“อืมมม…”

ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากกะพริบตาอยู่หลายครั้ง ภาพทิวทัศน์อันแปลกตาพลันเข้ามาในสายตาเป็นลวดลายเลขาคณิตที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนในวิหารหลวง รวมถึงทุกที่ที่ฉันเคยไป ฉันลุกขึ้นและกวาดสายตามองรอบด้านด้วยความตกใจ ก่อนจะตระหนักได้ว่าฉันอยู่ในที่ที่มีกลิ่นอายต่างถิ่นและหรูหราเป็นอย่างมาก

“ที่นี่…”

“หอคอยจอมเวทน่ะ”

เสียงของแอสรันดังขึ้นด้านหลัง พอหันหน้ากลับไปก็พบว่าเขากำลังเท้าคางมองฉันอยู่ข้างหมอนใบใหญ่ที่ฉันนอนอยู่

“แอสรัน…?”

แอสรันเอื้อมมือมาจับคางฉันอย่างนุ่มนวลเมื่อได้ยินเสียงเรียก จากนั้นก็จุมพิตแผ่วเบาพลางเอ่ยกระซิบ

“ยินดีต้อนรับเจ้าเข้าสู่สถานที่ที่จะใช้ชีวิตกับข้าไปตลอดชีวิต”

ได้ยินดังนั้น ฉันก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างทรงกลม ภาพทิวทัศน์ของที่แห่งนี้เข้ามาในสายตาทันทีผ่านหน้าต่างที่ไม่มีกระจก

“พระเจ้าช่วย…”

กลุ่มเมฆที่กระจายต่ำอยู่ใต้วิสัยทัศน์ของฉันค่อยๆ ลอยผ่านไป ลึกลงไประหว่างหมู่เมฆนั้นมีของที่ดูคล้ายบ้านและผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ ภาพทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่นอกหน้าต่างทำให้ฉันตระหนักได้ว่าสถานที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้ทั้งสูงและใหญ่จนทำให้พูดไม่ออก

กระทั่งอาคารกลางของวิหารหลวงที่สูงและโอ่โถงจนต้องแหงนหน้าจนสุดเพื่อมองดูก็ยังไม่ถึงขนาดนี้ ไม่สิ ฉันไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้สามารถเรียกว่าอาคารได้หรือไม่

“ที่นี่…”

หลังจากมาโลกใบนี้ ฉันก็ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากหนังสือที่อยู่ในห้องหนังสือของวิหารหลวง มันเขียนไว้ว่าต้องนั่งเรือลงใต้และใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะมาถึง ราวกับจะบอกว่าคำพูดนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก นอกหมู่บ้านมีทะเลที่ดูคล้ายไม่มีที่สิ้นสุดทอดยาวออกไป

“เจ้าบอกให้ข้าพามาไม่ใช่หรือ”

แอสรันที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ กอดฉันจากด้านหลังพลางเอ่ยกระซิบ

“ข้าเลยพาเจ้ามา”

เขาซุกใบหน้าลงกับเส้นผมของฉันพลางกล่าวราวกับเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว

“น่าจะพามาให้เร็วกว่านี้ เจ้าก็คิดเหมือนกันไหม”

มือที่ลูบๆ คลำๆ เส้นผมจับเอวให้หมุนกลับ บนใบหน้าของแอสรันที่หันมาเผชิญกันมีรอยยิ้มพึงพอใจที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลยสักครั้งพาดผ่าน

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าทำตามกฎน่ารำคาญของพวกมนุษย์เพื่อเจ้ามาตลอด”

ใช่แล้ว แอสรันเคยบอกไว้ว่าหากเขาจะทำ เขาก็สามารถเคลื่อนไหวไปตามที่ต้องการและพาฉันไปได้ทุกเมื่อ แต่เขากลับละทิ้งศักดิ์ศรีในฐานะปีศาจ ปิดบังการมีอยู่ของตนเองในวิหารหลวง และมาพบฉันแค่ในตอนกลางคืน ฉันจำได้ว่าคืนหนึ่งที่ฉันใช้เวลาร่วมกับเขา เขาเคยบอกว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่เขาเสียสละอะไรถึงเพียงนี้

“แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้ารู้ว่าสิ่งเจ้าพยายามปกป้องได้ทอดทิ้งเจ้าไปหมดแล้ว”

“…ท่านก็รู้ใช่ไหมว่าข้าสูญเสียพลังศักดิ์สิทธิ์ไปจนหมดแล้ว?”

ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามสิ่งที่ฉันไม่อยากถูกแอสรันจับได้ที่สุดออกไปทันที

แอสรันคงจะได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในวิหารหลวงจากใครบางคนมาแล้ว ถ้าอย่างนั้น เขาก็น่าจะได้ยินเรื่องที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันหายไปจนหมดแล้วเช่นกัน จนถึงตอนนี้ ฉันคิดว่าหากแอสรันรู้ความจริงข้อนั้นก็น่าจะเฉดหัวฉันออกไปทันที ไม่สิ หากเขาทำเพียงแค่นั้นยังน่าโล่งใจเสียด้วยซ้ำ

ความหวาดกลัวว่าเขาอาจจะระเบิดความโกรธออกมาทันทีหากรู้ว่าอีกฝ่ายที่ตนทำสัญญาโดยถึงกับใช้อาร์ติแฟกต์ของตนเองกลายเป็นขยะไร้ค่าคอยกดหน่วงอยู่ในใจมาโดยตลอด

“ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ ทำไม คิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปเพราะไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อีกแล้วหรือ?”

นัยน์ตาสีแดงของแอสรันมองฉันอย่างขบขัน สายตาคู่นั้นทำให้สองขาพลันหมดแรง แอสรันคว้าฉันเอาไว้ เขายกมือขึ้นสางผมให้ฉันอย่างเชื่องช้า แล้วย้ายมือลงมาไล้ใบหน้าอย่างระวัง ก่อนจะลูบคลำติ่งหู เขากล่าวขึ้นมาอีกครั้ง

“อยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรทั้งนั้น”

คำพูดของเขาทำให้ร่างกายที่ตึงเครียดของฉันผ่อนคลายราวกับเวทมนตร์ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ทั้งเรื่องของวิหารหลวง ทั้งเรื่องของคาร์ล ทั้งเรื่องที่พลังศักดิ์สิทธิ์หายไป

ราวกับการบ้านที่จำเป็นต้องทำแต่ทำไม่ได้หายไปในพริบตา

เขาไม่โกรธฉัน และไม่ทอดทิ้งฉันด้วย

แอสรันอุ้มฉันขึ้น และนำไปวางลงบนเตียงที่ฉันนอนอยู่จนถึงเมื่อครู่ จากนั้นวางศีรษะของเขาบนเข่าของฉันที่เกาะอยู่ปลายเตียง แม้จะเป็นการกระทำที่ราวกับสุนัขตัวใหญ่กำลังออดอ้อน แต่ฉันกลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้ นั่นเพราะฉันรู้ว่าสายตาของเขาที่เอาแต่แหงนมองฉันกำลังต้องการสิ่งใดในตอนนี้

มือใหญ่ของแอสรันสอดเข้ามาระหว่างชายชุดกระโปรงอันซับซ้อน ค่อยๆ ลูบข้อเท้าขึ้นไปอย่างเชื่องช้า เขายิ้มจนตาหยี สิ่งนี้ไม่ใช่การออดอ้อน

ความรู้สึกที่เล็บมือค่อยๆ ข่วนขึ้นมาชวนให้เสียวสันหลัง ความรู้สึกจั๊กจี้และประสาทสัมผัสใต้ผิวหนังที่อ่อนไหวถูกปลุกขึ้นมาทีละน้อย

มือของเขาเลื่อนขึ้นมาเหนือหัวเข่าโดยไม่รู้ตัว

“ฮึก…”

ฉันหลุดเสียงร้องออกมาและพยายามจะถอยไปด้านหลังเพราะไม่อาจต้านทานความรู้สึกที่เขามอบให้ได้ แต่มืออีกข้างของแอสรันกลับยึดขาเอาไว้เพื่อไม่ให้ทำเช่นนั้น ทันทีที่นิ้วที่หมุนวนอยู่เหนือหัวเข่าสอดเข้ามาด้านในต้นขา ฉันก็หุบขาเข้าตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้น มุมปากของแอสรันพลันยกขึ้น ในตอนที่กำลังคิดว่ารอยยิ้มนั้นดูเจ้าเล่ห์ เขาก็ออกแรงแยกหัวเข่าของฉันออก

“แอสรัน!”

พละกำลังอันแข็งแกร่งจนไม่อาจคิดที่จะขัดขืน ทำให้ฉันทำได้เพียงนั่งตัวสั่นรอคอยการเคลื่อนไหวต่อมาของเขา เขาที่ยึดครองพื้นที่อยู่ระหว่างขาของฉันที่นั่งอยู่เริ่มขยับนิ้วอีกครั้ง ไม่นานนิ้วของเขาก็กดลงตรงส่วนลึกด้านในต้นขา

“อึก…”

ตรงนั้นยังคงมีรอยอยู่เหมือนเดิมอย่างชัดเจน

“หนึ่งในสาเหตุที่ข้าอยากพาเจ้ามาที่นี่ก็เป็นเพราะรอยนี้ แม้ในบันทึกของวิหารหลวงจะไม่มีเขียนเอาไว้ แต่เกาะแห่งนี้คือส่วนหนึ่งของโลกอีกใบที่ล่มสลายและตกลงมาบนโลกฝั่งนี้เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นแม้เจ้าจะอยู่ที่นี่ แต่ก็เหมือนอยู่บนโลกอีกใบ”

นิ้วของแอสรันลูบไปรอบๆ รอยนั้นอย่างไม่พอใจ ราวกับหากทำได้ เขาก็อยากจะแทงเข้าไปแล้วฉีกกระชากมันออกมาเสีย

“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคาถาที่สกปรกและต่ำช้าเช่นนี้…จึงไม่อาจใช้พลังจากแผ่นดินนี้ได้ เจ้าเองก็คงจะรู้อยู่แล้ว ที่นี่ข้าคือกฎและทุกสิ่ง และบัดนี้ข้า…”

นิ้วของแอสรันเริ่มขยับอีกครั้ง นิ้วของเขาวาดวงกลมบนหน้าท้องของฉัน ฉันกลั้นหายใจเพราะการเคลื่อนไหวที่ราวกับจะบอกว่าจากนี้ไปเขาจะทำอะไร

“หวังว่าเจ้าจะพยายามเพื่อทำให้สัญญาสำเร็จ”

ดวงตาของเขาโค้งขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่เขาขึ้นมาคร่อมบนตัว

***

‘จะทำอย่างไรดี’

ราธบันมองอีริสที่รับความช่วยเหลือจากอัศวินคนอื่นขณะลงมาจากหิน บัดนี้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นเขาควรจะกลับไปหาเจ้านายของตนเอง แต่ปัญหาคืออีริส เรื่องที่นางครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิง ราธบันเองรู้ดีกว่าใครเพราะเขาได้รับพระคุณจากพลังนั้น

แต่เขาไม่อาจพาอีริสไปไหนมาไหนด้วยได้ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้คาร์ลพบนางได้

‘ถ้าอย่างนั้น…’

ต้องให้อัศวินคนหนึ่งคอยอยู่ข้างนาง จากนั้นช่วยพาหลบจากสายตาของคาร์ลไปสักระยะ ราธบันตัดสินใจได้เช่นนั้นในเช้าวันนี้ แต่หลังจากนั้นอีริสก็เดินตามหลังเขาต้อยๆ เหมือนกับอ่านใจของเขาออก ท่าทางราวกับลูกสุนัขที่หวาดกลัวจะถูกทอดทิ้งไว้คนเดียวทำให้ราธบันรู้สึกไม่สบายใจ

‘แวะพักในหมู่บ้านแถวนี้ก่อนชั่วครู่แล้วกัน’

ถึงจะบอกว่าใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านในหุบเขาและต้องปีนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร แต่คงไม่อาจอดทนอยู่บนเขาไปได้ตลอด แถมเมื่อฟังจากที่พูดแล้ว ดูเหมือนตอนแรกแอสรันจะเป็นคนหาอาหารให้ และหลังจากที่เขาหลับไปนางก็กินแต่ผลไม้ป่าคนเดียวมาตลอด และอาจเป็นเพราะเหตุนั้น อีริสถึงได้ดูผอมแห้งยิ่งนัก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่จำเป็นสำหรับนางตอนนี้ก็คืออาหารที่อุดมสมบูรณ์ เสื้อผ้าชุดใหม่ และสถานที่สำหรับนอนหลับให้สบาย

โชคดีที่ในหมู่อัศวินมีคนนำเงินออกมาจากค่ายของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ดังนั้นการจัดหาสิ่งของสำหรับอีริสจึงไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น หากเขาอยู่กับอีริสและคอยประเมินสถานการณ์ไปด้วย ก็น่าจะถ่วงเวลาไปได้อย่างน้อยสองถึงสามสัปดาห์

“จะไปหมู่บ้านตรงนั้นหรือ ท่านอัศวิน?”

อีริสพิจารณาหมู่บ้านที่เห็นไกลๆ แล้วเอ่ยถามราธบันอย่างระมัดระวัง

“ใช่แล้ว หากสำรวจดูแล้วไม่มีปัญหาใหญ่อะไรก็จะให้พักที่นั่น”

อีริสสังเกตท่าทีของราธบันหลังจากได้ยินดังนั้น ก่อนจะถามอีกครั้ง

“ท่านอัศวินก็จะไปด้วยใช่ไหม?”

“…ข้าไปไม่ได้ ตอนนี้มีคำสั่งตามล่า แถมข้ายังเคยมาปราบปรามปีศาจทางฝั่งนี้อยู่บ่อยครั้ง เพราะฉะนั้นอาจจะมีคนจดจำใบหน้าของข้าได้ จากนี้ไปจะมีอัศวินคนอื่นคอยอยู่กับคุณอีริสขอรับ”

ได้ยินดังนั้น อีริสก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“…ข้าไปกับท่านด้วยไม่ได้หรือ?”

“…”

“ข้าขึ้นเขาเก่งนะคะ รู้จักผลไม้ป่าเป็นอย่างดี พวกสมุนไพรเองก็รู้จักเหมือนกัน อย่างไรก็ต้องเป็นประโยชน์ให้ได้แน่ แล้วยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้…”

“คุณอีริส”

ราธบันเรียกอีริสอย่างเยือกเย็น เพียงแค่นี้ก็ทำให้ทุกคนคาดเดาได้แล้วว่าราธบันจะตอบอะไร อีริสเองก็ตระหนักได้ และก้มหัวลง

“ตอนนี้ข้าจะไปตามหาท่านนักบุญหญิง การเดินทางที่แสนอันตรายนั่นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพาคุณอีริสไปด้วยได้”

“แต่ว่า…”

“ข้าจะไม่ลืมบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้”

“…”

ได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของราธบัน อีริสก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก

พวกเขาพูดคุยกันและตัดสินใจว่าใครจะรั้งตัวอยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันอีริสอยู่สักพัก อัศวินที่รูปร่างเล็กและอ่อนเยาว์ที่สุดตัดสินใจอยู่ที่นี่โดยแสร้งเป็นพี่ชายของอีริส เขาซ่อนดาบยาวไว้ในสัมภาระและเปลี่ยนเป็นชุดชาวนาก่อนจะเดินนำหน้าไป อีริสลังเลชั่วครู่ แล้วเดินไปตรงหน้าราธบันพลางกล่าว

“ถ้าเจอท่านนักบุญหญิงแล้ว…ต้องช่วยให้ข้าได้พบท่านด้วยนะคะ ข้าจะคืนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ข้ามีกลับไปให้หมดเลย! เพราะข้าไม่อยากเป็นนักบุญหญิงอะไรนั่น…”

“แน่นอนขอรับ”

หลังจากได้รับการยืนยันจากราธบันอีกหลายครั้ง อีริสถึงได้หมุนตัวกลับและเดินตามอัศวินหนุ่มผู้นั้นไป คนที่รั้งอยู่ไม่ใช่แค่อัศวินหนุ่มผู้เดียวเท่านั้น อัศวินอีกสองคนก็แยกย้ายกันเข้าไปในหมู่บ้าน และคอยเฝ้าระวังให้อีริสกับอัศวินหนุ่มอยู่โดยรอบ

ราธบันรักษาระยะห่างมองพวกเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ก่อนจะหมุนตัวจากไป บนภูเขายังมีอัศวินคนอื่นอยู่ บัดนี้เขาและคนเหล่านั้นจะผนึกกำลังและออกตามหาลีน่า

‘จะดีจะร้ายอย่างไรก็คงต้องเริ่มหาจากองค์ชายรัชทายาทเลออนก่อน’

ขณะที่ราธบันคิดเช่นนั้นและกำลังเดินขึ้นเขาไปอีกครั้ง เขาก็เห็นฝุ่นสีขาวฟุ้งกระจายจากที่ไกลๆ ภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นบนเนินเขาทำให้สีหน้าของราธบันเคร่งเครียดขึ้น

เป็นหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ดูจากสภาพสะอาดสะอ้านของพวกเขาแล้ว ก็สามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้พวกเขากำลังรับใช้ใคร เป็นอย่างที่คิด ร่างของคาร์ลนั่งอยู่บนม้าในฐานะผู้นำ

‘ให้ตาย’

จะผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังมองราธบันอยู่

จะทำอย่างไรดี

ในตอนที่ราธบันกำลังครุ่นคิดและกำลังจะชักดาบออกมานั่นเอง

กร๊าซซซ!

เสียงร้องที่คล้ายจะฉีกบางอย่างออกของปีศาจพลันดังขึ้นเหนือหมู่บ้านที่อีริสเข้าไป

ทันทีที่หันศีรษะกลับไปมองหมู่บ้าน ก็พบว่าท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านกำลังบุ๋มเข้าไปราวกับกระดาษที่เกิดรอยย่น ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตจากอีกโลกหนึ่งที่ข้ามมาผ่านรอยร้าวที่เกิดขึ้นเมื่อโลกชนกัน

ราวกับตอนนี้จะพิสูจน์ความจริงข้อนั้น ห้วงอากาศพลันบิดเบี้ยว และมีบางอย่างที่ดูคล้ายปีกกับขาของแมลงกำลังกระดุกกระดิกและข้ามเข้ามาในโลกฝั่งนี้ผ่านรอยร้าวที่เกิดขึ้น

ราธบันผู้เคยต่อสู้กับปีศาจมามากมายรับรู้ได้ทันที ขนาดปานกลาง จำนวนคือสาม

พวกมันรีบออกมาจากรอยร้าวทันที ก่อนจะกระพือปีกอันน่าขยะแขยงราวกับปรับตัวให้เข้ากับอากาศของโลกใหม่

ราธบันจ้องหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ปีศาจปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว พวกเขาคงจะต้องบุกเข้าไปหาปีศาจทันที แต่สีหน้าของราธบันก็ต้องแข็งทื่อ เพราะหน่วยอัศวินแห่งวิหารยังคงจ้องมาที่เขาโดยไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน ราวกับการที่หมู่บ้านถูกปีศาจโจมตีไม่ใช่ธุระกงการอะไรของพวกเขา

ราธบันรู้สึกสะเทือนใจและโกรธ

เขารู้ดีว่าตอนนี้ตนคือนักโทษร้ายแรงที่วิหารหลวงต้องการจะจับ แต่กระนั้นแล้วพวกเขากลับกล้าเมินเฉยต่อหน้าที่ขั้นพื้นฐานอย่างการช่วยเหลือผู้คนด้วยพลังของพระเจ้าได้อย่างไร

ราธบันหมุนตัวและจะวิ่งไปทางหมู่บ้าน แต่ก็ต้องหยุดลง

หากตอนนี้เขาไปที่หมู่บ้านแล้วจะเป็นอย่างไร หน่วยอัศวินแห่งวิหารจะต้องไล่ตามเขามาแน่ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะพบตัวอีริสที่เข้าไปในหมู่บ้านกับเพื่อนอัศวินที่อยู่ปกป้องนาง

แต่ถ้าหากไม่ไปล่ะ?

ด้วยปีศาจระดับนั้น ถึงแม้เพื่อนอัศวินที่รั้งอยู่ในหมู่บ้านจะไม่อาจฆ่ามันให้ตายได้ แต่ก็ยังพอจะทำให้มันล่าถอย นอกจากนี้หน่วยอัศวินแห่งวิหารที่ตามไล่ล่าจะต้องตามติดเขาแน่ ดังนั้นนั่นก็ทำให้สามารถแยกตัวออกมาจากอีริสและอัศวินคนอื่นๆ ได้ เพราะฉะนั้นเขาควรจะรีบหนีขึ้นไปบนเขา แต่ว่า…

ทั้งที่สมองบอกให้วิ่งขึ้นไปบนเขา แต่ขาของราธบันกลับไปยอมขยับง่ายๆ

หลังจากที่เขาสาบานตนกับพระเจ้าและก้าวเดินไปบนเส้นทางของอัศวิน เขาไม่เคยละทิ้งเสียงกรีดร้องของผู้คนไว้ด้านหลังเลยสักครั้ง และออกไปเป็นแนวหน้าในการสู้รบกับปีศาจมาโดยตลอด

ในตอนนั้นเอง

กร๊าซซซ!

เสียงร้องของปีศาจที่ดังและแหลมคมกว่าเมื่อครู่ก่อนมากพลันดังขึ้น เสียงร้องที่ดูเหมือนจะฉีกอากาศ มีพลังอันแข็งแกร่งจนทำให้ตัวเย็นเฉียบเพียงแค่ได้ยิน หมู่เมฆส่ายไปมา ก่อนที่ลมจะพัดแรงพร้อมกับร่างขนาดยักษ์ปรากฏตัวขึ้นระหว่างเมฆ

“…เฮกซ่า?”

เมื่อเห็นปีศาจที่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน ราธบันก็เรียกชื่อของมันออกมาด้วยสีหน้าตกใจ นอกจากขนาดจะใหญ่กว่าที่เขาจดจำได้เป็นอย่างมาก ทั้งจำนวนของปีกและขาก็เพิ่มขึ้นมาเช่นกัน ปีศาจตัวนั้นคงจะเกิดการ ‘เติบโต’ ที่ถูกรายงานไม่บ่อยในที่แห่งนี่

‘แย่แล้ว’

ราธบันออกแรงที่มือที่จับดาบ เฮกซ่าร่อนลงบนหอระฆังของหมู่บ้าน กำแพงหินของหอระฆังกลิ้งหล่นจนเกิดฝุ่นคลุ้ง จนสุดท้ายหอระฆังก็เอาชนะน้ำหนักของเฮกซ่าไม่ได้และถล่มลงมา เฮกซ่าบินขึ้นฟ้าอีกครั้ง ปีศาจตัวเล็กที่ปรากฏตัวขึ้นรอบข้างมันส่งเสียงร้องไม่น่าฟังและบินเข้าหาหมู่บ้านด้วยความเร็วสูงทันที เสียงร้องโหยหวนของผู้คนดังขึ้นจากไกลๆ

ราธบันรู้ทันที หากปล่อยไปเช่นนี้ หมู่บ้านนั้นจะต้องได้รับความเสียหายจนแทบจะสูญสิ้นเป็นแน่ เขาหันหน้ากลับไปมองหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่อยู่กับคาร์ล แม้จะอยู่ไกล แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าคนเหล่านั้นกำลังมองเฮกซ่าอย่างทำตัวไม่ถูก

ความคาดหวังว่าในไม่ช้าพวกเขาจะตั้งแถวและวิ่งไปที่หมู่บ้านของราธบันพังทลายอีกครั้ง คาร์ลที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุดตะโกนอะไรบางอย่างแล้วหันหลังกลับทันที ก่อนจะเริ่มวิ่งไป หน่วยอัศวินแห่งวิหารที่อยู่ถัดจากเขาลังเลเล็กน้อยและตามเขาไปเช่นกัน

“เฮ้อ…”

ราธบันถอนหายใจอย่างหมดหวัง ตอนนี้หน่วยอัศวินแห่งวิหารกำลังหันหลังให้ปีศาจอย่างนั้นหรือ? ทิ้งคนที่ต้องการความช่วยเหลือเอาไว้? ตอนนั้นเอง อัศวินหลายคนในหน่วยที่หันหลังกลับไปก็หยุดการเคลื่อนไหว ก่อนจะหมุนตัววิ่งกลับมาหาราธบัน ราธบันคิดว่าพวกเขาคงได้รับคำสั่งให้มาจับตน แต่คนที่วิ่งเข้ามาใกล้กลับตะโกนขึ้น

“หัวหน้า!”

ดวงตาของราธบันเบิกกว้าง ผ่านไปนานแล้วที่เขาวางตำแหน่งผู้บัญชาการ การที่พวกเขายังเรียกตนอยู่เช่นนี้…

ไม่นาน ราธบันก็ได้เห็นหน้าของอัศวินที่เผยตัวออกมา เป็นอัศวินที่ดื้อรั้นพอๆ กับเขา หรือบางทีอาจจะมากกว่าเขา เป็นอัศวินที่เชื่อว่ากฎระเบียบของวิหารหลวงคือกฎทั้งหมดของโลก ราธบันยังไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะทิ้งคาร์ลและวิ่งมาเรียกเขาว่าหัวหน้า คาร์ลเป็นผู้อาวุโส ส่วนเขาเป็นแค่อัศวินผู้เหลวแหลกเท่านั้นเอง

ราวกับอ่านใจของราธบันได้ อัศวินผู้นั้นตะโกนขึ้น

“ข้าเป็นอัศวินแห่งวิหาร การหันหลังให้ผู้คนและวิ่งหนีไปจากปีศาจเป็นเรื่องที่ไม่อาจทำได้ ข้าจะทำตามหัวหน้าขอรับ!”

เหล่าอัศวินที่วิ่งมาด้วยกันส่งเสียงตอบรับประสานกับคำตะโกนนั้น ราธบันหมุนตัวกลับ

ร่างขนาดใหญ่ของเฮกซ่าเข้าสู่สายตา เขาและอัศวินที่อยู่ด้านข้างวิ่งไปทางเฮกซ่าอย่างไม่ลังเล