ตอนที่ 142 เล่ห์ร้าย (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

“ใต้เท้า เมื่อครู่ข้าน้อยบุ่มบ่ามเกินไป ทำงานไม่รอบคอบพอ” โจวอวี่กล่าวอย่างละอายใจ

 

 

ผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าตนเองถูกคำพูดไม่กี่คำของเหมยซูชักนำเข้าสู่กับดัก

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้ามิได้ตำหนิ เพียงกล่าวเนือยๆ ว่า “เจ้าประสบการณ์ยังน้อย เหมยซูอยู่ในวงการค้าและราชการมานาน มิใช่คนที่เจ้าจะรับมือได้ แต่วันหน้าวันหลัง จะพูดจากับใครต้องใช้สมองบ้าง”

 

 

โจวอวี่อายจนแทบมุดดินหนี เขามักโอ้อวดว่าตนเองฝีปากกล้า แต่ดูจากวันนี้แล้ว ก็แค่เขายังมิได้เจอะเจอยอดฝีมือ หรือไม่ก็คนอื่นยอมอ่อนข้อเพราะเห็นแก่ฐานะของเขาเท่านั้น

 

 

“ยังดีนะที่คนไม่ได้อยู่ในเรือ จึงไม่ต้องกลัวเหมยซูค้น”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วก็ยิ้มอย่างเย็นชา “ใครว่าไม่อยู่ในเรือ”

 

 

พริบตานั้นโจวอวี่สะดุ้ง จ้องดูชิวเยี่ยไป๋ หน้าเปลี่ยนสี “ใต้เท้า ท่าน…”

 

 

ใต้เท้าพบว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเหมยอยู่บนเรือกลับไม่บอกเหมยซู หรือว่า…

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างหยามหยัน “ขืนให้ใครพบว่าเหมยเซียงจื่ออยู่ในเรือเรา เจ้ากับข้ามีหวังกระเด็นออกจากราชการนะสิ”

 

 

โจวอวี่ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า

 

 

ไม่นานนัก เหมยซูก็ค้นจนทั่วเรือ

 

 

“ค้นหมดแล้วหรือ” เขานั่งอยู่ในห้องท้องเรือถามเบาๆ

 

 

“ขอรับ คุณชายใหญ่ ค้นจนทั่วแล้ว ไม่พบคุณหนูใหญ่เลยขอรับ คุณชายใหญ่โปรดให้อภัย” ชายชุดเขียวคุกเข่าข้างเดียวประสานมือคารวะ ก้มหน้ารอรับความผิด

 

 

เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะสายสืบหลายคนส่งข่าวมาว่าคุณหนูใหญ่ปลอมตัวเป็นหญิงชาวเรือและแอบขึ้นเรือลำนี้

 

 

“อืม” เหมยซูคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหลียวมองรอบๆ แต่สีหน้าปราศจากความร้อนใจ เพียงกล่าวว่า “พวกเราไปขอขมาเถอะ”

 

 

“ขอรับ” บริวารผู้นั้นรับคำทันที

 

 

เหมยซูนำขบวนขึ้นจากเรือ ไปได้ครึ่งทางก็หยุดลง ยื่นมือใส่ชิวเยี่ยไป๋ กล่าวอย่างขออภัยว่า “ใต้เท้า ล่วงเกินแล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เองก็ไม่คิดอะไรมาก เดินนำคนจากกราบเรือเข้าไป

 

 

กราบเรือไม่นับว่าแคบมาก แต่ในตอนที่เดินผ่านข้างกายเหมยซู นางกลับรู้สึกว่าเท้าเหยียบลงบนอากาศว่างเปล่า ทันทีที่เพิ่งจะทรงตัวได้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดเข้ามาเบียดให้ล้มลงนางอีกครา เมื่อรู้สึกตัวอีกที พลันพบว่ามีคนกำลังโอบเอวนางเอาไว้ ทั้งร่างพลันซุกอยู่ในอ้อมอกกลิ่นหอมจางๆ สดชื่นดุจธารน้ำ

 

 

“ใต้เท้า ระวัง” เหมยซูเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนนุ่ม คล้ายกับว่ากระซิบอยู่ข้างหูนาง แต่มือที่โอบชิวเยี่ยไป๋อยู่ในอกหาได้อ่อนโยนไม่

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ขมวดคิ้วแต่อากัปกริยาฉับไว มือผลักใส่อกของเขาตรงๆ หมายจะผลักให้เหมยซูออกไปอย่างไม่เกรงใจ

 

 

กลับนึกไม่ถึงว่าครานี้ถึงกับผลักไม่ไป พบแรงต้านอย่างชัดเจน ซ้ำกลับดูดเอานางถลาเข้าอ้อมอกของเหมยซู ดวงตานางมีแววไม่พอใจวูบหนึ่ง ปลายนิ้วดีดใส่เอวของเหมยซูตรงๆ

 

 

จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวร่อของเหมยซู พัดจีบในมือเขาเคาะใส่ข้อมือนางอย่างแรง ทั้งสองห่างกันในระยะประชิดอยู่แล้ว การประมือกระชั้นชิดเช่นนี้ใช้อาวุธด้วยย่อมมิใช่ทางเลือกที่ดี โดยเฉพาะพัดจีบที่มีขนาดไม่เล็กนัก ระยะใกล้ตัวเช่นนี้จะเคาะใส่ข้อมืออย่างแรงต้องมีทั้งพลังภายในที่ลึกล้ำและฝีมือพอตัว

 

 

ความรู้สึกที่ข้อมือและเสียงแหวกลมอย่างรุนแรงบอกชิวเยี่ยไป๋ว่า อีกฝ่ายเป็นมือดีที่ช่ำชองการต่อสู้ระยะประชิดทีเดียว

 

 

ถ้าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไป ย่อมจะหดมือกลับเพื่อมิให้ถูกเคาะใส่ เพราะในระยะใกล้ตัวเช่นนี้ไม่มีที่ให้หลบหลีก

 

 

แต่ชิวเยี่ยไป๋กลับร้องหึ “ไม่เจียมตัว”

 

 

แล้วพลันยกข้อมือขึ้นปะทะใส่พัดจีบอย่างแรง

 

 

เหมยซูนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายถึงกับจะกระแทกตรงๆ จึงงงงันไปวูบหนึ่ง เดิมทีการทำเช่นนี้เพียงต้องการหยั่งเชิง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงขุนนางระดับสี่ เขามิได้มีเจตนาจะเคาะให้ข้อมือหัก แต่ก็ยั้งไม่ทันแล้ว

 

 

แต่ความรู้สึกที่เคาะลงไปไม่เหมือนกระทบกับข้อมือ กลับคล้ายกระแทกเข้าใส่อาวุธที่ทำด้วยโลหะ พลังรุนแรงทำเอาเหมยซูปวดแปลบที่ง่ามมือ และรู้สึกถึงแรงกระแทกจนข้อมือชา แม้แต่พัดจีบก็กุมไว้ไม่มั่นและหลุดมือในพริบตา!

 

 

จ๋อม พัดจีบกระเด็นลงน้ำ ทำเอาคนที่ดูไม่ทันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

ขณะที่เหมยซูกำลังงงัน ชิวเยี่ยไป๋เร่งพลังที่นิ้ว จี้เข้าใส่จุดชาที่หว่างเอวตรงๆ ทำให้เหมยซูต้องรีบคลายแขนอีกข้างที่โอบเอวนางไว้

 

 

เห็นเหมยซูเซไปสองก้าวอย่างทุลักทุเลจึงยืนได้มั่นคง แต่นางมิได้ลงมือซ้ำ เพียงกอดอกมองดูเหมยซูอย่างหยามหยัน “ขออภัย คุณชายใหญ่เหมย ข้ามิได้ตั้งใจจะถูกตัวท่าน เพียงแต่แม่น้ำลมแรง ท่านเป็นคนบอบบาง ขืนยืนไม่ดีเซตกน้ำ ข้าคงโทษหนักแล้ว”

 

 

เมื่อครู่ตอนนางเดินถึงกราบเรือไม่ทันระวังตัว แต่กลับถูกเหมยซูฉวยโอกาสลอบทำร้าย แต่เขาเล่นละครฉากนี้เพื่ออะไรกันแน่

 

 

ทุกคนได้ยินชิวเยี่ยไป๋กล่าวเช่นนี้ ต่างก็ยิ้มอย่างอดมิได้ โดยเฉพาะโจวอวี่ที่เป็นผู้นำพวกหยิบหย่งหลายคนซึ่งเดิมทีพวกเขาก็เป็นลูกหลานตระกูลใหญ่อยู่แล้ว กลับถูกท่าทีโดดเด่นกว่าของเหมยซูทำเอาราศีทอนลง ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา

 

 

บัดนี้เห็นเหมยซูตอนขึ้นจากเรือ แค่ถูกใต้เท้าเชียนจ่งชนครั้งเดียวก็เกือบพลัดตกน้ำ ย่อมรู้สึกสะใจ พากันคิดเอาเองว่าบุรุษของเจียงหนานอ่อนแอ จึงพากันหัวร่อขนานใหญ่โดยมินำพาต่อการถลึงตาของชายชุดเขียวที่ตามหลังเหมยซู

 

 

เหมยซูประมือกับชิวเยี่ยไป๋เป็นครั้งแรก แม้จะเคยฟังจากรองพ่อบ้านว่านางพลังฝีมือสูงล้ำ แต่ผลจากการหยั่งเชิงครั้งนี้ยังคงเป็นตนเองที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ

 

 

แค่สองกระบวนท่าเขาก็เข้าใจ พลังฝีมือของชิวเยี่ยไป๋ถึงระดับสุดยอดแล้ว ในซือหลี่เจียนคงไม่มีใครเทียบได้ แต่เหตุใดเขาจึงยอมกล้ำกลืนลดตัวเช่นนี้ และในฐานะลูกเมียน้อยตระกูลชิวที่ถูกส่งไปอยู่ชนบทแต่เล็ก ไปฝึกพลังฝีมือเช่นนี้มาจากที่ใด

 

 

แม้ในใจจะมีคำถามมากมาย แต่ใบหน้าเขายังคงเฉยเมยคล้ายฟังไม่ออกว่าชิวเยี่ยไป๋กำลังถากถาง เพียงยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะกล่าวว่า “เหมยซูเดินไม่ระวังเอง ไม่เกี่ยวกับใต้เท้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กล่าวเนือยๆ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะออกเดินทางแล้วนะ”

 

 

ว่าแล้วนางก็ประสานมือคารวะเหมยซู หันกายลงเรือไป โจวอวี่กับพวกรีบตามไปติดๆ

 

 

เหมยซูหันไปมอง เห็นนางในชุดรัดกุมของซือหลี่เจียน เอวที่คาดด้วยสายรัดประดับหยกดำดูแล้วยิ่งคอดกิ่ว นึกถึงเมื่อครู่ที่โอบนางไว้รู้สึกนุ่มนิ่มและยังมีกลิ่นหอมจางๆ ด้วย เขาหรี่ตาลงฉายแววเย็นเยือก ริมฝีปากโค้งเป็นรอยยิ้มที่มีความหมายลึกล้ำ

 

 

ใต้เท้าเชียนจ่งคนนี้ แม้จะเป็นบุรุษ แต่รูปร่างยังคงต้องใช้คำว่าอรชรอ้อนแอ้นดังโฉมสะคราญจึงจะถูก