ตอนที่ 141 ค้นเรือ (4)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

ถึงอย่างไรเหมยซูก็มีป้ายประกาศิตหงส์ทองในมือ พระพันปีไม่ค่อยโปรดปรานใต้เท้าเชียนจ่งคนนี้นัก แม้คนนอกจะไม่รู้ แต่เขาที่เป็นคนตระกูลโจวจะมากหรือน้อยก็ต้องได้ยินมาบ้าง

 

 

บวกกับครั้งนี้ ตูกงจงใจโยนกองคั่นเฟิงออกไปเป็นแพะรับบาป ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังเป็นบัญชาของพระพันปีหรือไม่

 

 

โจวอวี่นึกด่าตนเองที่งี่เง่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่จับจ้องหลังศีรษะของชิวเยี่ยไป๋พลางเขม้นใส่

 

 

เหมยซูอย่างเดือดดาล

 

 

ต้องโทษไอ้พ่อค้าเจ้าเล่ห์ที่ใช้คำพูดทำเอาตนตกหลุมพรางจนได้!

 

 

ดูเหมือนเหมยซูจะไม่รับรู้ความโกรธขึ้งของโจวอวี่ เพียงยิ้มน้อยๆ แลดูชิวเยี่ยไป๋ “แม้ใต้เท้าจะมิได้บอกข้า แต่ข้ากลับรู้สึกได้ว่าอีกไม่กี่วันใต้เท้าจะจากไป จะว่าไปแล้วคงเพราะเรามีกระแสจิตถึงกันกระมัง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ลอบร้องหึในใจ กระแสจิตบ้าบออะไรกัน เจ้าคุณชายใหญ่เหมยน่าจะมีสายสืบอยู่ในซือหลี่เจียน ในเมื่อเป็นข้าทาสในกรมกองย่อมรู้ว่านางจะเดินทางวันนี้เป็นธรรมดา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวอย่างไม่เกรงใจนักว่า “คุณชายใหญ่เหมยพูดถูก ถ้าวันนี้ท่านเพียงมาส่งข้า ข้าก็ขอบคุณในไมตรีจิต บัดนี้ท่านก็ได้พบแล้ว จงกลับไปเถิด พวกเราจะรีบเดินทาง”

 

 

สายตาของเหมยซูกวาดไปห้องท้องเรือด้านหลังคล้ายไม่ตั้งใจ เห็นชิวเยี่ยไป๋ยืนบังสายตาพอดี เขาจึงยิ้มอย่างจนใจว่า “เหมยซูรู้ว่าใต้เท้ารีบ จึงขอบอกความจริง ถ้าจะว่าวันนี้เหมยซูมาส่งคนสู้บอกว่ามาหาคนจะถูกต้องมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าละอายในครอบครัว ยังหวังว่าใต้เท้าจะอนุญาตให้เหมยซูเข้าไปคุยในห้อง”

 

 

ขณะเหมยซูกล่าววาจาเหล่านี้ คิ้วดกหนาย่นเข้าหากัน ใบหน้าคมสันฉายแววเสียใจและจนใจราวหมอกจางๆ ที่ทำให้คนผู้ยากจะตัดใจปฏิเสธเพราะนั่นเป็นสิ่งเกินไป

 

 

ชิวเยี่ยไป๋รู้สึกนับถือพี่น้องคู่นี้จริงๆ แม้คนหนึ่งจะไร้เดียงสาเอาแต่ใจ อีกคนกลับลึกซึ้งเจนโลก แต่การรู้จักฉวยโอกาสใช้สอยผู้อื่นเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวกลับเป็นพิมพ์เดียวกัน

 

 

นางคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เข้ามาเถิด”

 

 

เหมยซูเข้าไปในห้องเหลียวมองรอบๆ ยิ้มให้ชิวเยี่ยไป๋กล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าใต้เท้าจะเรียบง่ายเช่นนี้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางที่เป็นธรรมชาติ แต่รู้ดีว่าพอเขาเข้าไปในห้องก็ลอบสังเกตทุกซอกทุกมุมที่ซุกซ่อนได้อย่างรวดเร็วและไร้พิรุธ

 

 

คนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ

 

 

นางแย้มยิ้มแล้วนั่งลงริมหน้าต่าง “ก็แค่ที่พักชั่วคราว เรียบง่ายหน่อยไม่ดีหรือไร”

 

 

นางหยุดลงแล้วถามอย่างสงสัยว่า “เอ้อ แล้วเรื่องที่คุณชายใหญ่เหมยพูดถึงคือเรื่องอะไรกันแน่”

 

 

เหมยซูถอนใจเฮือกใหญ่ “ใต้เท้าคงไม่รู้ เหมยซูมีน้องสาวคนเดียว ที่ผ่านมาตามใจนางมาตลอด นึกไม่ถึงว่าพลัดตกน้ำคราวนั้นถูกใต้เท้าช่วยชีวิตไว้ นางก็เหมือนโดนผีสิง ไม่รู้เป็นอะไร พูดจาไม่รู้เรื่องทั้งวัน คิดว่าคงเพราะตอนตกน้ำโดนปีศาจเข้าสิงกระมัง”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้าทำท่าเหมือนตกใจ “อ้อ แล้วตอนนี้คุณหนูใหญ่ดีขึ้นบ้างไหม”

 

 

เหมยซูส่ายหน้ามองดูนางอย่างจนใจ “วันนี้คนรับใช้ที่คอยเฝ้านางไว้ไม่ทันระวัง ปล่อยให้นางหนีออกจากบ้าน ตลอดทางมีคนเห็นนางมาทางนี้ และเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะลงเรือลำใดลำหนึ่ง เหมยซูกังวลมาก น้องสาวข้ายังไร้เดียงสา ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาคงย่ำแย่”

 

 

เขาหยุดลงแล้วฝืนยิ้ม “นางเป็นดรุณี เหมยซูจึงมิอาจป่าวประกาศหาคน เพราะจะทำให้เสียชื่อเสียง จึงต้องใช้วิธีนี้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูเขาอย่างประหลาดใจ แล้วพยักหน้าหงึกๆ เหมือนเข้าใจ “ข้าเข้าใจความหมายของคุณชายใหญ่เหมยแล้ว หากท่านคิดว่านางซ่อนอยู่ในเรือข้า ก็เชิญค้นเถิด เรื่องนี้ข้าตัดสินใจได้”

 

 

เหมยซูเคยได้บทเรียนจากคำพูดที่แสนจะตรงไปตรงมา แต่กลับทำให้คนสำลักวาจาจนติดคอตายได้มาแล้ว แต่พอนางพูดตรงๆ อย่างเปิดเผยเช่นนี้ เหมยซูยังคงรู้สึกรับไม่ได้ และแล้วจึงครุ่นคิดความนัยของคำพูดตามนิสัยช่างระแวงของตน

 

 

แต่เห็นชิวเยี่ยไป๋ท่าทางจริงใจเปิดเผยเช่นเดิม ดูแล้วไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เขาจึงยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ขอบพระคุณใต้เท้าที่เห็นใจ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกคิ้วและยิ้มตอบอย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องขอบคุณ และข้าก็มิได้เห็นใจท่าน เพียงแต่ถ้าข้าไม่ตอบตกลงแล้วท่านชูป้ายประกาศิตหงส์ทอง ข้ายังต้องให้ท่านค้นเรืออยู่นั่นเอง จึงสู้ตอบตกลงเองจะดีกว่า ต่างฝ่ายต่างรักษาหน้ากันไว้ จะปล่อยให้ท่านทำจนข้าอยากจะฉีกท่านเป็นชิ้นๆ และท่านอยากถีบข้าลงน้ำ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มใส่กันกระนั้นหรือ”

 

 

ไม่ผิด หลักการก็คือหลักการ ความจริงแล้วคำพูดที่เกรงอกเกรงใจกัน เนื้อแท้ก็ตรงไปตรงมาเช่นนี้เอง เพียงแต่ระหว่างคนกับคนมักชอบพูดกันดีๆ ถือว่าให้หน้าอีกฝ่าย โดยเฉพาะคนที่เคยเรียนตำรับตำรา ถ้าไม่โกรธแค้นถึงขนาดอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันมิได้ ย่อมไม่กล่าววาจาหยาบคายหรือฉีกหน้ากัน

 

 

ยังไม่ต้องพูดถึงเหมยซูที่ถูกคำพูด ‘ตรงไปตรงมา’ ของนางตอกใส่จนแทบสำลักตาย แม้แต่โจวอวี่ก็มองดูชิวเยี่ยไป๋อย่างนิ่งงัน

 

 

ใต้เท้าของตนหยาบกร้านถึงขนาดชักดาบฟันคนทันทีเชียวหรือ

 

 

แต่สีหน้าท่าทางของชิวเยี่ยไป๋จริงใจเป็นที่สุด ทั้งนุ่มนวลทั้งเปิดเผย ทำเอาเหมยซูนอกจากจิตใจสับสนเป็นที่สุดแล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งไม่เข้าใจบุรุษเยาว์วัยที่อยู่เบื้องหน้านี้

 

 

หยาบคาย ตรงไปตรงมา?

 

 

กลอกกลิ้ง ลึกซึ้ง?

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ไม่นำพาว่าเขาคิดอย่างไร เพียงชี้ไปทั่วเรือ “เอาล่ะ คุณชายใหญ่เหมยค้นเลย และเพื่อไม่ให้เป็นที่ต้องสงสัย ข้ากับคนของซือหลี่เจียนทั้งหมดจะขึ้นฝั่งก่อน”

 

 

เหมยซูกำลังจะบอกอย่างเกรงใจว่าไม่ต้อง แต่ชิวเยี่ยไป๋เดินออกไปแล้วอย่างมิลังเล โจวอวี่มองเขาอย่างเย็นชาแล้วหันกายตามชิวเยี่ยไป๋ไป

 

 

เหมยซูนั่งอยู่ในห้องคนเดียว บอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร

 

 

เห็นเงาหลังของนางไกลออกไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นสั่งคนข้างกายเบาๆ “ค้นให้ทั่ว ตรงไหนที่ซ่อนคนได้อย่าละเว้น รวมทั้งช่องระหว่างท้องเรือด้วย”

 

 

“ขอรับ!” หัวหน้าคนเสื้อเขียวประสานมือรับคำอย่างนอบน้อม

 

 

อีกด้านหนึ่ง ชิวเยี่ยไป๋พาคนของซือหลี่เจียนรวมทั้งลูกเรือไปยืนรอที่กราบเรือ

 

 

โจวอวี่สีหน้าไม่พอใจ “ใต้เท้า ทำไมจึงปล่อยให้ไอ้เหมยซูเหิมเกริม มันถือดีอย่างไรมาค้นเรือ”

 

 

“ข้าไม่ได้ปล่อยเขา เมื่อครู่นี้ข้าบอกไปแล้วยังฟังไม่เข้าใจอีกหรือ เช่นนั้นไปไหวหนานครั้งนี้เจ้าไม่ต้องไปแล้วกัน” ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ

 

 

โจวอวี่ฟังแล้วรีบหุบปาก เขาย่อมรู้ดีว่าคำพูดแหลมคมทิ่มแทงที่ชิวเยี่ยไป๋พูดเมื่อกี้เป็นความจริง แม้ตระกูลเหมยจะเป็นเพียงพ่อค้าแต่ในมือมีป้ายประกาศิตหงส์ทองอยู่ มิใช่พวกเขาที่เป็นซือหลี่เจียนหน่วยงานกระจอกงอกง่อยจะตอแยได้