ตอนที่ 18 - 1 การหลอกล่อกับความคิดสังหาร

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

หมิงเฉิงยืนอยู่บนธรณีประตูอย่างมึนงงเล็กน้อย 

 

 

นางโซซัดโซเซมาตลอดทาง เลอะเลือนจนจำแนกทิศทางไม่ได้ ยามนี้ยืนอยู่ปากตำหนัก ถูกไอดินอันอบอุ่นแผ่ซ่านถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา พบว่าตนเองยืนอยู่ปากประตูตำหนักบรรทมของจิ่งเหิงปัวเสียได้ 

 

 

นางประหลาดใจอยู่บ้าง ในใจว่างเปล่า คิดไม่ออกว่าเหตุใดตนเองถึงได้มายังสถานที่ซึ่งไม่ปรารถนาจะมาเยือนเลยด้วยซ้ำ ทว่ายามที่ยืนอยู่ปากประตูตำหนักบรรทม ก็พลันนึกถึงวันเวลายามอยู่ที่เฟิ่งไหลชี นึกถึงโสมที่จิ่งเหิงปัวยื่นให้ นึกถึงวันเวลายามพักอยู่เรือนตะวันตกของตำหนักบรรทมแห่งนี้ นึกถึงยามที่ทั้งสี่คนร่วมกินข้าวศีรษะชนกัน เคยมองหน้ากันแล้วยิ้มแย้มให้กันท่ามกลางไอร้อนที่ลอยเป็นเกลียว 

 

 

นางหันหน้ากลับมา มองเห็นลานกว้างว่างเปล่า ห้องครัวมืดมิดไปทั่วทั้งห้อง ปราศจากไอควันไฟ เหลือเพียงหิมะโปรยปรายไร้สรรพเสียง 

 

 

เสียงหัวเราะเริงร่าเหล่านั้นถูกกลบกลืนจนสิ้นแล้ว 

 

 

นางควรที่จะยินดีปรีดาสิ นางกุมหน้าอกไว้ ก่อนจะไอโขลกออกมาหลายเสียง หัวเราะฮิฮะ 

 

 

เสียงหัวเราะนั้นดังสะท้อนตรงปากตำหนัก ฟังแล้ววังเวงยิ่งนัก 

 

 

ในเมื่อมาแล้วก็ควรเข้าไปผิงไฟสักหน่อย ที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของนางเช่นกัน ทั่วทั้งตำหนักอวี้จ้าวเป็นของนาง เหตุใดนางจะไม่กล้าเข้าไป? 

 

 

นางเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง 

 

 

จากนั้นก็แน่นิ่ง 

 

 

เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใครบางคนสวมอาภรณ์ดุจหิมะท่วงท่านั่งตั้งตรง จ้องมองนางโดยไม่กะพริบตาสักครั้งจากกลางคันฉ่อง 

 

 

พริบตาแรกนึกว่าเป็นวิญญาณ นางเกือบจะกรีดร้องออกมาโดยสำนึก ทว่าลักษณะท่วงท่าของคนผู้นั้นแจ่มชัดเหลือเกิน ครู่ต่อมานางจึงรู้ว่าคนผู้นี้คือใคร เสียงกรีดร้องก็พลันอ้ำอึ้งอยู่ในลำคอ นางเบิกตากว้าง มือค้ำยันประตูตำหนักไว้ ตื่นตะลึงลังเล ในแววตาค่อยๆ ปรากฏเป็นความหวัง 

 

 

บังเอิญพบกันในยามนี้ นับเป็นโอกาสครั้งหนึ่งด้วยหรือไม่… 

 

 

ความคิดนี้ทำให้นางหลงลืมการเตือนยามนั้นของเขา ไม่ได้ถอยไปโดยพลัน เพียงแต่เงยหน้าขึ้นอย่างอ่อนช้อย จ้องมองเขาที่อยู่กลางคันฉ่องนิ่ง 

 

 

กงอิ้นยังคงนิ่งเงียบอยู่ มองดูเงาคนกลางคันฉ่อง 

 

 

จะให้เงาของนางส่องสะท้อนในคันฉ่องของจิ่งเหิงปัวได้อย่างไร? เช่นนั้นจะทำให้คันฉ่องของจิ่งเหิงปัวแปดเปื้อน หากนางกลับมาคงไม่ชื่นชอบเช่นกัน 

 

 

นิ้วมือของเขาดีดเพียงครั้ง คันฉ่องทองเหลืองก็พลันแตกร้าว เงาสะท้อนของหมิงเฉิงที่อยู่กลางคันฉ่องนั้นพลันเอนเอียงบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปร่าง 

 

 

เขารู้สึกพอใจแล้ว 

 

 

หมิงเฉิงยืนอยู่ปากตำหนัก มองเห็นข้างในมืดมิดมัวสลัว และมองเห็นไม่ชัดเจนว่าคันฉ่องนั้นแตกร้าวแล้ว กงอิ้นไม่ได้เปล่งเสียงขับไล่นางในทันที ในใจของนางจึงลุกโชนด้วยความหวัง 

 

 

“กง…” ยามนี้นางจิตใจอ่อนแอ รีบแก้วาจาโดยพลันว่า “ราชครู…นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่…เจ้า…เจ้านอนไม่หลับเช่นกันหรือ…” 

 

 

กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่เอ่ยวาจา 

 

 

หากไม่ใช่ด้วยเพราะอากาศภายในตำหนักหนาวเย็นเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่มีกงอิ้นอยู่ด้วย นางคงนึกว่ากงอิ้นกำลังเดินละเมอ 

 

 

เขามาที่นี่กลางราตรี…ในใจของนางพวยพุ่งด้วยความเกลียดชังท่วมท้น รีบเร่งสะกดกลั้น รู้ว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาระเบิดอารมณ์ 

 

 

นางได้แต่นุ่มนวลอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้า…ข้าไม่รู้ว่าเดินมา…ถึงที่นี่ได้อย่างไร…” 

 

 

กงอิ้นเช็ดผิวโต๊ะอย่างเชื่องช้า 

 

 

หมิงเฉิงจ้องมองเงาด้านหลังของเขา ใจเต้นดุจรัวกลอง นางคิดหน้าคิดหลัง คิดว่าในเมื่อยามนี้เขาปรากฏกายอยู่ในตำหนักของจิ่งเหิงปัว ในใจน่าจะมีความอาลัยอาวรณ์ส่วนหนึ่งดำรงอยู่ด้วย เช่นนั้นหากนางเอ่ยถึงจิ่งเหิงปัวขึ้นมา อาจจะแลกมาซึ่งความอ่อนโยนเสี้ยวหนึ่งของเขาได้ 

 

 

เบื้องลึกภายในใจของนางไม่อยากเอ่ยถึงจิ่งเหิงปัวเลย ทว่าเป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ นับตั้งแต่เกิดเรื่องนั้น ขอบเขตการเคลื่อนไหวของนางถูกจำกัดอยู่บริเวณโดยรอบตำหนักบรรทมของราชินี นางมองไม่เห็นคนนอก และมองไม่เห็นกงอิ้น แม้ในใจมีหมื่นถ้อยพันวจี แต่ไม่มีโอกาสได้เอ่ยกับผู้ใดเลย 

 

 

คืนนี้ฟ้าดินเป็นใจ เป็นไปได้ว่าสายลมหิมะที่คล้ายคลึงกับคืนนั้นจะทำให้เขายินยอมยอมรับได้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากลองดูสักหน่อย หากไม่ใกล้ชิดแล้วจะมีโอกาสได้อย่างไร? 

 

 

“ข้า…ข้าเสียใจกับเรื่องในยามนั้นยิ่งนัก…” น้ำตาของนางพรั่งพรูพร้อมเอ่ยวาจา น้ำเสียงเจือด้วยทำนองสะอึกสะอื้น เอ่ยสืบต่อไปว่า “…ข้า…ข้าเห็นแก่ตัวและแล้งน้ำใจเหลือเกิน…ยามนั้น…ยามนั้นข้าไม่ควรกระทำเช่นนั้นต่อนาง…ภายหลังข้าเองเสียใจยิ่งนัก…ค่ำคืนนี้…ค่ำคืนนี้มองดูหิมะนี้ ในใจข้าพลันรู้สึกเป็นทุกข์ไม่น้อย นึกถึงความดีที่นางเคยกระทำต่อข้า นึกถึงวันเวลาที่ทั้งสี่คนอยู่ด้วยกันยามนั้น…จึงเดินมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว…ข้า…ข้าเองคิดถึงนางเหลือเกิน…” 

 

 

นางแน่นหน้าอกหอบหายใจเล็กน้อย ทำให้จำต้องหยุดเอ่ยวาจา แอบมองการเคลื่อนไหวของเขา ไม่มีการเคลื่อนไหวนับเป็นลางดี 

 

 

“…ข้า…แท้จริงแล้วยามนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจ…ข้าเองก็ไม่อยากทำร้ายนาง…ข้าเพียงรู้สึกน้อยใจโกรธแค้น…ยามนั้นความทรงจำของข้าเพิ่งฟื้นคืน ในใจเต็มไปด้วยความน้อยใจ…รู้สึกว่านางแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากข้า…แต่เดิมข้าคิดจะอดทน…ทว่าวาจาที่นางเอ่ยกับข้าหลังเมาสุราวันนั้นกระตุ้นข้า…ข้าเลยคิดว่าเหตุใดข้าต้องยอมรับในสิ่งที่ข้าไม่ได้ทำ ส่วนสิ่งที่ข้ามีอยู่กลับถูกผู้อื่นช่วงชิง…ข้าเกิดอารมณ์ชั่ววูบ…หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว ข้าจึงนึกถึงความดีที่นางกระทำต่อข้า…ไม่ว่าอย่างไรนางก็เคยช่วยชีวิตข้าไว้…ต่อให้คิดร้ายอยู่บ้าง ทว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าชีวิต…ยามนั้นข้าควรปกป้องนางไว้…และไม่รู้ว่ายามนี้นางสบายดีหรือไม่…สถานที่เฉกเช่นบึงโคลนเฮยสุ่ยนั้น…หรือไม่เจ้าก็เปลี่ยนสถานที่ให้นางหน่อยเถิด…” 

 

 

นางระบายออกมาด้วยความจริงใจ ทั้งความน้อยใจ ความโศกเศร้า การให้อภัย ความเข้าใจ ความโอบอ้อมอารีและจิตใจดีงาม…ทุกสิ่งล้วนอยู่ในนั้น ส่วนน้ำเสียงแผ่วเบา เอ่ยวาจาครั้งเดียวทอดถอนใจสามครั้ง แต่ละคำนุ่มนวลเวียนวน เพียงพอจะสะเทือนคนใจแข็งทุกคนบนโลกหล้า 

 

 

กงอิ้นค่อยๆ หันกายกลับมา 

 

 

นางดีใจเป็นล้นพ้น ทว่าไม่กล้าผุดเผยสีหน้าชื่นมื่น เพียงเชิดสายตาแวววาวขึ้น หยดน้ำตาบนขนตาแทบจะร่วงหล่น นางรู้ว่าท่วงท่าเช่นนี้ของตนเองดูน่าสงสารเป็นที่สุด 

 

 

นางยืนอยู่ต้นลมโดยตลอด สายลมพัดมาจากข้างหลังคล้ายจะทะลุผ่านหัวใจ นางหนาวจนสั่นเทา ทว่าไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้เพียงก้าวเดียว 

 

 

“เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ?” เขาเอ่ยปากในที่สุด ฟังน้ำเสียงแล้วไม่รับรู้ถึงอารมณ์ 

 

 

นางรีบพยักหน้า เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่อย่างนั้นด้วยสภาพอากาศเช่นนี้ ด้วยร่างกายเช่นนี้ของข้า ข้าจะมาที่นี่กลางราตรีได้อย่างไร…ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพบเจอเจ้าที่นี่…” 

 

 

“เจ้าสำนึกผิดแล้วหรือ?” เขาถาม 

 

 

“อืม” นางก้มหน้าลง น้ำตาที่ตระเตรียมไว้เนิ่นนานไหลรินพรั่งพรู 

 

 

“คิดเปลี่ยนสถานที่ให้นาง หากเจ้าบริสุทธิ์ใจจริง จงเปลี่ยนมันด้วยตนเองเถิด” 

 

 

นางชะงัก เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไม่มีอำนาจนี้” 

 

 

“เจ้าเป็นราชินี เรื่องราวเช่นนี้เจ้าประกาศพระราชโองการแห่งราชินีได้” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้าลงนามประทับคำสั่งแห่งตำหนักอวี้จ้าวพอแล้ว” 

 

 

นางดีใจเป็นล้นพ้น ทว่าพอนึกถึงพระราชโองการแห่งราชินีแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ 

 

 

พระราชลัญจกรของราชินีอยู่กับนางตลอดเวลา มันถูกซ่อนไว้ในสถานที่ซึ่งเร้นลับเป็นที่สุด แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วพระราชลัญจกรนี้ไม่มีประโยชน์ ทว่ามันจะเกิดประโยชน์ในช่วงเวลาแสนสำคัญ เช่น การถอดถอนราชครู รวมทั้งพระราชโองการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์บางเรื่องจำเป็นต้องใช้พระราชลัญจกรหยกของราชินี 

 

 

ยกตัวอย่างเช่น หากกงอิ้นอยากแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์ อนุญาตให้บุรุษเพศตั้งตนเป็นจักรพรรดิได้ ต่อให้นางเห็นด้วย ต่อให้เหล่าขุนนางทุกคนเห็นด้วย ทว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติครั้งนี้ไม่ได้ประทับตราพระราชลัญจกรของราชินี เรื่องนี้ย่อมไม่ได้รับการยอมรับเสมอ หกแคว้นแปดชนเผ่าจะใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้าง ไม่ยอมรับอำนาจศูนย์กลางของกษัตริย์ ตั้งตนเป็นเอกราชได้โดยตรง ต่อให้กงอิ้นขึ้นเป็นจักรพรรดิ แลเป็นเพียงจักรพรรดิจอมปลอมที่ได้ราชบัลลังก์มาโดยมิชอบ ภายหลังอาจจะพบเจอการก่อกบฏและการประกาศเอกราชหลายต่อหลายครั้ง ต้าฮวงจะล่มสลายโดยสิ้นเชิง 

 

 

สิ่งนี้คือเครื่องรางแสนสำคัญที่จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นทิ้งไว้ให้ราชินีแต่ละสมัยในอดีต รูปแบบของต้าฮวงแปลกประหลาดซับซ้อนเช่นนี้ หวังจะกระทำการแก้ไขไม่ว่าเรื่องใดต่างยุ่งยากยิ่งนัก และด้วยเพราะเหตุนี้เอง นางยอมไม่เข้าร่วมการเมืองระดับแคว้น ยอมเป็นราชินีหุ่นเชิด เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงไม่นำพระราชลัญจกรของราชินีออกมา ด้วยเพราะนางรู้ว่าเพียงนางนำพระราชลัญจกรออกมาต่อหน้ากงอิ้นครั้งหนึ่ง ภายหลังไม่ว่าจะซ่อนสะเปะสะปะอย่างไร เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังสายตาของเขาได้อีก 

 

 

พอถึงยามนั้น นางย่อมดุจเปลือยกายเผชิญกระบี่ ไร้ซึ่งการปกป้องและการขวางกั้นแล้ว 

 

 

ยามนี้กงอิ้นถามออกมาอย่างเลื่อนลอยครั้งหนึ่ง นางพลันเกิดความรู้สึกเสมือนทำร้ายตนเอง 

 

 

กงอิ้นค้ำยันผิวโต๊ะค่อยๆ ลุกขึ้น จ้องมองมาที่นาง 

 

 

เขาจ้องมองผู้อื่นโดยตรงน้อยครั้งนัก ต่อให้จ้องมองโดยตรงแต่อีกฝ่ายก็ยังรู้สึกเสมอว่าสิ่งที่เขามองนั้นอาจจะไม่ใช่ตนเอง ทว่าเป็นความว่างเปล่านอกเหนือท้องฟ้า หลายคนสงสัยว่าชั่วชีวิตนี้เขาเคยตั้งใจมองเพียงจิ่งเหิงปัวผู้เดียวใช่หรือไม่ ทว่ายามนี้หมิงเฉิงก็ได้มองเห็นเงาร่างของตนเองกลางแววตาเขาอย่างชัดเจน 

 

 

การจ้องมองเช่นนี้ทำให้นางแทบหยุดหายใจ จนทำให้นางรู้สึกว่าครู่เดียวกลายเป็นนิรันดร์กาล 

 

 

ชั่วครู่ต่อมา เขายิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย 

 

 

หมิงเฉิงเบิกตากว้างโดยพลัน 

 

 

นัยน์ตาตกตะลึงของนางสะท้อนรอยยิ้มที่ผลิแย้มกลางหิมะน้ำแข็งของเขาอยู่ไกลโพ้น นั่นคือบัวน้ำแข็งซึ่งผลิบานอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางฟ้าดินสุกสกาว บ่อหิมะบนยอดเขาภายใต้จันทร์เพ็ญ ดอกบัวระยิบระยับแพรวพราวพันหมื่นลี้ในพริบตาเดียว สายลมหิมะสะกดกลั้น ท้องฟ้าผืนดินสิ้นไร้สีสัน 

 

 

รู้จักเขามานานหลายปี แต่นางไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของเขาเลย 

 

 

ยิ่งนึกไม่ถึงว่ายามนี้ เขาจะยิ้มให้นาง 

 

 

รอยยิ้มนี้สั่นสะเทือนจนนางสิ้นเสียง ไม่รู้ว่าควรตื่นตะลึงในความงดงามนั้นหรือควรหวาดกลัวรอยยิ้มนี้ 

 

 

เขาผ่อนน้ำเสียงช้าลง เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้าโล่งใจยิ่งนัก” 

 

 

นางถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจไม่หาย รู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังชุ่มเหงื่อไปชั่วขณะ หลังจากนั้นชั่วครู่ ความดีใจที่ซุกซ่อนไว้ไหลล้นขึ้นมา 

 

 

เขาพลันเอ่ยว่า “ข้ายังอยากไปมองดูตำหนักบรรทมแห่งนั้นของนาง” 

 

 

นางชะงัก จากนั้นเข้าใจว่าเขาหมายถึงตำหนักบรรทมของตนเอง 

 

 

พริบตาเดียวแม้แต่มือของนางยังสั่นเทิ้มไปด้วย 

 

 

ทั้งดีใจเป็นล้นพ้น เหนือความคาดหมาย กระวนกระวายและตื่นเต้น…ในใจนางสับสนวุ่นวาย ริมฝีปากกระซิบแผ่วเบา ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไร 

 

 

เขาจ้องมองนางคล้ายกำลังรอให้นางเอ่ยตอบ ในใจนางแอบรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าไม่ยอมปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดลอยไปเป็นแน่…หากพลาดครั้งนี้ นางรู้ว่าไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว 

 

 

“ได้” นางพลันเอ่ยว่า “ข้านำทางให้เจ้า” 

 

 

“เจ้าสวมอาภรณ์เบาบางเหลือเกิน” เขาปรบมือ นอกตำหนักก็มีเงาคนทอดลงมาโดยพลัน 

 

 

“เตรียมเกี้ยว”