ตอนที่ 672

Elixir Supplier

672 ใช้ประโยชน์

 

ซูเสี่ยวซวีตามเข้าไปหาเขาที่ลานบ้าน เธอนั่งเงียบๆอยู่ข้างหวังเย้าและมองดูเขาต้มยา เขาใส่สมุนไพรลงไปในหม้อทีละต้นๆ มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาทำยาใกล้ๆแบบนี้

 

“หมอคะ นี่คือยาอะไรเหรอ แล้วเอาไว้ทำอะไร?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เธอรู้จักสมุนไพรกี่ชนิดล่ะ?” หวังเย้าถาม

 

“ก็พวกโสม, หลินจือ, แล้วก็โก่วฉี” ซูเสี่ยวซวีรู้แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น

 

“ในนี้คือ เชี่ยนฉือกับซิลเวิร์ธ” หวังเย้าได้ข้ามสมุนไพรรากสองชนิดไป ซึ่งก็คือ กุยหยวนกับชานจิง “มันคือซุเป่ยหยวน ที่เธอเองก็เคยกินมาแล้วเหมือนกัน มันมีไว้เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกาย แล้วก็ได้ผลดีในคนที่ป่วยหนักด้วย”

 

นี่เป็นยาตัวแรกที่เขาไว้สำหรับชายชรา ก่อนหน้านี้ เขาได้เคยมอบสูตรยาที่มีสรรพคุณคล้ายกันกับพวกเขา แต่มันก็ไม่ดีเท่ากับสูตรของระบบ มันยังรวมสมุนไพรรากเอาไว้ถึงสองชนิดด้วยกัน สูตรยานี้ถือเป็นหนึ่งในสูตรยาที่เขาใช้บ่อยที่สุด ในช่วงแรก เขาใช้มันกับทุกโรคร้ายแรงและโรคที่รักษาได้ยาก

 

“หมอคะ หมอช่วยสอนฉันทำยาได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

เขามีความเชี่ยวชาญในด้านนี้มาก การทำยานั้นมีขั้นตอนของมันอยู่อย่างชัดเจนและต้องขึ้นอยู่กับความรู้และคุณภาพของสมุนไพรที่เลือกมา, การจัดเตรียม, เวลาในการใส่สมุนไพร, การควบคุมอุณหภูมิ, การดูสีและกลิ่นของตัวยา, ระยะเวลาในการต้ม, และยาที่ต้มนานเกินไป

 

“หมอเรียนจบปริญญาด้านชีววิทยามาใช่ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ใช่ หลังจากเรียนจบ ผมก็ได้มาเรียนเรื่องพวกนี้ด้วยความบังเอิญน่ะ” หวังเย้าพูด

 

“คุณเรียนมาจากใครเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวี รวมไปถึงทุกคนที่รู้ถึงความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของหวัวเย้า ล้วนแล้วแต่สงยสัยในเรื่องนี้กันทั้งนั้น

 

“จากสวรรค์” หวังเย้าชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

ซูเสี่ยวซวียิ้ม

 

“จริงๆนะ เชื่อผมสิ” หวังเย้าพูด

 

“ฉันเชื่อคุณค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เขาใช้เวลาตลอดทั้งเช้าไปกับการต้มยาตัวแรก ด้วยพลังฉีที่เบาบาง ซึ่งต่างจากพลังฉีในจุดที่ตั้งของค่ายกลรวมวิญญาณ และหม้อต้มยาที่ไม่ใช่หม้ออเนกประสงค์ จึงทำให้คุณภาพของตัวยาลดลงไป

 

“เรียบร้อย” หวังเย้าพูด

 

ซูเสี่ยวซวีสูดดมกลิ่นของตัวยา “กลิ่นมันแปลกๆนะคะ

 

“ก็มันเป็นกลิ่นของยาน่ะสิ” หวังเย้าพูด “ยาทุกตัวชอบมีกลิ่นแปลกๆอยู่แล้ว”

 

“หมอบอกความแตกต่างของมันได้ไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ถ้าเป็นสูตรยาของผมเองก็ไม่มีปัญหา” หวังเย้าพูด “แต่ถ้าเป็นสูตรยาของคนอื่นละก็ ผมก็พอจะจำได้บ้าง ขอแค่ได้เห็นมันสักครั้ง”

 

“เสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ผมยังต้องทำยาอีกตัวหนึ่ง” หวังเย้าตอบ

 

“จะเริ่มตอนนี้เลยไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“รอก่อน” หวังเย้าพูด

 

หลังจากตัวยาเย็นลงแล้ว หวังเย้าก็ใช้ผ้าขาวบางกรองเศษสมุนไพรออกไป แล้วล้างหม้อจนสะอาด เขาทำทุกอย่างเสร็จในตอนสิบเอ็ดโมง

 

“จะอยู่กินข้าวที่นี่ไหมคะ?” เฉินหยิงถาม

 

“ครับ ขอโทษที่ต้องรบกวนนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ให้ฉันช่วยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“คุณหนูไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ ฉันทำเองได้” เฉินหยิงไม่สามารถห้ามไม่ให้ซูเสี่ยวซวีเข้าห้องครัวได้

 

เมื่ออยู่ในห้องครัว ซูเสี่ยวซวีก็แอบกระซิบถามว่า “พี่หยิง ช่วยสอนฉันทำอาหารหน่อยได้ไหมคะ?”

 

เฉินหยิงมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดออกมาว่า “เอ่อ ก็ได้ค่ะ” ในตอนที่ทำอาหารอยู่นั้น เธอก็อธิบายเกี่ยวกับวัตถุดิบและเครื่องปรุงต่างๆให้ซูเสี่ยวซวีฟังไปด้วย

 

ซูเสี่ยวซวีแทบจะไม่รู้เรื่องในครัวเลยสักอย่าง เวลาอยู่ที่บ้าน เธออยากจะลองทำอาหารดู แต่ซงรุ่ยปิงกับซูเซี่ยงฮวาก็ห้ามเอาไว้ พวกเขาเลี้ยงดูเธอราวกับเจ้าหญิง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ลองทำเลย

 

“หมอหวังชอบกินอะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เอ่อ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่รู้สึกว่า เขาน่าจะชอบอาหารลู่กับฮวยหยางนะคะ” เฉินหยิงพูด เวลาที่เขามาพักที่กระท่อม เธอมักจะทำอาหารประเภทนี้ให้เขาทานบ่อยๆ

 

เฉินหยิงได้ทำอาหารอย่างช้าๆเพื่อให้ซูเสี่ยวซวีได้ดูด้วย และในเวลาเดียวกัน เธอก็ยังอธิบายในสิ่งที่เธอทำแต่ละอย่างไปด้วย

 

เมื่ออาหารทุกอย่างถูกทำออกมาเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ยกอาหารไปวางไว้บนโต๊ะ บางอย่างเป็นอาหารเบาๆที่ทำโดยซูเสี่ยวซวี ซึ่งเป็นอาหารที่สามารถทำได้ง่ายๆ

 

หลังจากทานอาหารเสร็จ ทั้งหมดก็แยกกันไปนอนพัก

 

หวังเย้าเริ่มลงมือต้มยาตัวที่สอง

 

“นี่คืออะไรเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ยาแก้ปวด” หวังเย้าพูด “มันมีหน้าที่หลักในการบรรเทาความเจ็บ อาการของคุณหวูอยู่ในระยะสุดท้ายแล้ว โรคได้กระจายไปตามเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายของเขา ซึ่งมันจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานจนทนไม่ไหวเลยล่ะ”

 

ตัวยาดูธรรมดา แต่ผลของมันสามารถรักษาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

 

“เราไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรหลายตัว” หวังเย้าพูด

 

“หู่ซัว, ป่ายจื๋อ, กานเฉา,…”

 

“ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก เขาดีกับฉันมากเลย” ซูเสี่ยวซวีพูด “เขามักจะใจดีอยู่เสมอเลยล่ะค่ะ”

 

“จริงเหรอ? เขาชอบเด็กผู้หญิงมากเลยเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ค่ะ เขามีหลานชายหลายคนมาก แต่ไม่มีหลานสาวเลยสักคน” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

หลังจากผ่านไปได้ไม่นาน ตัวยาก็ได้ที่แล้ว “ไปที่บ้านตระกูลหวูกันเถอะ” หวังเย้าพูด

 

ซูเสี่ยวซวีไปที่บ้านตระกูลหวูพร้อมกับหวังเย้า

 

“ยาสองตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้กินยาตัวนี้ก่อนนะครับ เพื่อช่วยลดอาการเจ็บปวดภายในร่างกาย ส่วนตัวนี้จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกายครับ” หวังเย้าส่งยาทั้งสองตัวให้กับคนของตระกูลหวู

 

“ได้ครับ ขอบคุณมาก” คนตระกูลหวูพูด

 

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีอยู่ที่บ้านตระกูลหวูต่อ หลังจากชายชรากินยาผ่านไปได้ประมาณ 20 นาที หวังเย้าก็ตรวจดูอาการของเขา

 

“รู้สึกยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม

 

“มันไม่ได้เจ็บมากแล้ว” ชายชราพูด

 

“ดีครับ นี่เป็นยาตัวที่สองนะครับ” หวังเย้าพูด มันคือซุปเป่ยหยวน มันเป็นตัวยาที่มีฤทธิ์อ่อน ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรฤทธิ์ แต่ถูกสรรพคุณของกุยหยวนปรับเปลี่ยนให้อ่อนลง

 

หลังจากดื่มยาเข้าไปแล้ว ชายชราที่นอนอยู่บนเตียงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขารู้สึกสบายตัวขึ้นมาก เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บมากเหมือนทุกทีและผ่อนคลายได้บ้างเล็กน้อย เขายังไม่รู้สึกง่วงนอนเหมือนทุกทีอีกด้วย

 

“พ่อรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” ลูกชายคนหนึ่งของชายชราถาม

 

“สบายขึ้นมากเลยล่ะ” ชายชราพูด

 

ทุกคนในครอบครัวของเขาต่างรู้กันดีว่า โรคของเขานั้นเกินเยียวยาแล้ว พวกเขาจึงหวังแค่ว่า จะสามารถช่วยยืดอายุของเขาและบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาได้บ้างก็ยังดี

 

หวังเย้านั่งอยู่ที่ข้างเตียงและจับชีพจรของชายชราไว้

 

“โอเค ให้เขาพักได้ครับ” หวังเย้าส่งพลังฉีเข้าไปในร่างกายของชายชรา ด้วยฤทธิ์ของยาทั้งสองตัว ทำให้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน “นี่คือทั้งหมดของวันนี้นะครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะกลับมาใหม่”

 

“ขอบคุณครับ หมอหวัง” ลูกชายคนหนึ่งของชายชราพูด

 

แม้งานจะยุ่งแค่ไหน แต่หวูถงชิ่ก็ยังคงเลือกที่จะเดินออกไปส่งหวังเย้าและซูเสี่ยวซวีที่ประตูบ้าน เขาอยากจะเลี้ยงข้าวพวกเขาด้วย แต่ก็ถูกบอกปัดไป

 

ทันทีที่พวกเขาเดินออกมาจากบ้านตระกูลหวู ชายชราคนหนึ่งก็เข้ามาหาหวังเย้าและซูเสี่ยวซวี

 

“สบายดีไหมคะ หมอเฉิน?” ซูเสี่ยวซวีทักเขา

 

“สบายดี เสี่ยวซวี เธอสวยขึ้นทุกวันเลยนะ” ชายชรามองดูซูเสี่ยวซวีด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู เขาสานสัมพันธ์กับตระกูลไว้ในอย่างเหนียวแน่นและมองเธอเหมือนหลานสาวคนหนึ่งของเขา ตอนที่เธอป่วย เขาก็คอยเป็นห่วงเธออยู่เสมอ

 

“สวัสดีครับ หมอเฉิน มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?” หวังเย้าถาม

 

“มีบางอย่างที่ฉันจำเป็นต้องคุยกับเธอน่ะ” หมอเฉินพูด “เธอพอจะช่วยไปดูคนไข้คนหนึ่งให้ฉันได้ไหม?”

 

“คนไข้? ใครเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

เขารู้ความสามารถของชายชราดี เขาถือเป็นระดับแนวหน้าของประเทศคนหนึ่ง และยังมีประสบการณ์ในการรักษามากกว่าหวังเย้าหลายเท่า ดังนั้น หวังเย้าจึงพอจะเดาได้ว่า คนไข้รายนี้จะต้องป่วยด้วยโรคที่หมอเฉินไม่สามารถรักษาได้เองอย่างแน่นอน

 

“อืมม มันอธิบายยากน่ะ” หมอเฉินพูด

 

“เวลานี้คงจะไม่เหมาะเท่าไหร่มั้งครับ” หวังเย้าพูด

 

มันเป็นเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ซึ่งเป็นเวลาทานอาหารเย็น และที่มากไปกว่านั้น การพบหมอตอนเย็นเป็นเรื่องไม่มงคลสักเท่าไหร่ในความเชื่อของคนจีน

 

“อาการของเขาวิกฤตมากเลยน่ะสิ” หมอเฉินพูด

 

หวังเย้าหันหน้าไปหาซูเสี่ยวซวี “เธอว่ายังไง?”

 

“แล้วแต่หมอเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดอย่างเข้าใจ

 

“ก็ได้ งั้นไปดูเขากัน” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาตามหมอเฉินไปที่บ้านคนไข้ ขนาดยังไม่ได้เข้าไปในตัวบ้าน พวกเขาก็ได้กลิ่นยาเข้มข้นลอยออกมาแล้ว

 

“มันเป็นยาสมุนไพรจีนที่มีฤทธิ์เย็นเพื่อช่วยในการขับพิษ” หวังเย้าพูด เขาสามารถบอกยาที่คนไข้ใช้ได้จากการดิมกลิ่น

 

หมอเฉินเคาะประตู มีหญิงใบหน้าซีดเซียวอายุประมาณ 50 เปิดประตูออกมา เธอดูเหนื่อยล้าอย่างมาก