บุคคลนั้นจะเป็นใครเขาก็ไม่อาจรู้ได้!

หลิงเชอส่ายหัว “นั่นคือความลับสวรรค์ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน?”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิงเชอจึงกล่าวว่า “ดาวเหนือและใต้กำลังเผชิญหน้ากัน หากคนคนนั้นไม่ใช่เพื่อนของเจ้า เขาจะต้องเป็นศัตรูของเจ้า”

ซูหวานหว่านรู้สึกว่ามีบางสิ่งซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาสีเขียวของหลิงเชอ ต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่ได้บอกนาง เด็กสาวกำลังบังคับให้หลิงเชอพูดมันออกมา ทว่าก็มีเสียงดังมาจากข้างนอกเสียก่อน นางจึงถอดจิตออกมาจากมิติฟาร์มทันที

เมื่อออกมาจากมิติฟาร์มปรากฏว่าเป็นเสียงของนกฮูกที่ส่งเสียงร้องเรียก ราวกับว่าพวกมันกำลังต้องการปลุกให้นางตื่นขึ้น เมื่อเห็นซูหวานหว่านลืมตาขึ้นมา นกฮูกก็ส่งเสียงว่า “ข้าเพิ่งเห็นน้องสาวของเจ้าถูกคนใช้ในตระกูลไป๋ขับไล่ออกมาจากบ้าน ตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน! คาดว่าคืนนี้จะมีฝนจะตก นางคงได้นั่งตากฝนทั้งคืนแน่ ถ้านางหนาวตายจะทำอย่างไรดี! เจ้าต้องการที่จะไปดูนางสักหน่อยหรือไม่”

“น างบอกเองว่านั่นเป็นความสุขของนาง ข้าพูดกับนางไปหลายรอบแล้วทว่ามันไร้ประโยชน์ ข้าไม่อยากหาเรื่องหรือว่าปัญหามาใส่ตนเองแล้ว” ซูหวานหว่านพูดบอกออกมา จากนั้นป้อนน้ำจากมิติฟาร์มให้นกฮูกและนอนพักผ่อนต่อ ทว่าช่วงเวลาที่นางกำลังจะเคลิ้มหลับ ใบหน้าของน้องสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ปรากฏขึ้น

สุดท้ายแล้วนางก็แค่คนปากแข็งคนหนึ่ง

ซูหวานหว่านส่ายหัวและโทษตัวเองที่มีจิตใจที่ใจอ่อนเช่นนี้ นางผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับสวมใส่เสื้อผ้า หยิบร่มเก่า ๆ แล้วเดินออกจากบ้านไป สักพักก็มีฝนโปรยปรายลงมา ซูหวานหว่านเดินอยู่นานก่อนจะมาถึงที่หมู่บ้านข้าง ๆ ภายใต้การนำทางของนกฮูก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่านางจะตามหาบ้านของไป๋ซุนชุ่ยพบ ทว่าพอมาถึงกลับพบว่าซูเสี่ยวเหยี่ยนไม่ได้อยู่ที่ประตูหน้าบ้านแล้ว!

ซูเสี่ยวเหยี่ยนจะสามารถไปที่ไหนได้?

ซูหวานหว่านถือร่มเดินสำรวจตามรอบบ้านของตระกูลไป๋เพื่อมองหาผู้เป็นน้องสาว หลังจากที่นางเดินหารอบ ๆ นางก็ไม่พบใครเลย นางทำได้เพียงปลอบตัวเองว่าซูเสี่ยวเหยี่ยนอาจจะถูกคนในตระกลูไป๋เรียกเข้าไปในบ้านเพราะว่าฝนกำลังจะตก

เมื่อคิดได้แบบนี้ภายในใจของนางก็รู้สึกดีขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาในบ้านของตระกูลไป๋ ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังลากสิ่งของอยู่

ซูหวานหว่านมองลอดรั้วไม้ไผ่เข้าไปข้างในโดยอาศัยแสงจันทร์ที่พร่ามัว เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าและกางเกงขายาวกำลังสบถด่าพร้อมกับลากคนไปอีกด้านหนึ่งของบ้านราวกับเศษผ้า คนที่ถูกลากสวมเสื้อผ้าสีชมพู และนั่นคือซูเสี่ยวเหยี่ยนไม่ใช่หรือ!

ซูหวานหว่านตกตะลึง เหตุใดซูเสี่ยวเหยี่ยนถึงโดนทำร้ายเช่นนี้!

เมื่อกำลังจะก้าวเข้าไป คนด้านในก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าลูกชาย! เจ้าช่วยออกมาดูนางหน่อยเถิด เมื่อครู่ข้าตื่นขึ้นมากลางดึกและเห็นนางอยู่ที่ลานในบ้านดูเหมือนว่าจะปีนกำแพงรั้วบ้านแอบเข้ามาแล้วล้มลงหัวกระแทกพื้น! ข้าไม่รู้ว่านางยังหายใจอยู่หรือเปล่า! แต่ร่างกายของนางเย็นเฉียบมาก!”

ชายผู้นี้ก็น่าจะเป็นพ่อของไป๋ซุนชุ่ย

ซึ่งซูหวานหว่านตั้งใจมองดูเหตุการณ์จากด้านนอกอยู่

เอี๊ยด

เสียงประตูข้างในบ้านถูกเปิดพร้อมกับคนถือตะเกียงน้ำมันเดินออกมา ชายคนนั้นเหลือบมองซูเสี่ยวเหยี่ยนและพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “ท่านพ่อ ท่านจะลากนางเข้ามาทำไม? ให้ตายเถอะ!”

เมื่อพ่อของไป๋ซุนชุ่ยได้ยินคำพูดแบบนี้ เขาก็ปล่อยมือของซูเสี่ยวเหยี่ยนทันที ทำให้ร่างของนางล้มลงไปที่พื้น พร้อมร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“ยังไม่ตายอีกงั้นหรือ?” ไป๋ซุนชุ่ยเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย็นชาแล้วหันหลังเดินออกไป ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มก็เดินกลับมาพร้อมน้ำเย็นและเทมันลงบนหัวของซูเสี่ยวเหยี่ยน “ซูเสี่ยวเหยี่ยน เจ้าไสหัวกลับบ้านเจ้าไปซะ หากเจ้าเกลี้ยกล่อมพี่สาวเจ้าได้เมื่อใดค่อยกลับมา แต่หากว่าเจ้าทำไม่ได้เรื่องทุกอย่างคงต้องจบ!”

“คุณชายไป๋… ท่านทำอย่างนี้กับข้าได้อย่างไร! ข้าพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว อีกทั้งข้ายังให้เงินท่านไปเกือบ 10 ตำลึง ท่านจะมาทิ้งข้าเยี่ยงนี้ได้อย่างไร!” น้ำเสียงของซูเสี่ยวเหยี่ยนสั่นเครือ ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความหนาวเหน็บ ซูหวานหว่านที่แอบดูอยู่ด้านนอกก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

“10 ตำลึงรึ? ตระกูลจ้าวปฏิบัติต่อข้าอย่างไรและเจ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างไร? เงินแค่ 10 ตำลึงนี้ไม่ควรค่าแก่การคิดถึง! หากเจ้าสามารถให้บ้านของเจ้าให้แก่ข้าได้ ข้าถึงจะทำดีกับเจ้า!” ไป๋ซุนชุ่ยจ้องมองซูเสี่ยวเหยี่ยนอย่างรังเกียจภายในใจ

“ข้าอุตส่าห์ขโมยเงินจากบ้านของข้ามาให้ท่าน บ้านหลังนั้นมีไว้สำหรับพี่ชายและพ่อแม่ของข้า…”

ความเศร้าโศกเสียใจปรากฏขึ้นขณะที่ซูเสี่ยวเหยี่ยนเอ่ยออกมา นางจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยความเกลียดชัง “ข้ามอบทุกอย่างให้แก่เจ้า แต่เจ้ากลับมาโกหกข้า ทั้งยังมาพูดจาเหยียบย่ำข้าเยี่ยงนี้อีกหรือ!”

เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาเกลียดชังของซูเสี่ยวเหยี่ยน ไป๋ซุนชุ่ยก็รู้สึกไม่พอใจ ชายหนุ่มยกเท้าของตัวเองขึ้นมาถีบไปที่หน้าของนางอย่างแรง จนเด็กสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

เสียงร้องของนางมันได้ไปกระตุ้นความดิบเถื่อนในตัวของไป๋ซุนชุ่ย จนทำให้เขาออกแรงที่เท้าหนักขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพูดออกมาว่า “ซูเสี่ยวเหยี่ยน! เจ้าร้องสิ! อ้อนวอนข้า! ข้าสั่งให้เจ้าทำอะไรแล้วมันอย่างไร? นังสารเลวยังมีหน้ามาเรียกร้องอีก! จะให้ข้ายอมรับเจ้ามาเป็นอนุหรือเมียน้อยของข้าอย่างงั้นรึ? ไม่มีวันซะหรอก!”

เสียงร้องของซูเสี่ยวเหยี่ยนเบาลงเรื่อย ๆ จากนั้นก็เงียบไป สุดท้ายก็เป็นซูหวานหว่านที่ทนไม่ไหวเอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง “วางเท้าสกปรกของเจ้าลงเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ไป๋ซุนชุ่ยก็เกิดอาการลนลาน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นซูหวานหว่านที่กระโดดขึ้นมาบนรั้วและเหยียบอยู่ปลายรั้วราวกับตัวเองเป็นแมลงปอ เด็กสาวกระโดดลงมายืนอยู่ในลานบ้านพร้อมกับถือตะเกียงเอาไว้ในมือ

ตะเกียงน้ำมันในมือของไป๋ซุนชุ่ยสะท้อนในดวงตาของซูหวานหว่านราวกับประกายแวววาว ชายหนุ่มทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าจะวางเท้าเอาไว้ตรงไหนดี

ไป๋เหยี่ยนที่ยืนมองจากด้านข้างขยิบตาส่งสัญญาณให้ลูกชายของตนทันที และพูดออกมาว่า “ซูหวานหว่านมันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ! ซูเสี่ยวเหยี่ยนและลูกชายของข้าแค่กำลังจะสนุกกันเท่านั้น! เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว อีกทั้งฝนกำลังตก หากเจ้าไม่รังเกียจสามารถนอนพักที่บ้านของข้าคืนนี้ได้นะ”

ซูหวานหว่านมองแผนการของไป๋เหยี่ยนทะลุปรุโปร่ง เขาต้องการให้นางพักที่นี่หนึ่งคืนและแน่นอนว่าในตอนเช้าชื่อเสียงของนางก็จะเหม็นคาวไปด้วยข่าวฉาว จากนั้นครอบครัวของพวกเขาก็สร้างข่าวลือออกมาและแน่นอนว่านางจะต้องเสร็จคนพวกนี้แน่!

ซูหวานหว่านหัวเราะและปรบมือ “พ่อกับลูกนี่สมกันดีจริง ๆ! ตอนนี้พวกเจ้าไม่เพียงแต่จะทรมานน้องสาวของข้า แต่พวกเจ้ากำลังวางแผนเอาไว้ให้ข้าตกหลุมพรางอีก! พวกเจ้ามันเสียสติไปแล้ว!”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!” ไป๋เหยี่ยนยิ้มออกมา เขาคิดขึ้นมาได้ว่าซูหวานหว่านนั้นรู้จักท่านนายอำเภอดี เขาตื่นตระหนกและเตะเข้าไปที่ลำตัวซูเสี่ยวเหยี่ยน “เจ้ารีบพูดอะไรให้พวกเราหน่อยได้ไหม!”

ทว่าซูเสี่ยวเหยี่ยนยังคงนิ่งอยู่ ไป๋เหยี่ยนโกรธมากจนดึงตัวนางขึ้นมา และในตอนที่สัมผัสร่างกายของนาง เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของนางนั้นอ่อนปวกเปียก จึงตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “นางตายแล้ว! นางตายแล้ว!”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ซูหวานหว่านขมวดคิ้วก้าวเข้าไปหาซูเสี่ยวเหยี่ยน เด็กสาวใช้มืออังไปบริเวณจมูกดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ ร่างกายของซูหวานหว่านสั่นสะท้าน พร้อมกับเตะไปที่ตัวของไป๋ซุนชุ่ยจนล้มลงบนพื้น

“ไอ้ผู้ชายเลวทราม! เจ้าหลอกใช้น้องสาวข้าและยังมาทำร้ายนางจนตายอีก!!” ซูหวานหว่านรู้สึกเสียใจอย่างมาก เด็กสาวจ้องมองไปที่ไป๋ซุนชุ่ยด้วยนัยน์ตากระหายเลือด เต็มไปด้วยความอาฆาต

ทว่าไป๋ซุนชุ่ยยังคงนิ่งเฉย “ข้าไม่ได้ชอบนางตั้งแต่แรก นางเสนอตัวให้ข้าเอง! ทั้งนางยังเป็นคนคิดแผนการเสนอให้เจ้ามาแต่งงานกับข้า ข้าก็เลยตอบตกลง! โดยปกติแล้วข้ากับนางก็ด่ากันและทะเลาะกันเป็นธรรมดา นางก็ไม่เคยที่จะพูดอะไร! ใครจะคิดว่าวันนี้นางจะตายเล่า!”

ไอ้ผู้ชายชั่วช้า!!

“ยังมีหน้ามาอ้างถึงเหตุผลอีกรึ?” ซูหวานหว่านโกรธจัดพร้อมกับพูดออกมา “พรุ่งนี้ข้าจะป่าวประกาศเรื่องน้องสาวของข้าให้พวกชาวบ้านได้รับรู้! ดูสิว่าแม่นางจ้าวยังจะกล้าแต่งงานกับเจ้าอยู่หรือไม่!”

“เจ้ากล้าอย่างงั้นหรือ!” สตรีนางหนึ่งเดินออกมาจากในห้อง นางคืออาของไป๋ซุนชุ่ย หญิงวัยกลางคนเดินออกมาพร้อมกับจ้องไปที่ไป๋เหยี่ยนแล้วพูดว่า “ท่านพี่! ท่านจะปล่อยให้นังเด็กคนนี้พูดเรื่องนี้ออกไปไม่ได้! ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะพังหมด! และชื่อเสียงของไป๋ซุนชุ่ยก็เช่นกัน! เขาจะสอบชั้นขุนนางได้อย่างไรหากเกิดเรื่องแบบนี้! ท่านยังไม่รีบไปหาเชือกมามัดตัวซูหวานหว่านเอาไว้อีก! ต่อให้พวกเราจะต้องฆ่านางตายก็ตาม ยังไงพวกเราก็ปล่อยให้นางพูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด!”

เมื่อไป๋เหยี่ยนได้ยินแบบนี้ก็รีบลุกขึ้นไปหาเชือกทันที ซึ่งไป๋ซุนชุ่ยและอาของเขาก็เดินเข้ามาเตรียมที่จะจับตัวซูหวานหว่านเอาไว้