ตอนที่ 36 ความสำเร็จลบล้างความอับอาย
สายลมพัดโชยมา แต่กลับไม่ได้เย็นขึ้นเลย บวกกับความตื่นเต้นของชุยหังที่มีอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นจึงเริ่มทำให้รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มจะไหลลงมาแล้ว
หลูจื้อยังยืนอยู่ด้านหน้ารอเขา แต่เขากลับยืนงงอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี
เหลียงจื้อเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการกระทำที่ไม่ได้เจตนาของตัวเองเมื่อครู่ ส่งผลให้ชุยหังสูญเสียความมั่นใจแล้วรู้สึกอับอายหรือเปล่าจึงได้แค่เป็นคนนำปรบมือให้กำลังใจขึ้นมา
หลังจากได้ยินเสียงปรบมือจากทุกคน ชุยหังไม่ได้รู้สึกว่าผ่อนคลายลงไปเลยสักนิด กลับกันเขารู้สึกตกใจมากขึ้นกว่าเดิมอีก
แต่ว่าเขารับรู้ได้ถึงเจตนาดีของเหลียงจื้อ
ก่อนจะค่อยๆ ก้าวออกไปช้าๆ เสื้อของหลูจื้อเป็นเหมือนกับกระโปรงไม่มีผิด ทำให้ชุยหังรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
“แปะ แปะ!” เหลียงจื้อนำเสียงปรบมือให้กำลังใจอีกครั้ง ชุยหังรีบหันไปมองเขาทันที ใบหน้านั้นกำลังยิ้มแป้นราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนยังไงอย่างนั้น
หลูจื้อส่งเสียงทำลายบรรยากาศขึ้นมาจากอีกทาง: “เร็วหน่อยเถอะ ขนาดอุ่นเครื่องงานแสดงคอนเสิร์ตยังไม่ต้องเสียแรงเท่านายตอนนี้เลย”
ชุยหังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝืนใจหน้าด้านแล้วเริ่มร้องเพลงออกมา
“สายลมพัดผ่านทั่วทั้งแผ่นดิน ดวงดาวเปล่งประกายบนธงทหารผืนแดง ยืนตรงดั่งสน นั่งอย่างระฆัง ท่าทหารเข้มงวดเป็นระเบียบ…”
แต่ว่าเสียงร้องของเขาไม่เหมือนของหลูจื้อที่ดังสนั่นกังวาน แต่ค่อนข้างจะนุ่มนวลกว่า
เนื้อเพลงถูกต้องทุกคำ ทำนองเพลงก็ไม่ได้มีปัญหา แต่รู้สึกว่าโทนเสียงและพลังนั้นร้องยังดูไม่เหมือนเป็นเพลงเท่าไหร่
“ความจำไม่เลว แต่ว่าคราวหน้าเวลาร้องเพลงทหาร จำไว้ว่าอย่าร้องให้มันนุ่มนวลเหมือนพวกเพลงทันสมัยแบบนั้น” หลูจื้อกล่าววิจารณ์นิดหน่อย
นุ่มนวล คำนี้พอฟังแล้วมันช่างแทงใจจริงๆ
“เอาล่ะเข้าที่”
“ร้องดีนะแต่ว่าเสียงเบาไปหน่อย” พอชุยหังพึ่งจะนั่งลง เหลียงจื้อก็แอบๆ กระซิบกระซาบขึ้นมาหนึ่งประโยค
ชุยหังพูดด้วยรอยยิ้มว่า: “กางเกงเป้าแตกแล้ว ทุกอย่างพังทลายหมดแล้ว ไม่มีแรงจะร้องเพลงแล้ว”
เหลียงจื้อพูดขึ้น: “นายอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะ เดี๋ยวฉันจะกลั้นขำไม่ได้อีกแล้วต้องโดนด่าอีก”
“นั่นมันเพราะนายหัวเราะได้อัปลักษณ์เกินไป” ชุยหังก็พูดล้อเล่นกลับ
ชุยหังแอบขอบคุณหลูจื้ออยู่ในใจที่เมื่อครู่เขาพูดห้ามไม่ให้คนอื่นๆ หัวเราะเยาะชุยหังได้ทันเวลาพอดี นอกจากนี้คำพูดแสนแม่นยำตรงประเด็นของเขาไม่ได้ทำให้เหลียงจื้อโกรธ แถมยังทำให้เขารู้อีกว่าการกระทำของตัวเองเมื่อครู่ไม่เหมาะสมอย่างมากจริงๆ
ชุยหังกับเหลียงจื้อต่างก็ไม่ได้พูดคำพูดที่เกี่ยวกับการขอโทษอะไรพวกนั้น แต่แค่เอาเรื่องเมื่อครู่นี้กำจัดทิ้งไปซะ
“ในเมื่อมีคนเรียนจนร้องได้แล้วอนุญาตให้ทุกคนพักผ่อนอย่างอิสระยี่สิบนาทีแล้วกัน พวกคุณควรจะขอบคุณชุยหังนะ ถ้าเมื่อครู่นี้เขาไม่ร้องออกมา อย่างมากพวกคุณก็ได้พักแค่ห้านาทีเท่านั้นแหละ” หลูจื้อพูด
ในใจของชุยหังก็เข้าใจดี ที่เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อให้พวกเขาใช้ใจขอบคุณ แทนที่จะหัวเราะเยาะเรื่องที่กางเกงของเขาเป้าแตก
เมื่อคิดแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของหลูจื้อในใจเขาตอนนี้สูงขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
หลูจื้อเดินไปดื่มน้ำอีกทางแล้ว
ทุกคนต่างกรูเข้ามาแต่ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่เลยมีแต่ถามว่า: “ชุยหังเพลงที่นายร้องไปเมื่อกี้ช่วยร้องอีกรอบจะได้ไหม ฉันยังจำไม่ได้เลย”
“ความจำนายดีชะมัดเลย สมองนายโตมายังไงเนี่ย”
เสียงพูดดังขึ้นเป็นระลอกๆ ความสำเร็จเข้ามาลบล้างความรู้สึกอับอายและกังวลในใจของชุยหัง
หลูจื้อยืนมองมาทางพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนัก พลางกระตุกยิ้มขึ้นจนเห็นฟันขาวๆ โผล่ออกมา
ตลอดทั้งช่วงบ่ายพวกเขายืนระเบียบอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เรียนฝึกร้องเพลงทหารอีกพักหนึ่ง ชุยหังก็เริ่มคุ้นชินกับเสื้อที่มัดติดอยู่กับตัวของเขาแล้ว
“พรุ่งนี้เช้าจะมีการตรวจห้องพักของพวกคุณทุกคนและจะสอนทุกคนจัดการกับภารกิจภายในห้อง ทางที่ดีให้ตื่นแต่เช้า เหล่านักเรียนที่เคยชินกับการเปลือยตัวนอนระวังเอาไว้ให้ดี ทั้งหมดแยก!”
ตอนที่ 37 ผู้ชายที่สามารถในงานเย็บปักถักร้อย
กลับถึงหอพัก ชุยหังรีบแกะเสื้อเอาออกมาตรวจดูอย่างละเอียด
ตำแหน่งที่ถูกตัวเองนั่งกดทับอยู่ตลอดเวลามีรอยเปื้อนขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ แต่ว่ายังดีที่ไม่ได้เปื้อนจนเป็นรอยสีเขียวของหญ้าอย่างที่เขาเป็นกังวล
เขาเปลือยท่อนบน จากนั้นถอดกางเกงที่เป้ากางเกงเปิดของตัวเองออก หยิบเอากะละมังและแปรงขัดเสื้อผ้าเดินไปที่ห้องน้ำ ออกแรงขยี้เสื้อตัวนั้น
เขาไม่อยากจะคืนเสื้อให้หลูจื้อทั้งๆ ที่มันยังยับยู่ยี่และมีรอยเปื้อนแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
ตอนเขาซักเสื้อผ้าของตัวเองยังไม่เคยตั้งใจขนาดนี้เลย
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่รอบตัวเขาต่างก็เป็นเพื่อนห้องเดียวกันกับเขา ยังดีที่พอเห็นว่าเขากำลังนั่งซักผ้าก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่เป้ากางเกงเปิดเมื่อครู่อีก
เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจหลูจื้อมากเข้าไปใหญ่ บรรยากาศโดยรวมแบบนี้มันดีมากจริงๆ
รอจนกระทั่งเขาซักเสื้อผ้าเสร็จแล้วเดินกลับมาที่ห้องก็เห็นจ้าวหลินกำลังนั่งอยู่บนเตียงช่วยเย็บกางเกงให้เขา
“เหล่าต้า พี่เป็นงานฝีมือด้านนี้ด้วยหรือเนี่ย” ชุยหังถาม
จ้าวหลินเงยหน้าขึ้นแล้วพูดตอบ: “แน่นอนอยู่แล้ว นายคิดว่าเหล่าต้าของพวกนายไร้ความสามารถขนาดนั้นหรอ”
“พี่นี่นอกจากคลอดลูกแล้วมีอะไรที่ทำไม่เป็นบ้าง” ชุยหังพูดอย่างล้อเล่น
จ้าวหลินถือเข็มทำท่าพุ่งมาทางเขาเล็กน้อยพลางพูด: “ตอนนี้ฉันยังไม่เป็นคัมภีร์ทานตะวัน [1] ไม่อย่างนั้นทั่วทั้งร่างของนายตอนนี้คงจะมีแต่เข็มไปแล้ว”
“เหล่าต้านี่พี่พูดถึงบูรพาไร้พ่าย [2] หรือว่าแม่นมหยง [3] ?”
ในเมื่อคนในห้องพักชอบพูดล้อเล่น ตอนนี้ก็มีพวกเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
จ้าวหลินพูดขึ้น: “ฉันคือจอมโจรปักดอกไม้ [4] ส่วนนายเป็นคนที่เกิดมาก็ตาบอดจากในเรื่องหงส์ผงาดฟ้า [5] คนนั้นน่ะ”
หลังจากที่วังเจิ้นเฉียงฟังก็พูดขึ้นว่า: “เหล่าต้า ถ้าอย่างนั้นพี่ควรจะไปซื้อรองเท้าสีแดง [6] มาใส่นะรับรองว่าสวยแน่นอน”
“ได้ ฉันขอคิดดูก่อนนะ มาเหลาอู่กางเกงนายเย็บเสร็จแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะนายตั้งใจก็คงจะไม่แตกออกอีกแล้วล่ะ”
ชุยหังรับกลับมาพลางแอบถอนหายใจลึกๆ ในใจ
ตกดึกพวกเขานอนคุยกันอยู่บนเตียงนอนตลอด ตั้งแต่เหนือจรดใต้พูดคุยกันมั่วไปหมด
เหล่าซานจังเผิงกลับไม่ได้มาเข้าร่วมด้วย แถมในขณะเดียวกันกับที่พวกเขาพูดคุยเสียงดังขนาดนี้ยังนอนหลับลงอีก เรื่องนี้ทำให้ชุยหังนับถือเลยจริงๆ ทางด้านเหล่าเอ้อร์วังเจิ้นเฉียงที่เดิมทีไม่ค่อยเข้าร่วมวงสนทนาพูดคุยกับพวกเขาเท่าไหร่ก็เริ่มเข้ามาร่วมวงกับพวกเขาบ้างแล้ว
เดิมทีพวกเขาคิดว่าตอนบ่ายหรือไม่ก็ตอนกลางคืนจะจัดการเก็บห้องให้เรียบร้อย แต่เป็นเพราะความเหนื่อยล้ามากๆ จากการฝึกทหารบวกกับที่พึ่งจะเข้าพักในห้องได้เพียงสองวันจึงไม่ได้รกอะไรมาก ดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจร่วมกันว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเก็บกวาดสักหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว
ชุยหังกำลังพูดคุยกับพวกเขาในขณะเดียวกันก็เขี่ยดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย
ทางด้านหลิวเฮ่อยังคงไม่มีข่าวคราวอะไร เรื่องนี้มันทำให้อารมณ์ของเขาค่อนข้างตกต่ำลงไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเป็นฝ่ายทักหาก่อน แต่เพราะท่าทีที่ทำไปพอลวกๆ พอผ่านๆ ของหลิวเฮ่อมันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
เดิมทีความรู้สึกของคนเพศเดียวกันก็ไม่ได้มีคำมั่นสัญญาแต่งงานอะไรพวกนั้นมาผูกมัดอยู่แล้ว บวกกับที่ไม่ได้มีความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบในด้านครอบครัวแล้วยิ่งยากที่จะมั่นคง เพราะแบบนี้จึงยิ่งเพิ่มความลำบากยากเข็ญที่จะได้มา
ดังนั้นชุยหังจึงค่อนข้างอยากจะทะนุถนอม แต่ด้วยท่าทีของหลิวเฮ่อมันทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้เขาจะเป็นฝ่ายพยายามมากกว่านี้มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“เหลาอู่ นายคิดว่าครูฝึกหลูเป็นคนยังไงหรอ” จู่ๆ ถังเฉิงที่อยู่เตียงชั้นล่างก็ถามขึ้น
ชุยหังรีบเก็บความรู้สึกเข้าซ่อนทันทีก่อนจะครุ่นคิด เดิมทีรู้สึกว่าเขาเป็นคนหัวโบราณยึดทุกอย่างตามกฎระเบียบเดิมๆ แถมยังไม่มีน้ำใจ อาฆาตแค้น นอกจากเกิดมาหล่อแล้วก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง
แต่ว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเขามีหลักการในแบบของทหาร ว่าตามระเบียบวินัย รู้จักการแก้ไขปัญหาโดยรวม ข้อดียิ่งมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดแค้นเรื่องที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้ว พอคิดแบบนั้นแล้วกลับเป็นเขาที่ใจแคบเหมือนไส้ไก่คนนั้นแทน
[1] คัมภีร์ทานตะวัน (葵花宝典)คือคัมภีร์วิทยายุทธที่ได้รับการร่ำลือว่าเป็นสุดยอด และเหนือกว่าวิทยายุทธ์ใดในยุทธจักร
[2] บูรพาไร้พ่าย (东方不败)อ่านว่า “ตงฟางปู๋ป้าย” เป็นผู้มีวรยุทธสูงส่งพิสดาร เคลื่อนที่ได้รวดเร็วในพริบตา สามารถใช้เข็มแทนกระบี่เป็นอาวุธเล่นงานศัตรูได้
[3] แม่นมหยง (容嬷嬷)แม่นมผู้จงรักภักดีกับฮองเฮาอย่างมากจากเรื่ององค์หญิงกำมะลอ นางเคยใช้เข็มทำร้ายนางกำนัลในวังที่ทำให้ฮองเฮาไม่พอใจด้วยการใช้เข็มเล็กๆ ปักไปทั่วร่างกาย
[4] จอมโจรปักดอกไม้ (绣花大盗)เป็นจอมโจรลึกลับก่อคดีครึกโครมหลายสิบคดี อาวุธที่มหาโจรผู้นี้ใช้เป็นเข็มปักดอกไม้ แต่ใช้ปักดวงตายอดฝีมือมืดบอด กวาดสมบัติอันล้ำค่าหลายสิบชิ้น เงินทองอีกมากมายหลบหนีไป เป็นผลงานนิยายของโก้วเล้ง
[5] คนตาบอดในเรื่องหงส์ผงาดฟ้าคือฮวยมั่วเล่าเป็นตัวละครหลักจากเรื่องหงส์ผงาดฟ้าที่ตาบอดด้วยโรคตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเป็นผลงานนิยายของโก้วเล้งเช่นกัน
[6] รองเท้าสีแดง คือเวลาที่จอมโจรปักดอกไม้ลงมือออกอาละวาดปล้นและทำร้ายผู้คนจนตาบอดมักสวมใส่รองเท้าสีแดงซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับองค์กรรองเท้าแดงลึกลับที่เคยก่อคดีปล้นคนรวยช่วยคนจนมาก่อน