเป้าหมายที่ตนเองต้องการไว้ด้วยฝ่ามืออันทระนงองอาจ ทว่าต้าฮวงกว้างใหญ่เหลือเกิน ลึกลับเหลือเกิน
พวกเขาอดทนอดกลั้นไม่ไหวแล้ว ส่วนเขานั้น ไม่มีความอดทนและเวลาให้รอคอยอีกแล้วเช่นกัน
เรื่องน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนักบางเรื่อง สุดท้ายแล้วต้องกระทำจนได้
เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า
ออกจากห้องข้างเคียง เดินออกข้างห้าก้าวคือโต๊ะเครื่องแป้ง
คันฉ่องทองเหลืองเปล่งแสงสลัววูบไหว สะท้อนเงาร่างเลือนรางพร่ามัว เขาใช้สองมือค้ำยันโต๊ะเครื่องแป้งไว้ คล้ายว่ามองเห็นตนเองยืนอยู่หลังโต๊ะเครื่องแป้ง มือวางอยู่บนไหล่ของสตรีนางหนึ่ง
วันนั้น เขาหลงนึกว่าผู้อื่นคือนางจึงสารภาพความในใจด้วย ทว่าโชคชะตาแปลกประหลาดเช่นนี้ มักตระหนี่ในสิ่งที่ไม่อยากมอบให้เจ้า ความในใจที่รวบรวมความกล้าหาญสารภาพออกมา ผิดพลาดล้มเหลว
นั่นคือการทะเลาะตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นครั้งแรกของเขากับนาง เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ แต่เดิมนึกว่าครู่หนึ่งนั้นนับเป็นการตัดไมตรีที่เย็นเยียบที่สุด ภายหลังถึงรู้ว่าความเจ็บปวดในโลกนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จวบจนถึงนรกขุมสุดท้าย
จนถึงบัดนี้ แลคล้ายมึนชาแล้ว
เรือนร่างของเขาโน้มลงข้างล่างโดยพลัน
โลหิตสายหนึ่งไหลรินจากมุมปากโดยไร้ซึ่งนิมิตล่วงหน้า เลียบตามขากรรไกรล่าง หยาดหยดเปราะแประบนผิวโต๊ะเกลี้ยงเกลา
หยาดโลหิตกระเซ็นออกมาดุจดอกเหมยยุ่งเหยิง
คล้ายยืนไม่อยู่แล้วเช่นกัน เขาค้ำยันโต๊ะไว้ค่อยๆ นั่งลง ใช้แขนเสื้อขาวราวหิมะเช็ดคันฉ่องที่เปรอะหยาดโลหิตบานนั้นอย่างเชื่องช้า
มือพลันหยุดชะงัก
กลางคันฉ่องทองเหลืองพลันปรากฏเงาสะท้อนเงาหนึ่งอีกครั้ง
เขาเย็นเยียบทั่วร่าง ไม่ใช่ด้วยเพราะตกใจ ทว่าด้วยเพราะประหลาดใจ ประหลาดใจในความถดถอยของตนเอง ยอมให้ผู้อื่นเข้าใกล้ระยะสามจั้งโดยไม่ได้สังเกต
จากนั้นนัยน์ตาของเขาพลันเย็นเยียบ จำได้แล้วว่าเงาคนเงานั้นคือผู้ใด
[1] หินหยาบ หรือหินแกรนิต หินอัคนีแทรกซอนชนิดหนึ่ง เนื้อหินขนาดปานกลางถึงเนื้อหยาบ