ตอนที่ 52 สำนักย่อย

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 52

สำนักย่อย

 

“คุณหนู” ยังไม่ทันจะเข้าใกล้เมืองกล้วยไม้หยก ร่างของเหล่านักล่าอสูรก็วิ่งออกมาจากเมืองกันอย่างรวดเร็ว

“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”ชายคนหนึ่งว่าพลางมาหยุดยืนข้างๆม้าที่ไป๋จูเหวินขี่อยู่

“พวกท่าน..คนจากหน่วยปักษาไม่ใช่หรือ”เหม่ยหลินถามพลางมองเหล่านักล่าอสูรที่เข้ามาห้อมล้อม พวกมันแต่งตัวไม่ต่างจากกลุ่มนักล่าอสูรที่ไป๋จูเหวินเคยเจอเท่าไหร่ เพียงแต่ที่สร้อยคอไม่ได้ประดับเขี้ยวสัตว์เอาไว้ แต่กลับมีขนนกสีฟ้าเส้นหนึ่งประดับสร้อยคอเอาไว้เท่านั้น

“พวกเราได้รับแจ้งข่าวจากหน่วยของคุณหนูว่าคุณหนูหายตัวไป คุณชายเฟยเฟิ่งเลยส่งพวกเรามาตามหา”ชายคนเดิมพูดไม่ทันจบร่างของชายอีกคนก็เข้ามาแทรกเสียก่อน

“คุณหนู ท่านไปไหนมา รู้หรือไม่ข้าเป็นห่วงแค่ไหน”หมิงฮุ่ยในร่างมนุษย์พูดพลาง ลอบมองไป๋จูเหวินครู่หนึ่ง แต่สายตาของมันกลับให้ความสนใจกับหมิงหยวนหยวนมากกว่า

“คุณหนูหรือว่าท่านเข้าไปในเขตอสูรคนเดียว”คำถามของหมิงฮุ่นทำเอาเหม่ยหลินสะดุ้ง

“ขอโทษด้วย ข้าเป็นคนรับปากจะพานางเข้าไปเอง”ไป๋จูเหวินตอบพลางลงมาจากหลังม้า ก่อนจะรับร่างของเหม่ยหลินลงมาอีกคน

“อย่างเจ้าเนี่ยนะจะพาคุณหนูเข้าไปในเขตอสูร”ชายจากหน่วยปักษาหัวเราะออกมาเพราะมันสัมผัสพลังของไป๋จูเหวินได้ว่าพึ่งจะอยู่ขั้น 5 ของระดับผลึกวิญญาณเท่านั้น อาจจะเยอะสำหรับสถานที่แห่งนี้แต่พลังเพียงเท่านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนจากกลุ่มนักล่าอสูรเลย

“ข้าเพียงรู้ทางที่ปรอดภัยเท่านั้น ไม่ได้ต่อสู้กับอสูรในเขตอสูรแต่อย่างไร”ไป๋จูเหวินว่าพลางหันไปมองเหม่ยหลิน พวกท่านน้าได้เตือนเหม่ยหลินไว้แล้วว่าห้ามบอกเรื่องในเขตอสูรให้ผู้อื่นรู้ พวกมันเลยตกลงกันว่าให้ไป๋จูเหวินเพียงพาเหม่ยหลินเข้ามาตามเส้นทางที่ปรอดภัยแล้วพาหยวนหยวนที่กำลังหนีออกมากลับไปได้เท่านั้น

“ข้าไม่เป็นไรแล้วพี่ฮุ่ย เรากลับกันเถอะ”เหม่ยหลินพยายามเปลี่ยนเรื่องพลางบอกให้หมิงฮุ่ยรีบพาตนกลับไปยังโรงเตี๊ยม

“ขอรับ”หมิงฮุ่ยถอนหายใจออกมาพลางตอบรับอย่างสงบ ไม่ใช่ว่ามันจะปล่อยเรื่องนี้ไปแต่อย่างไร เพียงแต่การตักเตือนคุณหนูจะกระทำต่อหน้าคนของหน่วยอื่นก็คงจะไม่เหมาะสมนัก

“น้องหลิน”ยังไม่ทันได้เดินไปไหนต่อ ร่างของชายหนุ่มอีกคนก็ร่อนลงมาจากท้องฟ้า

“เจ้าไปไหนมา พวกข้าเป็นห่วงแทบแย่”ชายหนุ่มท่าทางอายุมากกว่าไป๋จูเหวิน 3 ถึง 4 ปีพูดด้วยท่าทีเป็นห่วง

“พี่เฟิ่ง ข้าสบายดี”เหม่ยหลินว่าพลางประสานมือรับอีกฝ่าย

“ถ้าน้องหลินเป็นอะไรละก็ท่านลุงได้โกรธข้าแน่ๆ โชคดีจริงๆที่เจ้าปรอดภัย”ชายหนุ่มคนนี้คงจะเป็นเฟยเฟิ่งที่หน่วยปักษาพูดถึงเป็นแน่

“ต้องขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาข้ากลับมาอย่างปรอดภัย”เหม่ยหลินว่าพลางเดินเข้าไปใกล้ไป๋จูเหวินนิดหน่อย

“อย่างนี้นี่เอง น้องไป๋เจ้าเป็นคนหน่วยไหนหรือ”เฟยเฟิ่งถามพลางมองพลังวิญญาณของไป๋จูเหวิน มันมีสีหน้าแปลกใจนิดหน่อยเพราะพลังวิญญาณของไป๋จูเหวินยังไม่ถึงระดับหลอมรวมปฐพีซึ่งเป็นระดับพื้นฐานในการเข้ากลุ่มนักล่าอสูร

“ข้าไม่ได้เป็นคนของกลุ่มนักล่าอสูรขอรับ แต่ก็วางแผนจะขอเข้าร่วมอยู่”ไป๋จูเหวินตอบพลางยิ้มให้อีกฝ่าย จะว่าไปมันอยากจะถามเหม่ยหลินว่าการเข้าร่วมกลุ่มนักล่าอสูรต้องทำเช่นไรนี่นา กลายเป็นว่ามันลืมถามไปเสียสนิท

“เจ้าจะเข้ากลุ่มนักล่าอสูรงั้นเหรอ”กลับเป็นเหม่ยหลินเสียเองที่ประหลาดใจกับคำพูดของไป๋จูเหวินเพราะนางเคยเสนอให้ไป๋จูเหวินเข้ากลุ่มอสูรแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นไป๋จูเหวินปฏิเสธเพราะมันมีสำนักแล้ว

“สำนักของข้าให้ข้าออกจากสำนักแล้ว ข้าเลยอยากจะเดินทางไปขอเข้ากลุ่มนักล่าอสูร แต่กลับเจอเจ้าก่อน”ไป๋จูเหวินหัวเราะเบาๆเพราะตนเองก็ลืมบอกเรื่องนี้มาตลอดหลายวันที่ผ่านมาเลย

“เช่นนั้นท่านก็ไปกับพวกเราก็ได้ ถึงพลังวิญญาณของท่านจะยังไม่ถึงขั้นหลอมรวมปฐพี แต่…”

“ข้าเกรงว่าจะทำเช่นนั้นไม่ได้”อยู่ๆเฟยเฟิ่งก็สอดคำขึ้นมาเสียเฉยๆ

“พวกเราจะรับคนเพียงเพราะรู้จักไม่ได้นะน้องหลิน งานของพวกเราเป็นงานอันตรายที่ต้องเสี่ยงกับอสุรอยู่ตลอดเวลา หากให้เขาเข้าเพราะเป็นคนรู้จักของท่านคงไม่ต่างพาเขาไปตายเท่าไหร่”เฟยเฟิ่งว่าพลางมองไป๋จูเหวินด้วยท่าทีไม่ชอบใจนัก

“ไม่เป็นไรหรอก คุณชายไป๋เป็นคนมีความสามารถ หากเป็นเขาละก็ต้องกลายเป็นนักล่าอสูรชั้นยอดได้อย่างแน่นอน”หยวนหยวนที่อยู่ในอ้อมแขนของเหม่ยหลินพูดพลางยิ้มออกมา เฟยเฟิ่งเป็นบุตรายของหัวหน้าหน่วยปักษา รู้กันดีทั้งสำนักว่ามันชอบเหม่ยหลินพยายามจะให้พ่อของมันจัดการหมั้นหมายกับเหม่ยหลินมาหลายครั้งหลายครา แต่เพราะพ่อของเหม่ยหลินเก็บตัวฝึกวิชามานานไม่ยอมออกมาพบผู้คน ทำให้พ่อของเฟยเฟิ่งทำอะไรไม่ได้ ส่วนเหม่ยหลินเองก็อาศัยเรื่องที่พ่อไม่ใช่ผู้ตกลงตนเองเลยไม่รับหมั้นเช่นกัน

ปกติเหม่ยหลินไม่ค่อยใกล้ชิดกับคนอื่นนัก นอกจากหยวนหยวนและหมิงฮุ่ยแล้วก็มีคนในกลุ่มของนางไม่กี่คนเท่านั้นที่พูดคุยด้วย ทำให้เฟยเฟิ่งยังมีความหวังมาตลอด แต่ยามนี้เห็นหญิงสาวที่มันหลงรักพูดคุยอย่างดีอกดีใจกับเจ้าหนุ่มที่ไหนก็ไม่ทราบคงปวดใจไม่น้อย

“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะมาตัดสิน”เฟยเฟิ่งว่าพลางมองหยวนหยวนด้วยท่าทีไม่ชอบใจนัก

“ถ้าเช่นนั้น ให้คุณชายไป๋เข้าสำนัก เขี้ยวมังกร ที่อยู่ในนครผาหยกไปก่อน เมื่อพลังฝีมือถึงขั้นแล้วก็ค่อยเข้าสำนักอย่างถูกต้อง”หมิงฮุ่ยเสนอออกมา

“แบบนี้คงไม่มีปัญหาสินะ”หยวนหยวนยิ้มพลางมองไปทางเฟยเฟิ่ง แต่เดิมสำนักเขี้ยวมังกรก็เป็นสำนักย่อยของกลุ่มนักล่าอสูรอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นสำนักสำหรับปั้นนักล่าอสูรเลยก็ว่าได้ หากให้ไป๋จูเหวินเข้าสำนักเขี้ยวมังกรเขาย่อมสามารถเข้าร่วมกลุ่มนักล่าอสูรได้ในเวลาไม่นานเป็นแน่

“เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา แต่เกรงว่าเราคงต้องแยกทางกันเท่านี้”เฟยเฟิ่งพูดพลางยิ้มออกมาเช่นกัน

“ยังไงพวกเราก็ต้องกลับทางนครผาหยกอยู่แล้ว ให้คุณชายไป๋ร่วมทางไปด้วยคงไม่เป็นไร”เหม่ยหลินว่าพลางมองไปทางไป๋จูเหวิน แม้แต่ตัวนางเองยังประหลาดใจเลยว่าทำไมตนเองไม่อยากแยกทางกับไป๋จูเหวินขนาดนี้

“พวกข้านอกจากจะมาช่วยตามหาน้องหลินแล้ว ยังมีภารกิจอีกถารกิจให้น้องหลินเข้าร่วม พวกเราไม่ได้จะเดินทางกลับนครร้อยแปดอสูร แต่จะเดินทางไปเขตพู่กันหยกที่อยู่ทางตะวันออก”ได้ยินเช่นนั้นเหม่ยหลินก็มีท่าทีเสียดายขึ้นมาทันที การร่วมทำภารกิจของกลุ่มนักล่าอสูรถือเป็นเรื่องปกติ แต่มันก็เท่ากับว่านางต้องเดินทางไปทิศตะวันออกและไป๋จูเหวินเดินทางไปทิศเหนือเสียได้

“ไม่ต้องห่วง ยังไงคุณชายไป๋ก็เข้ากลุ่มนักล่าอสูรอยู่แล้ว ไม่นานก็ได้พบกันเอง”หยวนหยวนว่าพลางกลายร่างเป็นมนุษย์พลางลูบหัวเหม่ยหลินอย่างเอ็นดู ไม่บ่อยนักหรอกที่จะได้เห็นคุณหนูของนางอยากจะอยู่กับใครนานๆ

“อืม…”เหม่ยหลินว่าพลางมองไป๋จูเหวินด้วยสีหน้าเศร้าๆ

“ไม่เป็นไร วันหน้าเราคงได้พบกันอีก”ไป๋จูเหวินยิ้มพลางมองท่าทีของเหม่ยหลินพลางยิ้มออกมา

“ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าเรื่องที่สอนข้าเรียกบริวารเลย”เหม่ยหลินว่าพลางมองม้าสีดำที่ตนและไป๋จูเหวินขี่มา

“ไม่เป็นไรหรอก”ไป๋จูเหวินส่ายหน้าเบาๆ แต่ดูเหมือนเหม่ยหลินจะยังติดใจเรื่องนั้นอยู่

“เอาไว้พบกันอีกท่านช่วยสอนข้าเป่าขลุ่ยบ้างก็แล้วกัน”ได้ยินไป๋จูเหวินเสนอเช่นนั้น นางก็ได้แต่พยักหน้าช้าๆ แม้จะเป็นการสนธนาสั้นๆแต่เฟยเฟิ่งกลับหน้าดำคล้ำไม่ต่างจากคนเป็นโรคร้ายเท่าไหร่ หากมันยังปล่อยไป่จูเหวินอยู่ใกล้ๆน้องหลินของมัน คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

“น้องหลิน เราไปกันเถอะ อสูรที่แฝงเข้ามาในเมืองคราวนี้อันตรายนัก หากไม่รีบไปคนในเมืองคงเดือดร้อนแน่ๆ”เฟยเฟิ่งว่าพลางเร่งให้เหม่ยหลินออกห่างจากไป๋จูเหวินเร็วๆ

“แต่นายน้อย อสูรหนูไม่ทำร้ายมนุษย์นะขอรับ”ชายคนหนึ่งถามเมื่อได้ยินคำสั่งของเฟยเฟิ่ง

“หุบปาก”เฟยเฟิ่งว่าพลางเตะก้นชายคนนั้นไปทีหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะโกหกหรือไม่ นักล่าอสูรก็มีหน้าที่ทำตามภารกิจ ไม่สามารถรีรอได้ สุกท้ายเหม่ยหลินก็ต้องของลาจากไป๋จูเหวินไปเพียงเท่านี้ ปล่อยให้ไป๋จูเหวินเดินทางเข้าเมืองกล้วยไม้หยกแต่เพียงลำพัง

แต่ถึงอย่างนั้นไป๋จูเหวินก็ได้วิธีการเข้าร่วมกลุ่มนักล่าอสูรมาแล้ว ขอเพียงพาพี่ต้าชิงต้าเฉินเข้าร่วมสำนักเขี้ยวมังกร การเข้ากลุ่มนักล่าอสูรก็คงไม่ใช่เรื่องยาก