ฉันตื่นตระหนกเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะตัดสินใจออกไปด้านนอกเสียก่อน เพราะรู้สึกเหมือนถ้าอยู่ข้างในต่อไป กระโจมที่สั่นสะเทือนอาจจะถล่มลงมาอย่างกะทันหัน

ภายนอกกระโจมมีพายุทรายโหมพัดแรงจนยากจะแยกทิศทาง ฉันเงยหน้าขึ้นขณะยกแขนบังหน้า เป็นอย่างที่คิด

“แอสรัน…”

เขากำลังกอดอกมองลงมาด้านล่างด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

ในวิหารหลวง เขาซ่อนตัวเพื่อไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผยตามคำร้องขอของฉัน แต่ตอนนี้เขาไม่มีเหตุผลให้ต้องซ่อนอีกต่อไปแล้ว

“คนผู้นั้นอะไรกัน…”

หน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิที่อยู่รอบข้างต่างก็สัมผัสได้ถึงความอึดอัดที่กดทับร่างกาย และกำลังจ้องมองท้องฟ้าโดยไม่อาจเก็บซ่อนความตื่นตระหนกไว้ได้ ฉันเองก็เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขาคือแอสรันที่ฉันรู้จัก แต่ตอนนี้ฉันกลับสัมผัสได้ถึงโทสะอันรุนแรงราวกับจะระเบิดออกมาเสียเดี๋ยวนี้จากเขา

“เป็นจอมเวทหรือ?”

“เป็นไปไม่ได้ ถึงจะเป็นจอมเวทแต่ขนาดนี้มัน…”

อัศวินที่ยังดูเยาว์วัยผู้หนึ่งมองแอสรันขณะตัวสั่นเทา แม้จิตใจอันกล้าหาญที่กระทั่งเหงื่อไหลออกมาราวกับฝนตกแต่ก็ไม่ยอมถอยออกไปจะน่ายกย่อง แต่ก็เท่านั้น เสียงร้องแตกตื่นของม้าที่ถูกมัดไว้และเสียงร้องโหยหวนของชาวบ้านที่เข้ามาช่วยงานดังสะท้อนไปทั่วทั้งค่าย

เพียงแค่แอสรันปรากฏตัวก็ทำให้ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความสยดสยอง

เหล่าอัศวินที่ช่ำชองตั้งสติได้อย่างรวดเร็วแล้วหยิบอาวุธขึ้นมา พวกเขาตะโกนใส่สหายที่ยังสติหลุดพลางจัดรูปขบวนสำหรับโจมตี แต่ทุกคนก็รู้อยู่แล้ว การโจมตีเช่นนั้นไม่อาจทำอะไรแอสรันได้

เมื่อเห็นแอสรันที่ลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับผมสีแดงที่ปลิวไสวไปตามลม ฉันถึงตระหนักได้อีกครั้งว่าฉันทำสัญญาและเคยร่วมสัมพันธ์กับตัวตนแบบไหนเข้า และเขา ‘ยอมให้’ พวกเรามากเพียงใด

“มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด แอสรัน?”

เลออนเอ่ยถามแอสรัน ไม่มีครั้งไหนที่ฉันเกิดความนับถือในตัวเลออนจากใจจริงเท่าตอนนี้อีกแล้ว เพราะคนที่สามารถอดทนและเผชิญหน้าโดยไม่ถูกกดดันจากพลังงานอันน่าหวาดผวาของแอสรันที่นี่มีเพียงแค่เลออนเท่านั้น

“เจ้าช่วยลดพลังงานเสียดแทงนั่นหน่อยเป็นอย่างไร ตอนนี้ร่างกายลีน่าไม่ค่อยดี”

เลออนพูดเช่นนั้นพลางดึงฉันเข้าไปกอด ทว่านั่นกลับทำให้พลังของแอสรันยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

“อึก…”

ความรู้สึกทิ่มแทงราวกับมีเข็มเย็บผ้ากำลังแทงลงบนผิวพลันถาโถม หากเป็นในอดีต พลังศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่ในร่างยังช่วยปกป้องฉันจากพลังเวทของแอสรันได้ระดับหนึ่ง แต่หลังจากสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปหมดสิ้น ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าคนธรรมดาทั่วไปเลย

ผลก็คือ ฉันหมดเรี่ยวแรงจนซวนเซและทรุดลงไป

“ดูสิ…”

เลออนรีบคว้าเอวฉันแล้วดึงเข้าไปกอดในอกราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ ฉันต้องจับแขนของเลออนเอาไว้ถึงจะพอยืนอยู่ได้ ตอนนั้นเองฉันถึงได้รู้ว่าร่างกายของเลออนกำลังสั่นเบาๆ

‘…เขากำลังตัวสั่นเหรอ?’

แอสรันที่ไม่แยแสมนุษย์รอบข้างเลยแม้แต่น้อยตรงเข้ามาตรงหน้าฉันกับเลออน ก่อนจะยื่นมือมาหาพลางกล่าว

“มานี่ ลีน่า”

ร่างกายของเลออนที่กอดฉันอยู่ผงะขึ้นมาอย่างแรงทันทีจนสัมผัสได้ ตอนนั้นเองฉันถึงได้รู้สาเหตุที่ทำให้เลออนตัวสั่น เลออนไม่ได้กลัวแอสรัน แต่กำลังกลัวว่าฉันจะจากไป

แอสรันจ้องเลออนเขม็งด้วยสายตาเยือกเย็น

“ข้าขอชื่นชมที่เจ้าปกป้องนักบุญหญิงในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ได้ โชคดีจริงๆ ที่ในหมาสองตัว อย่างน้อยก็ยังมีหนึ่งตัวที่รับผิดชอบหน้าที่ของมัน”

แอสรันเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้ว่าเป็นคำด่าหรือคำชม พลางยื่นมือมาหาฉันอีกครั้ง

“เจ้าต้องรักษาสัญญาที่ทำไว้กับข้า บัดนี้ข้าไม่อาจรอ และไม่มีความจำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว”

สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง แม้อันที่จริงอีเบลลีน่าจะเป็นคนทำสัญญาเอาไว้ แต่ตราบใดที่ฉันครอบครองร่างของนาง มันก็เป็นสัญญาที่ฉันต้องรับผิดชอบ

ฉันหมุนตัวกลับมามองเลออน ใบหน้าของเขาพลันบิดเบี้ยวทันทีที่สบตากัน เป็นสีหน้าที่ราวกับรู้ว่าฉันกำลังจะเอ่ยคำใด

“เลออน”

“…ไม่ได้นะ ลีน่า”

“ขอบคุณที่ให้นักบุญหญิงตัวปลอมผู้หลงใหลในปีศาจได้เป็นชายารัชทายาท หากไม่ใช่เพราะท่าน ทั้งราธบันและข้าคงตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคาร์ลแล้ว”

สิ่งที่เลออนเคลื่อนไหวเพื่อตามหาฉันและราธบันไม่ใช่แค่หน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิอย่างเดียวเท่านั้น เขาแสดงการต่อต้านวิหารหลวงอย่างเป็นทางการ แถมยังเลือกฉันผู้เป็นนักบุญหญิงที่เหลวแหลกแทนอีริสที่เป็นนักบุญหญิงคนใหม่

การเลือกของเขาไม่มีข้อได้เปรียบใดๆ ทั้งสิ้น บัดนี้วิหารหลวงคงป่าวประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจักรวรรดิเป็นประเทศศัตรู ผู้คนที่นับถือและเชื่อฟังพระเจ้าก็คงเริ่มต่อต้านจักรวรรดิ กระทั่งในจักรวรรดิเองก็คงมีคำตำหนิติเตียนทั้งปวงสาดเทไปหาเขา ตัวเลือกของเขาเป็นการจุดชนวนให้เกิดการต่อต้านของหลายชาติที่ถูกเขาพิชิตมา

องค์ชายรัชทายาทผู้ไม่เคยแลกเปลี่ยนสิ่งใดที่ทำให้ขาดทุนเลยสักครั้ง เขาได้เลือกสิ่งที่ขาดทุนเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา เขาจะไม่รู้ว่ามันความหมายว่าอย่างไรได้อย่างไร

ฉันเอื้อมมือออกไปกุมหน้าของเลออน แล้วมอบจูบให้อย่างเชื่องช้า

“เลออน”

“ลีน่า ได้โปรด…”

เลออนยืนนิ่งรับจุมพิตของฉัน ขอบตาเริ่มแดงก่ำ องค์ชายรัชทายาทของจักรวรรดิผู้ปกครองครึ่งหนึ่งของทวีปกลับกำลังร้องไห้เพราะไม่อาจรั้งสตรีผู้หนึ่งไว้ได้

คงไม่ใช่ความผิดของฉันที่จะรู้สึกว่าท่าทางเช่นนั้นของเลออนช่างน่ารัก ท่านไม่น่ามาชอบข้าเลย

ฉันผลักร่างของเลออนที่กอดฉันอยู่ออกไป เลออนถอยไปด้านหลังโดยไม่อาจคว้าฉันเอาไว้ได้ ฉันหมุนตัวกลับทันที และตะโกนใส่แอสรัน

“แอสรัน! รีบมาพาข้าไป!”

ราวกับรอคำพูดนั้นอยู่แล้ว แอสรันเข้ามาหาฉัน แล้วคว้าเอวเข้าไปกอดพลางเอ่ยกระซิบ

“จัดให้ตามคำขอ”

วินาทีต่อมา ฉันและแอสรันก็บินขึ้นฟ้าไป

***

ราธบันลุกขึ้นและลองหมุนหัวไหล่ แม้จะยังรู้สึกตึงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดเป็นพิเศษ หลังจากตรวจสภาพหัวไหล่อยู่หลายครั้ง ราธบันก็หยิบดาบที่ยืมจากอัศวินคนอื่นออกมา ฉับพลัน เสียงผ่าลมก็ดังขึ้นในป่าเงียบสงบทันที

เมื่อเขาเหวี่ยงดาบไปทางป่าอย่างแรง ประกายจากคมดาบที่สะท้อนแสงจันทร์พลันก่อให้เกิดเส้นวิถี หลังจากนั้นไม่นาน ต้นไม้ผุพังที่อยู่ไกลออกไปพลันถูกตัดเป็นสองท่อนอย่างลื่นไหล ก่อนที่ส่วนบนของต้นไม้จะร่วงหล่นลงพื้นไป

เป็นภาพที่อัศวินคนอื่นจะต้องเกิดความรู้สึกท้อแท้เมื่อได้เห็น ทั่วทั้งทวีป ผู้ที่ครอบครองทักษะที่สามารถตัดแบ่งสิ่งของที่อยู่ไกลออกไปเพียงตวัดดาบมีอยู่นับนิ้วได้ และแน่นอนว่าในบรรดาคนเหล่านั้น ผู้ที่สามารถใช้พลังนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุดก็คือราธบัน

ทักษะและพลังเช่นนี้คงจะช่วยเหลือผู้คนได้มากมายนักในตอนที่เผชิญหน้ากับปีศาจ

‘แต่ก็ไร้ประโยชน์’

ราธบันย้อนนึกถึงแอสรันที่จ้องตนราวกับอยากฆ่าให้ตาย

ตอนที่แอสรันถามหาลีน่า เขาไม่อาจแก้ตัวอะไรได้เลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาไร้ความสามารถ แอสรันไม่อยากฟังเรื่องไร้สาระจึงสั่งให้เขาบอกว่าลีน่าอยู่ที่ไหนและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระชับ ความโกรธของอีกฝ่ายทำให้ราธบันเล่าทุกอย่างออกไปตามจริง ทันใดนั้น แอสรันก็พูดกับเขาอย่างเยือกเย็น

“รู้ไว้เสียด้วยว่าที่ตอนนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เป็นเพราะเจ้าน่าสมเพชจนแค่จะฆ่าก็ยังหงุดหงิด”

แอสรันบินขึ้นฟ้าและหายไปหลังจากทิ้งคำพูดเอาไว้ ราธบันรู้ว่าเขาจะไปที่ไหนโดยไม่จำเป็นต้องถาม

“เฮ้อ…”

เห็นได้ชัดว่าเขาไปหาเลออนเพื่อตามหานาง ราธบันลองคาดเดาสถานที่ที่แอสรันน่าจะพานางไป

‘อาจจะเป็นหอคอยจอมเวท’

สำหรับวิธีการที่จะไปที่นั่น ราธบันเองก็รู้อยู่หลายวิธี

เขาหมุนไหล่อีกหลายครั้งก่อนจะจ้องมือของตนเองใต้แสงจันทร์ที่เจิดจรัส มือที่เคยมีสภาพดูไม่จืดเพราะบาดเจ็บหนักและถูกพิษ กลับสะอาดเกลี้ยงเกลาจนชวนให้สงสัยว่าเคยเป็นแบบนั้นเมื่อไรกัน

แม้จะรู้สึกประหลาดใจต่อพลังศักด์สิทธิ์ที่เขาเคยเห็นมาตลอดชีวิต แต่ราธบันก็ไม่อาจซ่อนความเกรงกลัวต่อความยิ่งใหญ่ที่เขาเพิ่งสัมผัสได้เป็นครั้งแรกของพลัง ทว่าใบหน้าของเขาที่มองดูร่องรอยอันน่าอัศจรรย์กลับไม่สดใสนัก

หลังจากจ้องฝ่ามืออยู่สักพัก ราธบันก็เอี้ยวตัวไปด้านหลังแล้วกล่าว

“ท่านลุกขึ้นได้แล้ว อากาศตอนกลางคืนเย็นนัก นั่งนานไปจะไม่ดีเอาได้”

ทันใดนั้น พุ่มไม้ที่อยู่ไกลออกไปพลันสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย ราธบันพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นดังนั้น

“ไม่เป็นไร ข้ารู้ตั้งแต่แรกที่ท่านตามออกมาแล้ว”

ได้ยินดังนั้น อีริสที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น นางยืนขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ อ้าปากพูดอย่างตะกุกตะกักโดยไม่คิดที่จะปัดเศษดินและใบไม้ที่ติดอยู่ตามเส้นผมและเสื้อเลย

“เอ่อ ขะ ข้า…ข้าก็แค่…สงสัยว่าท่านจะไปไกลหรือไม่…”

แต่ตัวอีริสรู้ดีกว่าใครว่านั่นไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างในการแอบซ่อนตัวได้

“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง ข้าจะกลับไปแล้ว”

“คือว่า…ร่างกายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“ขอรับ เป็นเพราะท่านช่วยรักษาให้ ตอนนี้จึงฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งหมดแล้ว”

อีริสก้มศีรษะพลางลูบๆ คลำๆ นิ้วของตนเองเมื่อได้ยินคำตอบของราธบัน จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความยากลำบากอีกครั้ง

“คะ คือว่า ถ้าไม่เป็นไร…ช่วยเล่าเรื่องของท่านนักบุญหญิงให้ฟังอีกได้ไหมคะ”

ในขณะนั้น อีริสก็สังเกตเห็นความอ่อนโยนน้อยๆ กระจายบนใบหน้าของราธบัน

หลังจากแอสรันจากไป อีริสก็เดินทางร่วมกับราธบันและอัศวินคนอื่นโดยอัตโนมัติ อีริสเคยกังวลว่าราธบันจะเป็นศัตรูกับตนเองเพราะเชื่อฟังนักบุญหญิงคนก่อนหรือไม่

แต่ราธบันกลับเพียงกล่าวขอบคุณที่นางช่วยชีวิตตน และขอให้เข้าใจว่าเขาไม่อาจคุกเข่าให้ได้เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของนาง แต่เดิมเป็นของท่านอีเบลลีน่า ซึ่งคนที่รู้สึกยินดีที่สุดเมื่อได้ยินดังนั้นก็คืออีริส

ทุกคนล้วนแต่เรียกนางว่านักบุญหญิงคนใหม่และคาดหวังในตัวนางกันตามใจชอบ แต่ราธบันกลับบอกว่านางไม่ใช่นักบุญหญิงออกมาอย่างเฉียบขาด แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เขากลับไม่ได้เมินเฉยและยังคงให้เกียรติ นั่นกลับยิ่งทำให้อีริสรู้สึกสบายใจเสียอีก

และราธบันยังเล่าเรื่องหลายเรื่องเกี่ยวกับนักบุญหญิงที่อีริสสงสัยให้ฟัง เป็นเนื้อหาเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับงานที่นักบุญหญิงต้องทำ หรือไม่ก็ชีวิตประจำวันในวิหารหลวง

‘แต่ไม่รู้ทำไม…ถึงได้ใจเต้นแปลกๆ’

แม้จะเป็นเรื่องเล่าที่ไม่ได้สลักสำคัญ แต่อีริสกลับรู้สึกสนุกยิ่งนัก ราวกับได้ฟังเรื่องราวของคนที่คุ้นเคย

“ท่านใคร่รู้เรื่องของท่านนักบุญหญิงถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”

“ใช่ค่ะ! ขะ ข้าไม่เคยคิดอยากจะได้พลังศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองเลยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้พลังนี้กลับคืนไปหาท่านนักบุญหญิงอีกครั้ง”

นั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง แม้จะน่าประหลาด แต่ยิ่งได้ฟังเรื่องราวมากเท่าไร อีริสก็ยิ่งอยากเจอนักบุญหญิงมากเท่านั้น

ราธบันมองอีริสที่เดินมาตรงหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้นพลางครุ่นคิด

‘ก่อนอื่นต้องหาให้เจอก่อนว่าลีน่าอยู่ที่ใด’

ผู้ทำบาปที่ไม่อาจรักษาตำแหน่งของตนได้ทั้งที่บอกว่ารักและอยากอยู่เคียงข้าง ต้องกลับไปหาและอ้อนวอนขอการอภัยจากเจ้านายของมัน