ตอนที่ 673

Elixir Supplier

673 คนดีมักมีโชค

 

“สวัสดีค่ะ ลุงเฉิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนแรง

 

เธอดูเหนื่อยมากเลยนะ” เฉินโจวฉวนพูดพร้อมถอนหายใจ

 

หลังจากที่เธอเปิดประตูออกมา กลิ่นของตัวยาก็เข้มข้นมากขึ้นไปอีก และฉุนจนแทบทนไม่ไหว

 

“เชิญเข้ามาข้างในก่อนสิคะ” เธอพูด

 

“นี่คือหมอหวัง คนที่ฉันเคยพูดให้เธอฟังก่อนหน้านี้ เขาจะมาดูอาการลูกชายของเธอให้” เฉินโจวฉวนพูดพร้อมชี้มือไปทางหวังเย้า

 

“โอ้ เยี่ยมไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอพูด

 

“ผมขอเข้าไปดูอาการคนไข้ก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน หวังเย้าก็พบว่า ภายในบ้านมีข้าวของเครื่องใช้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น

 

“ก่อนหน้านี้ พวกเขาเอาของทุกอย่างไปขายเพื่อเอาเงินมารักษาลูกชายของพวกเขาน่ะ” เฉินโจวฉวนพูดเสียวเบา

 

หวังเย้าเข้าไปดูคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง เขาเป็นชายที่ผอมจนเหลือแต่กระดูก ผมครึ่งหนึ่งของเขาหลุดร่วง ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเหลืองและดวงตาลึก เขาดูราวกับซากศพของคนตาย เมื่อมองไปที่เขา หวังเย้าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนไข้มีอายุได้เท่าไหร่แล้ว

 

ร่างกายของคนไข้เต็มไปด้วยกลิ่นของยาสมุนไพร เขาเกินเยียวยาแล้ว

 

“เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เขาเป็นแผลเรื้อรัง” เฉินโจวฉวนพูด

 

เขาบอกให้หญิงผู้เป็นแม่ของคนไข้นำผ้าคลุมบนตัวคนไข้ออก เพื่อให้หวังเย้าได้ดูร่างกายของคนไข้ แผลปรากฏอยู่บนท้องของคนไข้ ชิ้นเนื้อบนร่างกายของเขาเกิดการเน่าเสีย ร่างกายของเขามีกลิ่นเหม็นเน่า หวังเย้าสามารถมองเห็นเข้าไปถึงกระดูกของเขาได้เลย

 

“เขาเป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” หวังเย้าถาม

 

“สามเดือนกว่าแล้วล่ะ” เธอพูด

 

“ดูตรงนี้สิ หมอหวัง” เฉินโจวฉวนพูด

 

“ครับ ผมเห็นแล้ว” หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรมาก เขาจับดูชีพจรของคนไข้ “โชคดีที่เชื้อไม่ได้ลงลึกไปถึงกระดูกของเขา”

 

“คุณช่วยเขาได้ไหมคะ?” ผู้เป็นแม่ถาม

 

“ผมลองรักษาเขาดูได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

“เยี่ยมค่ะ” ผู้เป็นแม่พูด

 

“แต่ค่ายาแพงมากนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“เอ่อ…” เฉินโจวฉวนอยากจะพูดบางอย่างออกไป

 

“ฉันยินดีจ่ายค่ะ” แม่คนไข้พูด

 

“ฟังนะ ฉันจะเป็นคนจ่ายเงินค่ารักษาเอง” เฉินโจวฉวนพูด

 

“ไม่ได้หรอกค่ะ” แม่คนไข้พูด “ลุงเฉินช่วยเรามามากพอแล้ว”

 

“ไม่เป็นไรๆ เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว ฉันจะจ่ายค่ารักษาให้เม้าฉีเอง” เฉินโจวฉวนพูด “ฉันขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม หมอหวัง?”

 

“ตอนนี้ ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องยาหรอกครับ ขอผมฝังเข็มให้เขาก่อน” หวังเย้าพูด

 

เขาหยิบเข็มเงินออกมาและแทงลงไปตามส่วนต่างๆของร่างกายคนไข้ พร้อมส่งพลังฉีเข้าไปเพื่อช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินโจวฉวนได้เห็นหวังเย้ารักษาคนไข้ด้วยการฝังเข็ม เขาเฝ้ามองไม่คลาดสายตาและสนใจในทุกรายละเอียดของการลงเข็มและจุดต่างๆที่แทงเข็มลงไป

 

“อืมม ดี” เฉินโจวฉวนพูด

 

การฝังเข็มของหวังเย้าแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เฉินโจวฉวนไม่สามารถบอกได้ว่า เขาจะสามารถทำได้ดีกว่าหวังเย้าหรือไม่ และเขาก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมหวังเย้าถึงฝังเข็มลงไปในสองจุดนั้น

 

“ผมจะกลับไปเตรียมยานะครับ” หวังเย้าก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เขาฝังเข้มให้คนไข้เสร็จแล้ว

 

“ยาจะได้เมื่อไหร่เหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม

 

“พรุ่งนี้ครับ” หวังเย้าพูด

 

“ขอบคุณมากๆนะคะ” แม่ของคนไข้พูด

 

เธอเดินออกมาส่งหวังเย้า, ซูเสี่ยวซวี, และหมอเฉินที่ด้านล่าง

 

“เม้าฉีจะกลับมาเมื่อไหร่เหรอ?” เฉินโจวฉวนถาม

 

“ประมาณสองทุ่มค่ะ” เธอพูด

 

“บอกเขาว่า อย่าทำงานหักโหมจนเกินไปล่ะ” เฉินโจวฉวนพูด

 

“ได้ค่ะ” เธอพูด

 

“กลับเข้าไปในบ้านเถอะ เธอก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยเหมือนกันนะ” เฉินโจวฉวนพูด

 

เธอยังคงอยู่ที่เดิมไปจนกระทั่งไม่เห็นพวกเขาแล้วถึงกลับเข้าไปในบ้าน

 

“พวกเขาเป็นญาติของคุณหมอเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามเมื่อนั่งอยู่ในรถ

 

“ไม่ใช่หรอก ฉันแค่รู้จักกับพวกเขาโดยบังอฺญน่ะ” เฉินโจวฉวนพูด

 

“บังเอิญได้รู้จักงั้นเหรอครับ?” หวังเย้าถามด้วยความประหลาดใจ

 

การที่เฉินโจวฉวนดูจะใส่ใจคนไข้เป็นพิเศษ และยังยินดีจ่ายค่ารักษาให้พวกเขาอีก มันจึงทำให้หวังเย้าคิดว่าพวกเขาเป็นญาติสนิทกัน แต่ความจริงพวกเขาเป็นแค่คนรู้จัก จะเรียกว่าเพื่อนก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

“ฉันรู้จักกับพ่อของคนที่ป่วยอยู่น่ะ เขาเป็นคนที่นับถือมาก” เฉินโจวฉวนพูด

 

“ทำไมถึงได้นับถือเขาเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“เพราะสิ่งที่เขาได้ลงไปน่ะสิ ขนาดฉันยังไม่คิดจะทำเลย” เฉินโจวฉวนพูด พร้อมกับเล่าเรื่องราวของชายคนนั้น

 

จางเม่าฉีเป็นคนจิตใจดีมาก เขามีนิสัยชอบช่วยเหลือคน เขาให้เงินสนับสนุนการศึกษาของนักเรียนยากจนหลายคนมานานหลายสิบปี เขาได้บริจาคเงินช่วยเหลือไปถึง 156,000 หยวนเพื่อช่วยเด็กๆเหล่านั้น มันอาจจะไม่ใช่เงินมากมายอะไร แต่มันถือเป็นเงินจำนวนมากสำหรับคนอย่างจางเม้าฉี เพราะเขาไม่ได้มีรายได้มากมายอะไร

 

บนโลกใบนี้ หลายคนสามารถหาเงินได้เป็นล้านหรือแม้แต่พันล้านก็ยังมี แต่พวกเขากลับไม่คิดที่จะบริจาคเงินเพื่อสังคมเลยแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่ คนบางคนที่สามารถหาเงินได้แค่ไม่กี่พันหยวนกลับยินดีที่จะแบ่งเงินเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าเขา คนเรามีความคิดที่แตกต่างกันอย่างมาก

 

จากเรื่องที่เขาได้ยิน ทำให้หวังเย้าคิดว่า การที่คนทำดีกลับจบไม่สวย ในขณที่คนทำชั่วมากมายกลับมีชีวิตที่ดี มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

 

“ฉันก็เลยตัดสินใจช่วยเขาน่ะ” เฉินโจวฉวนพูด

 

หวังเย้าไม่ได้พูดอะไร หลังจากผ่านไปสักพัก  เขาก็ถามขึ้นมาว่า “เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงเหรอครับ?”

 

“เธอคิดว่าฉันโกหกอย่างนั้นเหรอ?” เฉินโจวฉวนถามด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นแค่ตาแก่คนหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปโกหกเธออยู่แล้ว”

 

“ก็จริงครับ” หวังเย้าพูด

 

เฉินโจวฉวนมาส่งพวกเขาในเวลาทุ่มกว่าไปแล้ว

 

“จะไปกินข้าวกันที่บ้านของฉันกันก่อนไหม?” เฉินโจวฉวนถาม “ภรรยาของฉันเตรียมไว้ให้แล้ว”

 

“ไม่ดีกว่า ขอบคุณนะครับ เราคงต้องไปแล้ว” หวังเย้าพูด

 

พวกเขากลับไปที่กระท่อม

 

“คุณยังคิดถึงเรื่องคนไข้คนนั้นอยู่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ใช่ เธอช่วยสืบให้หน่อยได้ไหม ว่าเรื่องที่หมอเฉินพูดมาเป็นความจริงรึเปล่า?” หวังเย้าพูด “ผมเชื่อหมอเฉินนะ แต่ก็ไม่อยากให้เขาถูกหลอก”

 

“ไม่มีปัญหาค่ะ เรื่องนี้ง่ายมาก” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เธอกดโทรออก และบอกกับคนที่อยู่ปลายสายให้สืบเรื่องของจางเม้าฉี ในตอนที่พวกเขากำลังทานอาหารกันอยู่นั้น คนที่ใช้ให้ไปสืบก็โทรกลับมา

 

“เรื่องที่หมอเฉินพูดเป็นความจริงค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“อืม ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะไม่คิดเงินค่ารักษาจากพวกเขาแม้แต่หยวนเดียว” หวังเย้าพูด เขาไม่สามารถปล่อยให้ครอบครัวของคนที่ดีแบบนี้ต้องทุกข์มานได้

 

“บางที คุณอาจจะเป็นคนที่พระเจ้าส่งมาเพื่อช่วยพวกเขาก็ได้นะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม

 

หวังเย้าหัวเราะ เขาได้เจอคนไข้ด้วยความบังเอิญ หรืออาจจะเป็นโอกาสที่พระเจ้ามอบให้เขาได้ช่วยคนที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ก็เป็นได้ เขาควรจะขอบคุณหมอเฉินที่มอบโอกาสดีดีแบบนี้ให้กับเขา

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาหวังว่า พระเจ้าจะบอกเรื่องที่พระองค์รู้ให้กับเขาบ้าง

 

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีอยู่คุยกันสักพัก ชูเหลียนเดินทางมารับซูเสี่ยวซวีกลับไปที่บ้าน หลังจากซูเสี่ยวซวีกลับไปแล้ว หวังเย้าก็เริ่มเตรียมสมุนไพรเพื่อทำยา

 

การรักษาแผลเน่าเปื่อยบริเวณกล้ามเนื้อ นั้นง่ายกว่าการรักษาในส่วนของอวัยวะภายในและกระดูกมาก หวังเย้าจำเป็นต้องขับพิษร้อนออกจากร่างกายของคนไข้ และรักษาแผลของเขา อย่างน้อยๆ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือการบรรเทาอาการเจ็บปวด และกระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อกับผิวหนังใหม่ขึ้นมา

 

เขาต้องใช้ยาสมุนไพรสองชนิดในการรักษาคนไข้ให้ได้ประสิทธิภาพ หนึ่งคือยาขับพิษ และอีกหนึ่งคือยาผงซ่อมแซมกล้ามเนื้อ

 

ยาขับพิษมีส่วนผสมก็คือ สมุนไพรแก้พิษหนึ่งใบ ในช่องเก็บของของเขายังมียาตัวนี้เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง เพราะการรักษาหลายๆครั้งที่ผ่านมา เขาไม่จำเป็นต้องเอามันออกมาใช้เลย

 

เขาปรับเปลี่ยนสูตรยาขับพิษโดยการเพิ่มสมุนไพรเข้าไปอีกสองชนิด เพื่อจะได้เข้าไปช่วยขับพิษและบรรเทาอาการเจ็บปวดไปด้วยในตัว เขานำใบปาเจียวทงครึ่งใบใส่ลงไปในหม้อในตอนที่ยาใกล้จะได้ที่แล้ว

 

หวังเย้าใช้เวลาทั้งคืนในการทำยาให้เสร็จ โชคดีที่เขาเก็บยาบางส่วนเอาไว้ในช่องเก็บของและนำติดตัวมาด้วย

 

เช้าของวันถัดมา หวังเย้าฝึกกังฟูอยู่ภายในสวน เฉินหยิงและเฉินโจวคอยเฝ้ามองเขาอยู่ ทั้งสองต่างพบว่า การเคลื่อนไหวของหวังเย้านั้นมีความพิเศษมาก บางครั้งเขาก็เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า และในบางครั้งเขาก็เคลื่อนไหวรวดเร็ว

 

หลังจากหวังเย้าฝึกเสร็จแล้ว เฉินหยิงก็เตรียมอาหารเช้าเสร็จอย่างรวดเร็ว

 

ขณะเดียวกัน ภายในบ้านตระกูบซู ซูเสี่ยวซวีเพิ่งจะทานอาหารเช้าเสร็จ

 

“วันนี้ ลูกลงมาเช้าจังเลยนะ” ซงรุ่ยปิงพูด “กินอีกสักหน่อยไหมจ๊ะ?”

 

“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ หนูอิ่มแล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ซูเสี่ยวซวีออกมาจากบ้านและตรงไปที่กระท่อมแต่เช้าตรู่ เมื่อเธอไปถึง หวังเย้าก็เตรียมสมุนไพรเสร็จเรียบร้อยและกำลังเริ่มต้มยาอยู่

 

“วันนี้เริ่มเร็วจังเลยนะคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“อื้ม ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการต้มยาน่ะ” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ในการต้มยานั้น ช่วงเวลาและสถานที่เป็นสิ่งสำคัญมาก หวังเย้าเลือกต้มยาในตอนเช้า ก็เพราะเขาต้องการเพิ่มพลังที่มีในช่วงเวลานี้เข้าไปในตัวยาด้วย

 

“นี่เป็นยาตัวเดียวกับที่คุณทำเมื่อวานรึเปล่าคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ใช่ นี่คือ ซุปเป่ยหยวน” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าทำยาตัวนี้ขึ้นมาก็เพื่อต้องการเสริมความแข็งแรงให้กับจางอันจิ้ง ซึ่งร่างกายของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก และเขาก็จำเป็นต้องกินซุปเป่ยหยวนอย่างต่อเนื่องด้วย

 

“ยาตัวนี้แพงมากไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“แพง แพงมากด้วย” หวังเย้าตอบ

 

“มันราคาเท่าไหร่เหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเพื่ออะไรด้วย” หวังเย้าพูด “ถ้านำยาตัวนี้ให้กับคนดีแบบจางเม้าฉี ผมก็ไม่คิดเงินสักหยวน แต่ถ้าเป็นคนไม่ดีหรือไม่ได้ต้องการยาจากผมจริงๆ ผมก็จะไม่ให้เลย ไม่ว่าคนพวกนั้นจะเสนอเงินให้มากแค่ไหนก็ตาม”

 

“มีคนอยู่หกประเภทที่ผมจะไม่ยอมรักษาให้” หวังเย้าพูดเสริมเสียงเบา

 

ยาที่อยู่ภายในหม้อเริ่มเดือดแล้ว หวังเย้าเติมฟืนเข้าไปเป็นครั้งคราว เขาต้วยาในตอนเช้าเพียงตัวเดียวเท่านั้น

 

“คุณจะทำยาอีกตัวไหมคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“จริงๆแล้วต้องบอกว่าสอง ผมเตรียมเสร็จไปแล้วหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งผมจะต้มมันตอนบ่ายหรือไม่ก็ตอนกลางคืน” หวังเย้าพูด

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มันเป็นวันที่สดใส พระอาทิตย์ส่องแสงเจิ้ดจ้าและร้อนราวกับถูกเผา “ตอนนี้ มันร้อนเกินไป”

 

“เวลาจะต้มยาที ทำไมคุณต้องสนใจเรื่องอากาศด้วยล่ะคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ผมใส่ใจทั้งเรื่องอากาศ, สถานที่, และคนอยู่ตลอด” หวังเย้าพูด “ผมสามารถต้มยาสำหรับขับพิษเย็นออกจากร่างกายมนุษย์หรือเสริมพลังหยางได้ในเวลานี้ เพราะเป็นช่วงที่พลังหยางของโลกเข้มข้นที่สุด แต่ถ้าผมจะทำยาสำหรับขับพิษร้อนหรือเสริมพลังหยิน ตอนนี้ มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม ผมควรทำในตอนบ่ายแก่ๆ หรือไม่ก็ตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่พลังหยินเข้มข้นที่สุด”