ตอนที่ 34 ครูฝึกโกรธแทนเขาแล้ว / ตอนที่ 35 เพลงทหาร

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ

ตอนที่ 34 ครูฝึกโกรธแทนเขาแล้ว

 

 

“เป้ากางเกงของชุยหังเปิดครับ” มีคน ‘ใจดี’ ตอบออกไป

 

 

แต่ว่าในวินาทีนี้ชุยหังอยากจะให้เพราะแสงแดดมันแรงเกินจนทำให้ทุกคนมองเห็นมันไม่ชัด

 

 

แน่นอนว่านั่นมันก็เป็นเพียงแค่จินตนาการของเขาเท่านั้น

 

 

หลูจื้อเดินเข้ามาจากนั้นมองไปที่ชุยหังที่โก่งตัวลงกว่าครึ่งแล้วพลันยืนตัวตรงขึ้นในทันที

 

 

“หันมา” น้ำเสียงของหลูจื้อฟังดูแล้วมันคือคำสั่ง

 

 

ในเมื่อเห็นกันไปตั้งหลายคนแล้ว เขาเองก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ชุยหังเลยหันไปทันที

 

 

หลูจื้อมองอย่างพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพลางพูดว่า: “รออยู่ตรงนี้”

 

 

ชุยหังยืนหันหลังให้เขาดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ได้ยินแต่เสียงสวบๆ เบาๆ

 

 

ตอนที่เขารู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกได้ว่าสองมือของหลูจื้อโอบผ่านเอวของเขาเข้ามา จากนั้นเหมือนจะเอาอะไรสักอย่างมัดเข้าที่เอวของเขา

 

 

เขาก้มหน้ามองต่ำถึงพบว่าหลูจื้อเอาเสื้อตัวหนึ่งมามัดเข้าที่เอวของเขา

 

 

เมื่อครู่นี้เขาคงจะเดินไปเอาชุดลำลองนี้มา เพราะชุดทหารไม่สามารถถอดออกสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ยิ่งไม่สามารถจะเอามามัดเอวให้ชุยหังเพื่อปกปิดความอายได้

 

 

หลูจื้อใช้ชุดลำลองของตัวเอง และนั่นมันทำให้ชุยหังรู้สึกช็อคนิดหน่อย

 

 

เสื้อตัวนี้สะอาดมากดูเหมือนว่าหลูจื้อจะยังไม่เคยได้ใส่มันเลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดว่านั่งพื้นไปทั้งอย่างนี้แล้วโดยพื้นหญ้าเขียวๆ ติดขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ

 

 

“กลับหลังหัน” หลูจื้อพูดขึ้นโดยที่ไม่มีท่าทีลังเลเลย

 

 

ชุยหังรู้สึกฝืนใจนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็ทำตามที่เขาบอก

 

 

มองใบหน้าอันหล่อเหลานั้นของหลูจื้อแล้วทำให้เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเข้าใจเขาผิดไป

 

 

ยิ่งกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าที่ตัวเองด่าหลูจื้อไปแบบนั้นก็ดูไม่ค่อยจะถูกต้องเลยจริงๆ

 

 

แต่ว่าความรู้สึกผิดของเขายังไม่ทันจบลง หลูจื้อก็พูดขึ้นมาอีกประโยค: “ให้นายยืมใส่ ถ้าเกิดว่าทำมันเปื้อนนายต้องซักให้สะอาด ถ้าซักไม่สะอาดก็ซื้อตัวใหม่…”

 

 

ชุยหังตัดสินใจในทันทีที่จะยึดเอาความรู้สึกเมื่อครู่นี้กลับคืน…

 

 

“นั่งลง” หลูจื้อออกคำสั่ง

 

 

ชุยหังไม่มีทางเลือกนอกจากจะนั่งลงไปทั้งอย่างนั้น

 

 

เพราะตอนนี้เป้ากางเกงของเขาเปิดออกแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้มีแค่กางเกงชั้นในของเขาเท่านั้นที่กั้นเอาไว้ นั่งอยู่บนเสื้อของหลูจื้อแล้วยังเป็นพื้นหญ้าอีกด้วย

 

 

อากาศก็ร้อนเกินไปจนทำเอาตอนนี้พื้นหญ้าก็ร้อนๆ อุ่นๆ

 

 

“พอแล้ว ไม่ต้องมองแล้ว กางเกงไม่พอดีตัวก็เท่านั้นเอง พวกนายทุกคนจำเอาไว้ให้ดี พวกนายเป็นทีมเดียวกัน หัวเราะเยาะคนอื่นเท่ากับหัวเราะเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง แบบนั้นน่าขายหน้ายิ่งกว่า” หลูจื้อเหมือนมองออกว่าทุกคนกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

หน้าของชุยหังร้อนผ่าว รู้สึกว่าการพูดแบบนี้ช่างทันเวลาเกินไปแล้ว

 

 

ในเมื่อทุกคนไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร เรื่องนี้ก็นับว่าทำให้เขาดังขึ้นมาก็เท่านั้นเอง

 

 

“ฉันไม่หวังให้คนแถวอื่นหรือคนอื่นๆ รู้เรื่องนี้ รู้กันเฉพาะภายในเท่านั้นได้ยินหรือยัง” หลูจื้อพูด

 

 

“ได้ยินแล้วครับ” ทุกคนตอบกลับเป็นเสียงเดียวกัน

 

 

ข้างๆ ชุยหังแอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วลอยมา เสียงนี้ชุยหังคุ้นเคยดีมันเป็นเสียงของเหลียงจื้อ

 

 

ชุยหังเอียงหน้าไปมองเขาเล็กน้อย มองเข้าไปที่ดวงตาที่อยู่ด้านหลังแว่นตาอันนั้นกลั้นเอาไว้จนน้ำตาแทบจะเล็ดออกมาแล้ว

 

 

แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าขำมาก

 

 

ชุยหังถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็เลื่อนสายตากลับมาด้านหน้าเหมือนเดิม

 

 

“นายหัวเราะอะไร” หลูจื้อเดินมาหยุดตรงหน้าเหลียงจื้อแล้วถามออกมาตรงๆ

 

 

เหลียงจื้อตะลึงงันไปจากนั้นพูดตอบกลับไปว่า: “รายงานครูฝึก ผมไม่ได้หัวเราะอะไรครับ”

 

 

“หัวเราะเพื่อนร่วมชั้นของตัวเองรู้สึกเป็นเกียรติ? สิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อครู่นี้ นายฟังไม่เข้าใจ?” หลูจื้อเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากกว่าเดิม

 

 

ชุยหังตกใจน้ำเสียงของเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะโมโห

 

 

เหลียงจื้อดูเหมือนว่าจะคิดไม่ถึงรีบสำรวมกิริยาของตัวเองทันทีแล้วพูดว่า: “ไม่ครับ”

 

 

“จัดการตัวเองให้ดี ตอนเด็กๆ นายไม่เคยใส่กางเกงเปิดเป้าหรือไง? ครั้งนี้นายหัวเราะคนอื่น ครั้งหน้าก็ไม่รู้แล้วว่าใครจะหัวเราะเยาะนายบ้าง”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 35 เพลงทหาร

 

 

ตอนนี้เหลียงจื้อหัวเราะไม่ออกแล้ว ได้แต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา

 

 

แต่ว่าหลูจื้อไม่ได้อยากจะดุเสร็จแล้วก็ทำไม่สนใจ

 

 

“ตอนนี้พวกคุณอายุยังน้อยไม่รู้จักวิธีการเข้าหาคนอื่น คิดแต่อยากจะเอาชนะ จนในบางครั้งอยากหัวเราะก็หัวเราะ แต่ว่าต้องนึกถึงศักดิ์ศรีความเคารพตนเองของคนอื่นด้วย ต่อไปยังไงก็ยังคงต้องเจอหน้ากันบ่อยๆ การจดจำแต่เรื่องน่าขายหน้าของคนอื่นมันช่วยให้นายคบหาเพื่อนได้ไหม” น้ำเสียงของเขานุ่มนวลลงมากแล้ว

 

 

เหลียงจื้อยังคงไม่พูดอะไร แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนจะสำนึกถึงความผิดของตัวเองแล้ว

 

 

“เอาล่ะ เรื่องในวันนี้ก็ทำเป็นเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นก็พอแล้ว ต่อไปจะสอนพวกคุณร้องเพลงทหาร” หลูจื้อพูด

 

 

ชุยหังรู้สึกซาบซึ้งใจและในขณะเดียวกันก็เหมือนว่าจะไม่ได้อยากขับไล่หลูจื้อเหมือนเดิมแล้ว

 

 

อันที่จริงถ้าเขาไม่เอาแต่มาเย้าแหย่ตัวชุยหังล่ะก็ ตนเองก็คงรู้สึกชื่นชมเขามากเลยทีเดียว

 

 

อีกอย่างท่วงท่าที่ดูเคร่งขรึมของเขาก็ทำให้เขาดูหล่อมากด้วย

 

 

เพียงแต่ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นมันรู้สึกไม่สบายมากเลยจริงๆ

 

 

คนอื่นๆ นั่งลงบนพื้นลงไปเต็มๆ แต่ว่าเขายังต้องแอบๆ ยกมันขึ้นมาหน่อยๆ เพราะไม่อยากให้เสื้อของหลูจื้อเปื้อนสีของต้นหญ้า ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วตัวเองซักไม่ออกคงต้องซื้อตัวใหม่ให้หลูจื้อจริงๆ แล้ว

 

 

ถึงแม้หลูจื้อไม่ได้บอกแบบนี้แต่เขาก็ไม่มีทางจะคืนเขาไปทั้งๆ ที่มันไม่เหมือนเดิมหรอก

 

 

ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านของชุยหังจะยากจน แต่ว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็ไม่เคยแตะต้องของของคนอื่นตามใจชอบ

 

 

“สายลมพัดผ่านทั่วทั้งแผ่นดิน ดวงดาวเปล่งประกายบนธงทหารผืนแดง…” หลูจื้อเริ่มร้องเพลงขึ้น

 

 

เดิมทีเสียงของเขาก็ฟังดูหนักแน่นอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งฟังก็ยิ่งมีพลังมากขึ้น

 

 

ชุยหังถูกเสียงเพลงดึงดูดไปชั่วขณะ เพลงประจำค่ายทหารที่ฟังดูเรียบง่ายแบบนี้ ท่วงทำนองเพลงฟังดูแล้วก็ไพเราะดีเหมือนกัน

 

 

ไม่นานทุกคนก็เรียนรู้ตาม แต่บทเพลงที่ห้องอื่นๆ เรียนดูเหมือนจะไม่ใช่บทเพลงนี้ บางคนร้องประมาณว่า “หิมะทับถมต้นสนเขียวตระหง่านตรง ดอกเหมยเดือนสิบสองแดงสดดั่งดวงไฟ” บางคนร้องว่า “เสียงแตรดังกังวานก้าวย่างพร้อมเพรียง กองทัพของประชาชนมีวินัยเหล็ก” เสียงเพลงดังต่อเนื่องไปเป็นระลอกๆ มันดูอลังการมากๆ

 

 

ชุยหังยังคงไม่ได้นั่งลงไปเต็มๆ และหลูจื้อก็ดูไม่ได้ใส่ใจว่าเสื้อของเขาจะถูกชุยหังทำเลอะหรือเปล่า ยังคงสอนร้องเพลงอย่างตั้งอกตั้งใจตลอด

 

 

“เรียนได้หรือยัง” หลูจื้อถามขึ้นหลังจากสอนร้องเพลงไปแล้วสองสามรอบ

 

 

“พอสมควรแล้วครับ” มีเสียงตอบรับดังขึ้นมาประปราย

 

 

“ได้ก็คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ ไม่มีพอสมควร” หลูจื้อพูด

 

 

ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย ดูเหมือนว่าจะยังไม่ทันเรียนรู้ถึงขั้นที่สามารถร้องออกมาเป็นรอบได้

 

 

“ชุยหัง” หลูจื้อเรียกชื่อชุยหังอีกแล้ว

 

 

“ครับ” ชุยหังรีบลุกขึ้นยืนทันที

 

 

ขอบคุณสวรรค์ขอบคุณผืนดิน ในที่สุดเขาก็เรียกชื่อชุยหังขึ้นมา เขาดึงเสื้อที่หลูจื้อมัดไว้ที่เอวของเขาเอาแอบขึ้นมาดูตอนที่คนอื่นไม่ทันได้สังเกตเห็น ยังดีที่เสื้อมันแค่มีรอยยับยู่ยี่นิดหน่อยแต่ไม่ได้มีรอยเปื้อนอะไร

 

 

มันอยู่ด้านหลังเขาก็มองไม่ค่อยชัด

 

 

แต่ว่าเมื่อครู่นี้เขานั่งอย่างระมัดระวังมากคงไม่ได้มีรอยเปื้อนสีติดมาง่ายดายขนาดนั้น

 

 

“ชุยหังร้องมารอบนึงสิ” หลูจื้อพูดกับชุยหัง

 

 

เมื่อครู่นี้ที่หลูจื้อพึ่งจะถามไป ชุยหังไม่ได้ตอบดูเหมือนว่าจะร้องได้แล้ว อีกอย่างเขาก็มองออกว่าชุยหังนั่งอยู่ตรงนั้นดูไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ดังนั้นจึงหาข้ออ้างให้เขาได้ลุกขึ้นยืนพักสักหน่อย

 

 

ตอนนี้ชุยหังรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากที่ไม่ต้องทนเกร็งไว้ไม่กล้านั่งลงไปเต็มก้นแบบนั้น มาตอนนี้พอได้ฟังคำขอจากหลูจื้อก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อย

 

 

“ร้องสิ” หลูจื้อพูดขึ้น และไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้

 

 

ชุยหังมองไปที่เขา ขณะที่กำลังจะอ้าปากร้องก็ได้ยินหลูจื้อพูดออกมาอีกประโยค: “เดินออกมาข้างหน้า หันหน้าไปหาทุกคน”

 

 

“อ๋า?” ชุยหังเริ่มลังเลนิดหน่อย เพราะถ้ายืนหันหลังให้ทุกคนล่ะก็ต่อให้เขาหลับตาก็จะไม่มีใครเห็นความตื่นเต้นของเขา แต่ถ้าต้องหันหน้าไปมองทุกคนก็ไม่มีวิธีไหนช่วยอำพรางให้เขาได้แล้ว

 

 

“มานี่”