ตอนที่ 188 เจ็ดจักรพรรดิอสูร

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ด้วยการนำทางของหงส์แดง ฉินอวี้โม่และเหล่าอสูรมายาทั้งหลายก็มุ่งตรงเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางป่าต้องห้ามได้อย่างราบรื่น

ด้วยความชำนาญเส้นทางของอสูรสาวเจ้าถิ่น ผ่านไปไม่ถึงสามวันคณะเดินทางอวี้โม่ก็สามารถเข้ามาจนใกล้กับบริเวณใจกลางป่าได้แล้ว

ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่ลึกลับใจกลางป่ามากเท่าไหร่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความคุ้นเคยอันน่าประหลาด พลังมายาภายในร่างของนางก็มีปฏิกิริยาแปลกเปลี่ยน มันเริ่มผันผวนขึ้นทีละน้อย ทว่ายิ่งใกล้เป้าหมายมันก็ยิ่งแจ่มชัดราวกับว่าพลังเหล่านั้นกำลังตอบรับเสียงเพรียกหาของบางสิ่ง

เรื่องนี้ทำให้ฉินอวี้โม่ยิ่งมั่นใจว่าจะต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกายเทพมายาอยู่ภายในถ้ำที่ถูกผนึกไว้แห่งนั้นแน่นอน

หลังจากเดินทางกันอีกครึ่งชั่วยาม ทัศนียภาพสองข้างทางก็เกิดความเปลี่ยนแปลง

จากเดิมต้นไม้ที่ขึ้นหนาแน่นพลันเปลี่ยนเป็นเบาบาง พืชพันธุ์นานาชนิดที่ขึ้นรกครึ้มเหลือเพียงพันธุ์ไม้ขนาดกลางขึ้นอยู่ประปราย

ณ พื้นที่เบื้องหน้า ไกลออกไปจากจุดที่อยู่เพียงเล็กน้อยมีเทือกเขาขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กตั้งตระหง่านราวกับรอคอยการมาถึงของพวกเขาอยู่

แต่สิ่งที่ดึงดูดทุกสายตาคือ ในจุดหนึ่งบริเวณเชิงเขาแห่งนั้นมีปรากฏให้เห็นปากถ้ำหินขนาดใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม

“นายหญิง ถ้ำตรงหน้านี้แหละ”

เมื่ออยู่ห่างจากปากถ้ำประมาณยี่สิบก้าว หงส์แดงก็หยุดเดินและเอ่ยบอกฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางจ้องมองปากถ้ำดั่งกล่าว ขณะนี้นางเองก็หยุดเดินเช่นกัน

สตรีผู้ครอบครองกายเทพมายาสัมผัสถึงพลังมายาอันรุนแรงที่ทะลักทลายออกมาจากถ้ำเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน นี่คงจะเป็นผลพวงจากผนึกอันลึกลับที่กีดกันไม่ให้อสูรผู้ยิ่งใหญ่ผ่านเข้าไปได้ เหมือนเช่นที่หงส์แดงบอกเป็นแน่

“นายหญิง ท่านต้องระมัดระวังให้มาก ครั้งก่อนตอนที่พวกข้าพยายามเข้าไป เราไม่สามารถเข้าใกล้ถ้ำนั้นได้เลย ก่อนจะถึงหน้าถ้ำมีม่านพลังแข็งแกร่งป้องกันเอาไว้ แต่นายหญิงมีกายเทพมายา บางทีผนึกนั้นอาจจะไร้ผลกับท่านก็ได้”

หงส์แดงเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย กระนั้นอสูรสาวก็อยากจะเห็นเช่นกันว่านายหญิงของมัน–มนุษย์สาวผู้ซึ่งมีร่างกายศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเข้าไปในถ้ำนั้นได้หรือไม่

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง ในขณะนี้นางต้องใช้ความพยายามอันหนักหน่วงในการควบคุมพลังมายาที่กำลังบ้าคลั่งในร่างกายเอาไว้ อย่างไรก็ตามสตรีโฉมงามก็กระตุ้นประสาทสัมผัสทุกส่วนให้พร้อมเพื่อเตรียมรับมือกับอันตรายอาจจะเกิดขึ้น

หลายอึดใจผ่านไป ในที่สุดคุณหนูตระกูลฉินก็ค้นพบว่าพลังมายาของตัวเองสามารถเชื่อมต่อกับผนึกของถ้ำแห่งนี้ได้ ฉินอวี้โม่ไม่ลังเลอีกนางยื่นมือเข้าไปเพื่อสัมผัสกับจุดที่มีม่านพลังกางกั้นอยู่

มือบางของสตรีผู้มีกายเทพมายาสามารถรอดผ่านม่านพลังที่ผนึกถ้ำลึกลับนั้นได้โดยไร้อุปสรรค ไม่กี่ลมหายใจต่อมาร่างกายบอบบางทว่าแข็งแกร่งก็เดินผ่านเข้าไปจนถึงหน้าถ้ำ

“ทำได้จริง ๆ”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปจนถึงหน้าถ้ำได้ หงส์แดงก็ยิ้มอย่างยินดี เป็นไปตามที่อสูรสาวคาดเอาไว้ ผู้ครอบครองกายเทพมายาสามารถผ่านเข้าไปในถ้ำได้ นี่พิสูจน์ว่ายอดฝีมือลึกลับผู้นั้นเอ่ยความจริงในเรื่องนี้ ทว่ามันก็ยังมิอาจชี้ให้เห็นเจตนาแท้จริงของคนผู้นั้นและยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าสิ่งที่เขาบอกคือเรื่องจริงทั้งหมด

ฉินอวี้โม่ไม่คิดบุ่มบ่ามเข้าไปด้านใน นางหันหลังกลับแล้วถอยกลับไปยืนข้างกายหงส์แดงก่อน

“เสี่ยวหง ไม่ได้เห็นเจ้าเสียหลายวัน เจ้ากลายเป็นอสูรของมนุษย์ได้อย่างไรกัน”

*หง (红) แปลว่าแดง หรือ สีแดง

จู่ ๆ ก็มีเสียงอันนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น ในตอนนั้นเองร่างของบุรุษหนุ่มในชุดสีขาวหน้าตาอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นข้างกายหงส์แดง

“อาไป๋ เจ้ามาได้อย่างไร”

*ไป๋ (白) แปลว่าขาว หรือสีขาว

หงส์แดงไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านแม้แต่น้อยเมื่อมองเห็นบุรุษผู้มาใหม่ ยิ่งกว่านั้นอสูรสาวยังยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร คนผู้นี้ไม่ใช่ศัตรูของมันอย่างแน่นอน

“อาไป๋ ข้ายินยอมจะเป็นอสูรในพันธสัญญาของนางเอง”

ผู้ที่หงส์แดงเรียกขานว่าอาไป๋ดูจะสนิทสนมกับนางเป็นอย่างมาก อสูรตระกูลหงส์อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างคร่าว ๆ ในทันที

“มนุษย์ ต้องขอขอบคุณเจ้าจริง ๆ ที่ช่วยเสี่ยวหงเอาไว้”

บุรุษผู้ถูกเรียกขานว่าอาไป๋ไม่ได้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสตรีที่อยู่ข้างกายสหายของเขา ทั้งยังเอ่ยคำขอบคุณและส่งยิ้มให้ด้วยความซาบซึ้ง

“นายหญิง อาไป๋คือสหายที่ดีที่สุดของข้าในดินแดนต้องห้าม และเป็นหนึ่งในอสูรที่ทรงพลังทั้งเจ็ด”

หงส์แดงแนะนำบุรุษในชุดขาวให้ฉินอวี้โม่รู้จัก ใบหน้างดงามราวเทพเซียนประดับรอยยิ้มสดใส

แท้จริงแล้ว ตัวตนของอาไป๋ก็คือ*‘กระเรียนขาวบรรพกาล’*ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดอสูรระดับสูงแห่งดินแดนต้องห้าม ศักยภาพในการเติบโตของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าหงส์แดงมากนัก อาไป๋นั้นเป็นอสูรหนุ่มแสนสุภาพ ท่าทีสงบเสงี่ยม และไม่เคยแสดงความก้าวร้าว ตรงกันข้ามกับหงส์แดงสาวที่ปกติจะใจเร็วโผงผาง ดื้อรั้น และค่อนข้างใจร้อนพอสมควร ทว่าทั้งสองกลับเป็นสหายที่สนิทกันมากที่สุดในป่าแห่งนี้

“ยินดีที่ได้รู้จัก วันนี้ข้ามาที่ถ้ำแห่งนี้โดยพลการ หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวนพวกเจ้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางกล่าวตอบกลับไปอย่างเป็นมิตรเช่นกัน

อาไป๋ยิ้มรับนอบน้อมและค้อมศีรษะลงครึ่งส่วน เมื่อครู่อสูรหนุ่มรู้สึกว่าพื้นที่บริเวณนี้มีกลิ่นอายแปลกประหลาดจึงรีบมา

เมื่อมาถึงก็ได้พบหงส์แดงสหายสาวผู้คุ้นเคย แต่เรื่องที่ไม่คิดฝันเลยก็คือ สหายอสูรยิ่งใหญ่ผู้อยู่อาณาเขตใกล้เคียงกันกลับกลายเป็นอสูรในพันธสัญญาของมนุษย์ไปเสียแล้ว เรื่องนี้นับว่าตกใจยิ่งนัก

หงส์แดงเป็นอสูรมายาที่หยิ่งทะนง ความแข็งแกร่งก็มิใช่น้อย หากจะบีบบังคับให้ยอมศิโรราบแล้วทำพันธสัญญาเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อได้เห็นหงส์แดงและสตรีมนุษย์ผู้เป็นนายดูมีความกลมเกลียวและปรองดอง กระเรียนหนุ่มก็เข้าใจได้ทันทีว่าหงส์แดงคงจะตั้งใจยอมเป็นอสูรของฉินอวี้โม่เป็นแน่

“อาไป๋ นายหญิงของข้าคือผู้ที่สามารถไขความลับของถ้ำแห่งนี้ได้ ยิ่งนานวันป่าแห่งนี้ก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ สหายเก่าของเราบางตัวก็เริ่มดุร้ายขึ้นทุกวัน ที่สำคัญก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ข้าไม่อยากให้มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่นี่อีกแล้ว ข้าอยากทำให้ภัยร้ายและความวุ่นวายเหล่านี้หมดไป ข้าจึงขอให้นายหญิงทำพันธสัญญากับข้า นางคือความหวังที่จะช่วยเราไขความลับของที่นี่ได้”

แม้ไม่ได้เอ่ยออกไปตรง ๆ ว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ครอบครองกายเทพมายา แต่หงส์แดงก็มั่นใจว่าอาไป๋จะต้องเข้าใจความหมายของตัวมันแน่

อาไป๋พยักหน้า อสูรหนุ่มเองก็สังเกตเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นและเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของป่าต้องห้ามอย่างใกล้ชิด ตัวมันเองก็เป็นกังวลไม่ต่างจากหงส์แดง

กระเรียนขาวบรรพกาลแข็งแกร่งกว่าหงส์แดงอยู่ขั้นหนึ่ง ขณะนี้ ตัวมันเองก็รู้สึกว่าจิตใจของมันเริ่มถูกกัดกินไปแล้วเช่นกัน อสูรตนอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างก็สัมผัสถึงความไม่มั่นคงของพลังจากกายอสูรสายพันธุ์กระเรียนตนนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจที่แข็งแกร่งป่านนี้มันก็คงจะกลายเป็นอสูรแสนเกรี้ยวกราดไปแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ หงส์แดง อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่ามนุษย์ตัวน้อย ๆ คนนี้จะไขความลับของที่นี่ได้ ?”

เสียงอีกเสียงหนึ่งดังมา น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความเย้ยหยันเต็มเปี่ยม

ผู้เป็นเจ้าของเสียงคือบุรุษในชุดสีดำสนิท ภายในดวงตามีแต่ความขุ่นมัวดูหม่นหมอง แววตานั้นแฝงความชั่วร้ายแปลกประหลาด คนผู้นี้ปรากฏกายขึ้นข้างกายหงส์แดงเช่นกัน

“ภูผาทมิฬ !”

เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษชุดดำ หงส์แดงและอาไป๋ก็ขมวดคิ้วแน่น

“ฮ่า ๆ ๆ หงส์แดงดูเหมือนว่าเจ้าจะตกต่ำลงไปเยอะเลยนะ”

บุรุษชุดดำจ้องมองหงส์แดงด้วยสายตาเหยียดหยามพลางเอ่ยถ้อยคำด้วยวาจาเสียดสี

“ภูผาทมิฬ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”

หงส์แดงจ้องมองผู้เคยเป็นสหายด้วยสายตาเย็นชา

ด้วยเผ่าพันธุ์นั้น ภูผาทมิฬนั้นมีความแข็งแกร่งด้อยกว่ากระเรียนขาวบรรพกาลอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามมันก็นับเป็นอสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิเช่นเดียวกัน ตัวตนที่แท้จริงของอสูรตนนี้มีรูปลักษณ์เป็นหมีดำ แม้ว่าพรสวรรค์และศักยภาพในการเติบโตจะไม่ได้สูงส่งเทียบเท่ากระเรียนขาวบรรพกาลและหงส์แดง ทว่า เมื่อวัดกันในเวลานี้แล้ว ความแข็งแกร่งอสูรตระกูลหมีตนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาไป๋เลยแม้แต่น้อย

“หึ อย่ามาทำเฉไฉ ตอนนี้เจ้าทำพันธสัญญากับมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้นก็เชิญไสหัวออกไปจากดินแดนแห่งนี้ซะ”

ภูผาทมิฬแสยะยิ้มเย็นชา

ในเมื่อหงส์แดงทำพันธสัญญากับสตรีมนุษย์ เช่นนั้นอสูรสาวก็สามารถหนีเอาตัวรอดออกไปจากดินแดนแห่งนี้ได้โดยไม่มีข้อจำกัดอีก

“ภูผาทมิฬเจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”

หงส์แดงขมวดคิ้วไม่พอใจก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าแค่หวังว่าพวกเราจะสร้างประโยชน์ให้กับป่าแห่งนี้ก่อนที่จะจากไป ข้าอยากจะให้นายหญิงช่วยทำลายผนึกเพื่อปลดสิ่งที่คอยพันธนาการเราอยู่”

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าละเมอเพ้อพกอะไรอยู่ ? ข้าจำได้ว่าเมื่อร้อยปีก่อนคนผู้นั้นบอกไว้ว่ามีเพียงมนุษย์ที่ครอบครองกายเทพมายาเท่านั้นจึงจะไขความลับของที่นี่ได้ เจ้าคงจะไม่บอกหรอกนะว่ามนุษย์ตัวน้อยคนนี้เป็นผู้มีกายเทพมายา”

ภูผาทมิฬกล่าววาจาประชดประชันหงส์แดง ก่อนจะหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดูแคลน

“นายหญิงของข้าจะมีกายเทพมายาหรือไม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ รู้ไว้แค่ว่านายหญิงของข้ามีความสามารถที่จะไขความลับของดินแดนต้องห้ามได้ก็พอแล้ว อย่างน้อย ๆ ม่านพลังที่ป้องกันถ้ำอยู่ก็ไร้ผลกับนาง”

เมื่อได้ฟังถ้อยคำระคายหูของภูผาทมิฬ หงส์แดงก็กล่าวโต้ตอบออกไปด้วยความไม่ยินยอม แววแห่งความหยิ่งทะนงและดื้อรั้นปรากฏชัดบนใบหน้างาม

“เหอะ ! เหลวไหลทั้งเพ ใครจะไปเชื่อเจ้า !”

ภูผาทมิฬยังคงค่อนแคะเสียงเย้ยหยัน สิ้นวาจาดูหมิ่น หมีในร่างบุรุษก็หันไปกล่าวกับผู้ที่อยู่ด้านหลัง “วิฬาร ชะนี ลิ่น พวกเจ้าคิดว่ามนุษย์ผู้นี้จะไขความลับของที่นี่ได้จริงอย่างนั้นหรือ ?”

ทันทีที่คำพูดของภูผาทมิฬจบลง อสูรในร่างมนุษย์ทั้งสามตนก็ปรากฏกายขึ้นข้างตัวมัน

ผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ‘วิฬาร’คงจะเป็นวิฬารหางสั้น ร่างมนุษย์ของมันคือเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าน่ารัก แต่มีใบหูเป็นแมวสองข้างกับหางแมวปุกปุยด้านหลัง ดูไปแล้วก็มีส่วนคล้ายเด็กน้อยใส่ที่คาดผมหูแมวเหมือนคนที่แต่งกายตามตัวการ์ตูนหรือคอสเพลย์ในโลกยุคศตวรรษที่ 21…และมันก็น่ารักไม่น้อยเลย… อย่างไรก็ตาม ในดวงตาของมันกลับมีประกายแสงสีแดงปรากฏขึ้นอยู่ตลอด เมื่อรวมเข้ากับท่าทางนั้นก็ทราบได้ว่าเด็กชายแมวตนนี้ไม่ได้เป็นมิตรเลยสักนิด

ส่วน ‘ชะนี’ นั้นหมายถึงชะนีแขนยาว อสูรเผ่าพันธุ์วานรอยู่ในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ดูไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ทว่าร่างกายของมันก็ปลดปล่อยสภาวะพลังที่ให้ความรู้สึกมืดมนหม่นหมองจนทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกอึดอัด

ส่วน*‘ลิ่นพงไพร’*คือชายที่สวมผ้าคลุมสีดำ ทั่วทั้งสรรพางค์กายนั้นซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ผืนผ้าคลุมขนาดใหญ่ นอกจากศีรษะในร่างมนุษย์แล้วก็ไม่มีส่วนไหนโผล่ออกมาให้เห็น กลิ่นอายของมันดูแปลกประหลาดและทำให้ผู้คนรู้สึกขยะแขยง อีกทั้งดวงตาก็เจือแววมัวหม่นไม่ต่างจากพวกพ้องแม้แต่น้อย

“หงส์แดง มนุษย์น้อยผู้นี้ดูเหมือนจะมีพลังด้อยกว่าพวกเรามาก ที่บอกว่านางสามารถไขความลับของที่นี่ได้คงจะเป็นแค่ความกลับกลอกของเจ้าใช่หรือไม่ ?”

ลิ่นพงไพรกล่าวหา

“ข้าว่าเจ้าคงอยากจะออกจากป่าแห่งนี้มากล่ะสิ ถึงได้ลดตัวลงไปทำพันธสัญญากับมนุษย์ เมื่อถูกผู้อื่นล่วงรู้ก็เสแสร้งแกล้งกล่าวว่าพยายามจะสร้างประโยชน์ให้ทุกคน”

วิฬารหางสั้นคือผู้ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดศึกอย่างดุเดือดกับหงส์แดงมาแล้ว มันสาดถ้อยคำเสียดแทงอีกฝ่าย เจตนาเป็นปรปักษ์อย่างไม่ซ่อนเร้น

ชะนีแขนยาวไม่กล่าวสิ่งใด มันแค่มองดูหงส์แดงด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้

“หึ พวกเจ้าอยากจะคิดอย่างไรก็เชิญ”

หงส์แดงกล่าวโต้พลางใช้หางตามองอดีตสหาย อสูรสาวไม่สนใจวาจาว่าร้ายเหล่านั้นแม้แต่น้อย

ดูเหมือนว่าการที่มันมาที่นี่พร้อมกับฉินอวี้โม่จะดึงดูดความสนใจของอสูรตนอื่น แต่ไม่ว่าอย่างไรอสูรตระกูลหงส์ก็ไม่ขอสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ขอเพียงมันสามารถทำลายผนึกของดินแดนต้องห้ามลงไปได้ เมื่อถึงเวลานั้นสหายทุกตนก็จะเข้าใจเจตนาอันจริงแท้ของมันเอง

“นายหญิง เข้าไปกันเถิด อย่าไปใส่ใจเจ้าพวกนี้เลย ตอนนี้เราเสียเวลามามากแล้ว”

หงส์แดงสะบัดศีรษะ อสูรในร่างโฉมนารีเชิดหน้าไม่หันไปมองภูผาทมิฬและอสูรตนอื่นอีก มันหันไปกล่าวกับฉินอวี้โม่เพื่อเชิญชวนให้เข้าไปด้านในของถ้ำ

ในตอนนี้จิตใจของภูผาทมิฬและอสูรอีกสามตนกำลังถูกพลังบางอย่างครอบงำอยู่ ไม่ว่ากล่าวสิ่งใดออกไปในตอนนี้ พวกนั้นก็ไม่รับฟังแถมยังโต้เถียง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นการเจรจามากความก็รังแต่จะเปลืองน้ำลายและเสียเวลาเปล่า

“ฮ่า ๆ ๆ อยากจะเข้าไปอย่างนั้นรึ ฝันไปเถอะ !”

ภูผาทมิฬแค่นหัวเราะ มันและอสูรอีกสามตัวพุ่งเข้าไปขวางทางฉินอวี้โม่และหงส์แดงอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าไม่เชื่อว่าข้าสามารถทำลายผนึกนี้ได้อย่างนั้นรึ ?”

ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ที่เงียบมานานก็กล่าวขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เชื่อ แล้วเหตุใดต้องมาขัดขวางพวกเราไว้ด้วย ? หากข้าไม่สามารถคลายผนึกได้ อย่างไรพวกเจ้าก็ไม่เสียหาย มากที่สุดก็มีแต่ข้าที่ต้องตาย โอ๊ะ ! หรือว่าพวกเจ้ากำลังกลัวอะไรอยู่ ?”

นางรู้สึกว่าการกระทำของภูผาทมิฬและพรรคพวกของมันไม่ปกติ พวกมันดูคล้ายไม่ยินดีอย่างมากที่จะให้ฉินอวี้โม่กับหงส์แดงเข้าไปข้างในถ้ำ อสูรทั้งสี่ทำราวกับหวาดหวั่นว่าพวกนางจะค้นพบความลับซ่อนเร้นหรือเรื่องราวสำคัญที่พวกมันปกปิดไว้ แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าอสูรเหล่านี้เกรงกลัวสิ่งใดอยู่

“น่าขำ ! พวกเราเนี่ยหรือจะกลัว ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ภูผาทมิฬก็แค่นเสียงโต้ก่อนจะกล่าวต่อ “พวกเราแค่กลัวว่าหงส์แดงอาจจะสมคบคิดกับมนุษย์เพื่อทำลายล้างป่าแห่งนี้เท่านั้น !”

“อย่าบ้าให้มันมากนักนะภูผาทมิฬ หากจะมีผู้ใดมีความคิดจะทำลายล้างที่นี่ได้ ก็สมควรเป็นเจ้าเสียมากกว่า  !”

หงส์แดงจ้องมองภูผาทมิฬด้วยสายตากรุ่นโกรธ

“ช่างครึกครื้นกันจริง ๆ เลยนะ !”

เสียงแหบห้าวเสียงหนึ่งดังมา ในตอนนั้นเองที่อสูรในร่างมนุษย์อีกตนปรากฏกายขึ้นไม่ไกลจากร่างของกระเรียนขาวบรรพกาล

อสูรตนนี้มีรูปลักษณ์เป็นบุรุษร่างกำยำสูงใหญ่ ผมยาวสีแดงเข้มเด่นชัดและพลิ้วไสว ดูไปแล้วก็น่าจะเป็นผู้ที่มีบรรยากาศรอบกายเร่าร้อนรุนแรง ทว่ามันกลับปลดปล่อยสภาวะพลังแสนหนาวเหน็บออกมา

มันคือจักรพรรดิอสูรสวรรค์ตัวที่เจ็ดแห่งป่าต้องห้าม มีนามเรียกขานว่า ‘คชสารโลหิต’

เวลานี้อสูรผู้ยิ่งใหญ่และทรงพลังทั้งเจ็ดแห่งดินแดนต้องห้ามได้เผยโฉมหน้าออกมาจนครบทั้งหมดแล้ว