ตอนที่ 53
เมืองผาหยก
การเดินทางจากเมืองกล้วยไม้หยกมายังเมืองผาหยกนั้นใช้เวลานานกว่า 5 วันในการเดินทางด้วยม้าที่ซื้อมาจากเมืองกล้วยไม้หยก ในตอนแรกไป๋จูเหวินก็สงสัยอยู่ว่า ผาหยก จะเป็นแค่ชื่อเมืองหรือไม่เพราะเมืองกล้วยไม้หยกก็ไม่ได้ปลูกกล้วยไม้ที่เป็นหยกแต่อย่างไร แต่เพียงได้เห็นเมืองผาหยกจากระยะไกล ก็เข้าใจทันทีว่า ผา หยกไม่ได้เป็นแค่ชื่อ เมืองผาหยกเป็นเมืองที่ตั้งหันหลังเข้าหน้าผาที่มีสีเขียวเข้มเหมือนหยกไม่มีผิด แต่สีของมันไม่เงางามเท่าไหร่นัก น่าจะเป็นหินที่มีสีออกเขียวมากกว่า บนหน้าผาสีเขียวแกะสลักคำว่า ผาหยก เอาไว้มองเห็นได้จากระยะไกล เรียกได้ว่าเป็นตัวหนังสือที่ใหญ่โตมาก
ส่วนตัวเมืองสร้างด้วยอิฐสีขาวบ้างทองบ้าง ดูแล้วเข้ากับหยกอย่างประหลาด ที่กลางเมืองสิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือเนินดินที่ถูกก่อเป็นทรงกระบอกปูด้วยห้อนหินสีขาวเม็ดเล็กๆทั้งเนิน ที่ยอดเนินมีวังหลังหนึ่งตั้งอยู่พร้อมกำแพงไม้ปรับทองดูหรูหรา ส่วนตัววังกำแพงส่วนใหญ่ทำจากหยกสวยงามราวกับภาพวาด
“เป็นเมืองที่หรูจริงๆนะ”ต้าเฉินเห็นภาพตรงหน้าก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ เมืองผาหยกเป็นเมืองหลวงของนครผาหยก เป็นศูนย์รวมเศรฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนครผาหยกเลยก็ว่าได้ ทำเอาภาพเมืองแรกๆที่ไป๋จูเหวินเคยเจอเป็นเมืองเล็กๆไปเลย
“เพราะหรูเกินไปนี่ล่ะคนธรรมดาอย่างพวกเราเลยอยู่ที่นี่ไม่ได้”ต้าชิงว่าพลางมองที่เต็มไปด้วยประกายแวววับจากของประดับตกแต่งบ้านด้วยสีหน้าลำบากใจ การใช้จ่ายในเมืองนี้ใช้เงินเยอะมาก นายน้อยของมันที่มีทองเป็นจำนวนมากคงไม่มีปัญหาแต่พวกมันคงมีปัญญาใช้จ่ายในเมืองนี้ได้ไม่กี่วัน หากเข้าสำนักใดสำนักหนึ่งไม่ได้ก็มีแต่ต้องหันหน้าไปที่อื่นเท่านั้น
“ไปกุนเถอะพี่ต้าชิงพี่ต้าเฉิน”ไป๋จูเหวินว่าพลางบังคับม้าลงไปยังเมืองผาหยก บริเวณรอบเมืองผาหยกตลอด 5 กิโลเมตรไม่มีต้นไม้ใหญ่เลยแม้แต่ต้นเดียว มันราวกับโดนตัดออกจนหมดและนำหญ้ามาปลูกแทนที่จนกลายเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ทำให้ทหารยามและเหล่าคนเดินทางสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารอบๆตัวมีใครเดินทางมาบ้าง
“เข้าไปได้”ที่หน้าเมืองปรากฏทหารยามคอยเฝ้าประตูเอาไว้ การตรวจตราของเมืองหลวงค่อนข้างเข้มงวดมากทีเดียว
“พวกเจ้ามากันกี่คน”ทหารยามถามพลางเรียกเพื่อนร่วมงานมาช่วยกันตรวจค้น พริบตานั้นไป๋จูเหวินตรวจสอบพลังวิญญาณของทหารยามเหล่านี้แล้วพบว่าพวกเขาอยู่ในระดับ ผลึกวิญญาณขั้น 2 และ 3 เรียกได้ว่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณที่มาเป็นทหารยามเช่นนี้พึ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก
“3 ขอรับ”ต้าชิงลงจากม้าพลางประสานมือให้กับเหล่าทหาร พวกตนมาขอเข้าเมืองอย่างถูกต้องไม่มีเหตุต้องปิดบังอะไร
“ขออณุยาติตรวจค้น”ทหารยามพูดอย่างมีมารยาท ก่อนจะเดินเข้ามาตรวจสอบพวกไป๋จูเหวิน การตรวจสอบต้าชิงและต้าเฉินเสร็จอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขามีเพียงห่อผ้าที่พกติดตัวไปไหนมาไหนเท่านั้น เพียงแต่พอมาถึงคิวของไป๋จูเหวินเหล่าทหารยามก็มองมายังแหวนมิติที่นิ้วของไป๋จูเหวินเป็นตาเดียว
“คุณชาย ขออณุยาติตรวจค้นของในแหวนของท่านได้หรือไม่”ได้ยินเช่นนั้นไป๋จูเหวินก็ลังเลนิดหน่อย ของในแหวนส่วนใหญ่เป็นของที่พวกท่านน้าให้มาทั้งสิ้น
“ไม่ต้องห่วงขอรับ กลุ่มองครักษ์เกราะขาวของเรามีมาตรการเก็บความลับของคุณชายอยู่แล้ว เชิญคุณชายมาที่ห้องตรวจสอบทางนี้ขอรับ”ทหารอีกคนพูดพลางผายมือไปยังห้องเล็กๆที่ตั้งอยู่หลังประตูเมือง มันเหมือนป้อมยามขนาดพอๆกับบ้านหลังเล็กๆ โดยทันทีที่เข้ามาไป๋จูเหวินก็พบว่ามีเพียงทหาร 2 คนและคนแต่งตัวเหมือนนักวิชาการคนหนึ่งเท่านั้น มันถือม้วนกระดาษราวกับจะทำหน้าที่จดว่าของในแหวนมีอะไรบ้าง
“เชิญขอรับคุณชาย หากไม่มีของผิดกฎหมายทางเราจะไม่เปิดเผยแก่ผู้อื่นเด็ดขาดว่าคุณชายพกพาอะไรมาบ้าง”ดูเหมือนชายตรงหน้าจะทำเช่นนี้เป็นประจำอยู่แล้ว เขาอธิบายและเข้าใจความกังวลของอีกฝ่ายได้ดีทีเดียว
“เข้าใจแล้ว”ไป๋จูเหวินถอนหายใจก่อนจะนำของในแหวนมิติออกมา
เคร๊งๆๆ ของในแหวนมิติของไป๋จูเหวินมีจำนวนมากมายมหาศาลมากกว่าที่ไป๋จูเหวินรู้เสียอีก เพียงพริบตาทั้งเสื้อผ้า ยา อาวุธและตำราต่างๆก็ถูกกองลงบนโต๊ะที่ตั้งเอาไว้ตรงกลาง เพียงแต่จำนวนมันมากเกินไปจนล้นตกลงมายังพื้นเบื้องล้าง
“……..”คนในห้องอึ้งไปตามๆกันกับภาพที่เห็น ไม่เว้นแม้แต่ไป๋จูเหวิน ตัวมันก็ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าของในแหวนมิติมีมากมายเช่นนี้ มันแค่เอาของที่มันใส่ลงไปออกมาใช้งานในบางครั้งเท่านั้น จะว่าไปน้าพยัคฆ์ก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าเอาแหวนมิติมาจากไหน พอมาคิดๆดูแล้วเขคอสูรไม่มีอสูรใช้แหวนมิติแม้แต่ตนเดียวเพราะส่วนใหญ่ใช้มิติของตนได้กันหมด แถมไม่มีการสร้างแหวนมิติในเขตอสูรเสียด้วย แล้วแหวนมิติที่ท่านน้าพยัคฆ์นำมามันจากไหนล่ะ…
ไม่นานคำตอบก็แล่นเข้ามาในหัวของไป๋จูเหวิน แหวนมิติเหล่านี้ย่อมมาจากคนที่บุกเข้าไปในเขตอสูรอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นย่อมหมายความว่าของเหล่านี้เป็นของคนที่บุกเข้าไปในเขคอสูรแน่ๆ…
“นี่มัน…..”ทหารและคนจดบันทึกร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นอาวุธและเสื้อผ้าที่อยู่ในแหวนมิติของไป๋จูเหวิน นอกจากนี้ยังมีตำราอีกมากมายที่ไป๋จูเหวินไม่เคยเห็นอีกต่างหาก แต่จากการใช้ดวงตาสีทองตรวจสอบ ไป๋จูเหวินก็พบว่าของเหล่านี้ต่างเป็นอาวุธวิเศษทั้งสิ้น แต่พอคิดๆดูแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมของเหล่านี้ถึงอยู่ในแหวนได้ เพราะคนที่จะเข้าเขตอสูรนั้นย่อมต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง และการที่มันจะอยู่รอดจนโดนท่านน้าพยัคฆ์สังหารได้ก็ต้องมีฝีมือไม่น้อย
“แบบนี้จ้าจะเขียนยังไงล่ะ”คนจดบันทึกมือสั่นเทาพลางมองของตรงหน้า ของพวกนี้แม้แต่ในเมืองผาหยกยังไม่มีให้เห็น บางชิ้นแม้แต่มันเองยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ
“คุณชาย ท่านเป็นคนของกลุ่มนักล่าอสูรหรือขอรับ”อยู่ๆทหารนายหนึ่งก็ถามออกมาเมื่อเห็นสร้อยคอเขี้ยวสัตว์อสูรที่รวมๆกันอยู่มในแหวนมิติของไป๋จูเหวิน
“ข้าแค่จะมาสำนักเขี้ยวมังกร ไม่ได้…”ไป๋จูเหวินกำลังจับอกว่าตนไม่ได้เป็นคนจากกลุ่มนักล่าอสูร แม้จะกำลังจะเข้าก็ตาม
“เช่นนี้นี่เอง คุณชายคงเป็นผู้มาตรวจสอบสำนักเขี้ยวมังกรจากกลุ่มนักล่าอสูร ทำไมคุณชายไม่บอกข้าตั่งแต่แรกเราจะได้ให้ท่านผ่านไปได้เลย”ทหารยามอีกคนว่าพลางก้มลงเก็บของที่ตกลงบนพื้นมาวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“เชิญคุณชายนำของกลับเข้าไปในแหวนได้เลยขอรับ คนจากกลุ่มนักล่าอสูรไม่จำเป็นต้องตรวจสอบแต่อย่างไร”ทหารยามว่าพลางยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ ปกติพอเห็นสร้อยคอของเหล่านักล่าอสูรพวกมันก็จะปล่อยไปไม่เข้าตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ใครจะคิดว่าคุณชายท่านนี้จะเก็บสร้อยคอเอาไว้ในแหวนมิติ แถมดูจากจำนวนของมีค่าที่คุณชายท่านนี้พกมาพวกมันอาจจะกำลังล่วงเกินผู้ยิ่งใหญ่อยู่ก็เป็นได้
“มะ ไม่เป็นไร พวกเจ้าทำตามหน้าที่นี่นา”ไป๋จูเหวินยิ้มเจื่อนๆพลางเก็บของเข้าแหวนมิติอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ออกจากห้องตรวจค้นไป เหล่าทหารก็บอกให้พวกไป๋จูเหวินเข้าเมืองไปได้เลย
“ทำไมพวกเขาไม่เก็บค่าผ่านทางกัน…”ต้าชิงมองด้วยสีหน้างุนงง ปกติค่าผ่านทางใช้เงิน 5 เหรียญเงิน ไม่ว่าจะเคยเข้าเมืองหรือไม่ ต่อให้ออกไปเดินเล่นแล้วกลับเข้ามาก็ต้องจ่ายอีกครั้งอยู่ดี
“นั่นสินะ”ไป๋จูเหวินถอนหายใจพลางมองแหวนที่มือของตน บางทีมันควรจะตรวจสอบให้เรียบร้อยว่าของในแหวนมิอะไรบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับเมื่อครู่ก็ได้
.
.
อีกด้านหนึ่ง เหล่าทหารที่อยู่ในห้องต่างพากันนั่งลงอย่างหมดแรง กองสมบัติที่พวกมันไม่มีทางแม้แต่จะคิดฝันทำเอาพวกมันตาลุกวาวแถมยังตื่นเต้นอย่างมาก ตอนที่พวกมันเห็นของพวกนั้นตกลงพื้นหัวใจพวกมันแทบจะหลุดออกมาจากอก โชคดีที่มีแต่ของชั้นเลิศที่มีความทนทานสูงทั้งสิ้น
“ทำไมคุณชายถึงไม่เอาสร้อยคออกมาให้พวกเราดูนะ หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธเรา”ทหารคนหนึ่งว่าพลางกุมด้ามหอกที่มันถือเอาไว้แน่น หลายวันก่อนก็มีคณะของกลุ่มนักล่าอสูรเดินทางมา พวกมันพลังสูงส่งจนแม้แต่หัวกน้าของพวกมันยังต้องก้มหัวให้
“ทำไมคุณชายถึงไม่แต่งตัวเหมือนนักล่าอสูรพวกนั้นล่ะ”พนักงานจดบันทึกถาม
“เห็นที่ท่านบอกใช่ไหม ท่านบอกว่าจะไปที่สำนักเขี้ยวมังกร คงเป็นการตรวจสอบคุณภาพสำนักเป็นแน่”ได้ยินทหารหนุ่มพูดทหารอีกคนกับพนักงานจดบันทึกก็เหมือนจะเข้าใจ
“นั่นสิ นานๆกลุ่มนักล่าอสูรก็จะส่งคนมาตรวจสอบสำนักย่อยของตน ว่าได้ฝึกสอนลูกศิษย์อย่างถูกต้องหรือไม่ คุณชายท่านก็เลยต้องปลอมตัวสินะ”ทหารอีกคนพยักหน้าอย่างเขาใจ เพราะตนเองก็วัดระดับพลังของไป๋จูเหวินได้ไม่หมด รู้แต่เพียงไป๋จูเหวินมีพลังเหนือกว่าพวกมันทั้งสิ้น
“พวกเจ้าห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกใครโดยเด็ดขาด การมาตรวจสอบสำนักเป็นความลับ เพียงกระจายข่าวให้หน่วยพวกเรารู้ว่าท่านเป็นแขกคนพิเศษของเมืองและห้ามตรวจตราสัมภาระของท่านอีก”ทหารอีกคนว่าพลางยืนออกไปเพื่อแจ้งเรื่องตามที่ตนเสนอ