บทที่ 65 มหรสพดนตรี (1) Ink Stone_Fantasy
ซาร์ดผ่อนคลายท่าทีลง สายตาของเขาแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม รอยยิ้มยังคงอ่อนโยนและดูมีเมตตาเสมอ เขาไม่ได้ตอบคำถามของออร์วาริตกับนาตาซาในทันที แต่ค่อยๆ เล่าตามภาษาของเขา
“เมื่อหลายเดือนก่อน ผู้พิทักษ์ราตรีของเราสืบจนพบตัวนักเวทจากสภาเวทมนตร์คนหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสเจอน้อยมาก เพราะนักเวทส่วนใหญ่จะอยู่ในอัลโต้ไม่นาน พยายามติดต่อกับนักเวทที่แฝงตัวอยู่อีกหลายๆ คนในอัลโต้ พวกมันมีเป้าหมายในการตามหามรดกตกทอดจากจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณในหุบเขาแห่งความมืด”
“อย่างนั้นหรือ…” ออร์วาริตลูบคางอย่างครุ่นคิด “พวกมันอาจพยายามชักจูงนักเวทชายหญิงในอัลโต้ให้เข้าร่วมกับสภาเพื่อขยายอิทธิพล เท่าที่ข้ารู้ สภาพยายามขยายอิทธิพลมานานกว่าสองร้อยปี” แกรนด์ดยุก ผู้มีศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า รู้จักนักเวทดีมากกว่าที่คนอื่นๆ รู้
ชนชั้นสูงที่นั่งอยู่ด้านหลังกำลังให้ความสนใจกับเรื่องที่ซาร์ด แกรนด์ดยุก และเจ้าหญิงกำลังสนทนากันอยู่ ทุกคนสีหน้าไม่ปกติ ราวกับกำลังคิดอะไรสักอย่างในหัว แต่ทั้งหมดตัดสินใจสงบปากสงบคำอยู่เงียบๆ
“ฝ่าบาทตรัสถูกแล้ว องค์หญิง” ซาร์ดเปลี่ยนท่านั่งและเล่าต่อ “น่าเสียดาย ผู้พิทักษ์ราตรีไม่สามารถจับเป็นเขา นักเวทคนนั้นชิงทำลายตัวเองไปเสียก่อน” ว่าแล้วเขาก็มองไปยังอัศวินนักบุญ ร่างสูงกำยำที่ยืนอยู่ข้างเขา ปล่อยให้อัศวินทำหน้าที่อธิบายเรื่องที่เหลือ
เฉพาะอัศวินของศาสนจักรเท่านั้นที่เรียกตนได้ว่าอัศวินนักบุญ
ใบหน้าของอัศวินอยู่ภายใต้เกราะ เสียงแข็งกร้าวดังลอดออกมา “พวกเราคิดว่านักเวทที่เรียกตัวเองว่า ‘ศาสตราจารย์’ มาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน และคงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเวทที่ตายไป”
นั่งเอนหลังพิงเบาะที่นั่ง นาตาซาดูท่าทางผ่อนคลาย นางมองยังไปอีกทางหนึ่งด้วยรอยยิ้มเป็นนัยบนใบหน้า “ดูเหมือนว่าพวกท่านรู้เรื่องนักเวทในอัลโต้ดีนะ ใช่ไหม?”
นางไม่ได้ต้องการดูหมิ่น อันที่จริง ซาร์ดเองรู้จักความตรงไปตรงมาของนางดี อาจารย์ของนางก็คือผู้บัญชาการสูงสุดของกลุ่มภราดรดาบผู้รับใช้โบสถ์ อย่างไรก็ตาม ยกเว้นตอนที่นางสวดภาวนาต่อพระเจ้าแห่งสัจธรรม นาตาซาจะมีท่าทีสบายๆ ต่อทุกเรื่องเสมอ
“ฝ่าบาท ทางศาสนจักรเฝ้าติดตามพวกมันมาหลายปี ต่อหน้าศาสนจักร พวกนักเวทไม่มีวันซ่อนตัวได้พะยะค่ะ” อัศวินผู้นั้นค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “นักเวทที่เรียกตัวเองว่า ‘ศาสตราจารย์’ ก็เช่นเดียวกัน มีเบาะแสชี้ว่าเขาเดินตามระบบเวทสมัยใหม่ เพราะฉะนั้นเราสันนิษฐานว่าศาสตราจารย์น่าจะมาจากสภาเวทมนตร์ ดูเหมือนเขาไม่ไว้ใจนักเวทในอัลโต้ เขาระวังตัวมาก แม้เราจะมีคนของเราสองคนคอยสอดแนมเรื่องนี้ แต่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับตัวศาสตราจารย์น้อยมาก ทางศาสนาจักรจึงต้องรอบคอบมากยิ่งขึ้นพะยะค่ะ”
หลายร้อยปีที่ผ่านมาของนครอัลโต้ การทรยศต่อความเชื่อของตนและหันมารับใช้ศาสนจักรของจอมเวทบางคนไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อสืบรู้ว่ากลุ่มนักเวทในนครอัลโต้เล็กเกินกว่าจะสร้างปัญหา แทนที่จะทำลายให้สิ้นซากทั้งหมดไป ศาสนจักรเลือกที่จะปล่อยพวกนักเวทให้อยู่รอดต่อไปในอัลโต้ เพื่อทำสงครามระยะยาวกับสภาเวทมนตร์
“ดูเหมือน… ตอนนี้ ศาสตราจารย์ลึกลับนั้นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าที่ข้ารู้ เรื่องที่ข้ากังวลคืออาร์เจนต์ ฮอร์น ข้าสงสัยว่าพวกมันมาวางแผนทำอะไรในอัลโต้” ออร์วาริตกุมคางใช้ความคิด
“ตามประสงค์ พะยะค่ะ” อัศวินโค้งคำนับเล็กน้อย “เราจะมอบหมายให้ผู้พิทักษ์ราตรีระดับพื้นฐานติดตามคดีของศาสตราจารย์ ส่วนกองกำลังหลักของศาสนจักรสืบสวนเรื่องพวกนอกรีตต่อ”
“ยังหาตัวโรซาน อารอน ไม่เจอใช่ไหม?” นาตาซาถาม เอานิ้วม้วนปอยผมสีม่วงของนางเล่นอย่างสดใส
“ยังพะยะค่ะ เรากำลังเร่งมือเต็มที่” อัศวินนักบุญตอบ
คณะออร์เคสตราพร้อมแล้ว
ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มผมสีม่วงก็เข้ามาในเฉลียงที่นั่งชั้นบน หน้าตาเขาดูคล้ายกับนาตาซา แต่สูงกว่าเธอ ชุดสูทของเขาก็ประดับด้วยตราประจำราชวงศ์ไวโอเล็ต
ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้มทักทายกลุ่มชนชั้นสูงที่อยู่ในที่นั่งชั้นบน แล้วเขาก็เดินไปยังที่นั่งแถวหน้าสุด ถวายความเคารพต่อแกรนด์ดยุกและพระคาร์ดินัลอย่างเคารพตามธรรมเนียมปฏิบัติของอัศวิน
“โถญาติข้า เจ้ามาสายนะ” นาตาซาโบกมือให้เขา
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นหลานชายของแกรนด์ดยุก และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังพิทักษ์นครอัลโต้ เคานต์เวอร์ดี้
“ขอประทานอภัยพะยะค่ะ” เขานั่งลงติดกับนาตาซา “เพิ่งได้ข่าวเกี่ยวกับอาร์เจนต์ ฮอร์น แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร… ลูเซียน อีวานส์… ผู้ประพันธ์เพลงชะตาชีวิต? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
ขณะเดียวกัน เคานต์เวอร์ดี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงดนตรีด้วยเช่นกัน
“น่าสนใจ… ข้าก็ไม่รู้จักชื่อนี้เหมือนกัน” แกรนด์ดยุกเอ่ย เมื่อได้ยินความเห็นของเวอร์ดี้ ทั้งออร์วาริตและซาร์ดยกรายชื่อเพลงขึ้นมาดู
“ซิมโฟนีเพลงนี้ชื่อ ‘ชะตากรรม’ กระหม่อมว่าลูเซียนคนนี้ต้องเป็นนักประพันธ์ที่กล้าหาญและสร้างสรรค์มาก” ซาร์ดตอบอย่างสุภาพ “กระหม่อมไม่ได้ลำเอียงฝักใฝ่ดนตรีทั้งสองแนว”
นาตาซายิ้ม “ข้าบังเอิญรู้เรื่องลูเซียนมาบ้าง วานนี้ บารอนโอเทลโล่มาหาข้า ขออนุญาตเปลี่ยนเพลงที่สามในรายชื่อเพลงด้วยซิมโฟนีเพลงใหม่ และนี่แหละ เพลงของลูกศิษย์คนใหม่ของวิกเตอร์ ลูเซียน อีวานส์ คนที่เพิ่งเริ่มเรียนดนตรีมาสามเดือน”
“สามเดือนที่แล้ว? เป็นไปไม่ได้” เวอร์ดี้มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ในการแสวงหาความสมบูรณ์แบบ เวอร์ดี้มีระเบียบเข้มงวดกับตัวเองมาก พอรู้ว่ามีคนที่มีพรสวรรค์มากกว่า เขาย่อมไม่ยินดีด้วยแน่นอน
“แต่… โชคร้ายหน่อยนะ ดูเหมือนเขาจะมีพรสวรรค์สูงทีเดียว อาจจะมากกว่าเจ้า ถึงเจ้าจะเริ่มเรียนดนตรีตั้งแต่อายุแปดปี แต่งเพลงตั้งแต่อายุเก้าปี แต่เอาจริงๆ อย่าห่วงไปเลยเวอร์ดี้ เขาสู้ท่านไม่ได้หรอก วันก่อน ข้าเจอเขาแล้ว ท่าทางอย่างกับผู้หญิง! ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าเขาจะทำได้ดีแค่ไหน”
“บางคนเกิดมาก็เป็นอัจฉริยะ อาจดูไม่เป็นธรรม แต่นั่นเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า” ซารด์ออกความเห็น
นาตาซาได้ฟังแล้วก็ย้อนคิดถึงเรื่องของซาร์ด
ซาร์ดเองก็ไม่ใช่อัจฉริยะแน่นอน ตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้าสู่ศาสนจักรอัลโต้ เขาไม่สามารถแข่งขันกับสหายร่วมรุ่นที่ชาญฉลาด อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด กลายเป็นซาร์ดที่ขึ้นเป็นพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญ แม้ว่าต้องใช้เวลาเกินกว่าร้อยปีก็ตาม
เขามักบอกกับเหล่าผู้ศรัทธาเสมอ “ความศรัทธาในพระเจ้าไม่ใช่เรื่องพรสวรรค์”
“เอาละ เรามารอดูกัน” ออร์วาริตหัวเราะชอบใจ “นาตาซาพูดเสียข้าอยากฟังขึ้นมาแล้วสิ”
และแล้ว วิกเตอร์เดินออกมากลางเวทีพร้อมกับไม้บาตองในมือ
แรกเริ่ม เขาโค้งคำนับมายังระเบียงที่นั่งของแกรนด์ดยุกด้วยมารยาทอย่างเป็นพิธีการ แล้วก็หันไปโค้งคำนับกลุ่มขุนนางชนชั้นสูงและนักดนตรี ในที่สุด เขาก็หันกลับไป ก้มศีรษะลงดูไม้บาตองในมือ
การบรรเลงดนตรีเริ่มขึ้น ออร์วาริตหลับตายิ้ม “นี่เป็นหนึ่งในเพลงที่ดีที่สุดจากผลงานเก่าๆ ของวิกเตอร์ ไพเราะจับใจ”
ทุกคนหยุดการสนทนา และปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี
ต่างคนต่างมองตากัน ลูเซียน ล็อตต์ และเฟลิเซียยิ้มให้กันอยู่หลังเวที พวกเขารู้ว่าวิกเตอร์กำลังบรรเลงเพลงไหลลื่นมาก ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันจริงๆ เสียที แม้ยังไม่ถึงขั้นเป็นสหายสนิทก็ตาม
ซิมโฟนีเพลงแรกใช้เวลาไปประมาณสี่สิบนาที ทุกอย่างราบลื่นมาก ระหว่างพัก ผู้ฟังบางคนแสดงความกังวลว่าถ้าซิมโฟนีเพลงแรกเป็นเพลงที่ดีที่สุดในบรรดาผลงานของวิกเตอร์แล้ว เพลงที่เหลืออาจไม่ดีเท่านี้
แต่วิกเตอร์พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคิดผิด ซิมโฟนีเพลงที่สองไพเราะเสนาะโสตประสาทยิ่งกว่าเพลงแรก โลดแล่น แจ่มใส และเต็มไปด้วยพลังชีวิต ราวกับลมเย็นๆ ในฤดูร้อน ราวกับทุ่งหญ้าในฤดูใบไม้ร่วง เมื่อบทเพลงนี้จบลง ออร์วาริตปรบมืออยู่นานด้วยความพอใจอย่างยิ่ง
“วิกเตอร์ไม่เคยหยุดพัฒนา ฝีมือเขาสุดยอดจริงๆ” ท่านแกรนด์ดยุกแสดงความเห็น
“จริงพะยะค่ะ เพลงนี้กลมกล่อมและไพเราะยิ่ง” เวอร์ดี้สำทับ แม้ว่าในใจ เขาไม่นิยมเพลงซิมโฟนีที่บรรยายภาพท้องทุ่งชนบทเช่นนี้ก็ตาม
“เพค่ะ เพราะดี แต่หม่อมฉันคิดว่าวิกเตอร์ควรทำได้ดีกว่านี้ หม่อมฉันรู้สึกว่าเขาไม่มีอารมณ์ร่วมในเพลง ยังมีเรื่องต้องแก้ไข” นาตาซาเอ่ย
……………………………………….