ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 201 ร่องรอยที่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ทิ้งไว้

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เมื่อประสบเหตุล้วนตัดสินใจจัดการเฉพาะหน้าไปได้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเสนอขอคำแนะนำ ขอเพียงแค่รายงานหลังเหตุการณ์สิ้นสุดก็พอ ขณะเดียวกันก็สามารถระดมทรัพยากรสำนักไปช่วยเหลือยังที่เกิดเหตุได้

โดยทั่วไปแล้ว นี่เป็นขอบเขตอำนาจของจอมยุทธ์ระดับผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเขากว่างเฉิง

ถ้าหากจะคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด ขอบเขตอำนาจส่วนของผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ไม่ได้มากขนาดนี้เช่นกัน หรือกล่าวคือ เพียงแค่บางเขตแดนหรือบางสถานที่เท่านั้นที่มีขอบเขตอำนาจเช่นนี้

ดังเช่นผู้อาวุโสเกาะตะวันออก มีขอบเขตอำนาจเช่นนี้บนเขตพื้นที่เกาะตะวันออก เมื่อออกจะเกาะตะวันออกแล้ว จะไม่ได้รับความสะดวกสบายเช่นนั้น

ในหน้าประวัติศาสตร์สำนักเขากว่างเฉิง ยังไม่เคยปรากฎผู้อาวุโสสูงสุดที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในระดับปรมาจารย์มาก่อน จึงแน่นอนว่าไม่มีจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์คนใดได้รับอำนาจเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอเป็นผู้ริเริ่มรุ่นหนึ่ง

บำเหน็จรายการนี้ เป็นผลมาจากการที่ชายหนุ่มพังทลายมหาค่ายกลได้สำเร็จ ยับยั้งการเยื้องกรายของนพยมโลก

เพราะฉะนั้นคิดจากระดับหนึ่งแล้ว บำเหน็จนี้ไม่ใช่เพราะเยี่ยนจ้าวเกออยู่ในฐานะศิษย์อ่อนอาวุโสแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะศักยภาพพรสวรรค์ในด้านวรยุทธ์ของเขาโดดเด่นเหนือใคร

บำเหน็จนี้เป็นการยอมรับต่อความสามารถในตัวเยี่ยนจ้าวเกอเองอย่างแท้จริง และเป็นการยอมรับต่อความสามารถในการจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้อย่างเด็ดขาด

เหตุการณ์มากมายเช่นสงครามถังตะวันออก รวมถึงสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำแห่งเขานิมิตเมฆด้วยเช่นกัน จนมาถึงสงครามทะเลสาบปิดนภาครั้งนี้ การสั่งสมประสบการณ์ของเยี่ยนจ้าวเกอที่แสดงออกมา ยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ความไว้วางใจของสำนักที่มีต่อความสามารถของเขา เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับใหม่ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นบำเหน็จที่ไม่เคยปรากฎในหน้าประวัติศาสตร์สำนักเขากว่างเฉิงมาก่อน

ผ่านสงครามทะเลปิดนภามาได้ ชื่อเสียงของเยี่ยนจ้าวเกอลือลั่นทั่วหล้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ในฐานะบุตรของเยี่ยนผู้ไร้เทียมทาน ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเขากว่างเฉิง และไม่ใช่ในฐานะศิษย์อ่อนอาวุโสคนหนึ่ง

แต่เป็นคนคนหนึ่งที่แม้จะเยาว์วัย ทว่าก็สั่นสะเทือนใต้หล้าได้แล้ว

ก่อนหน้านี้ภายในสำนักเขากว่างเฉิงได้ปรับทิศทางความคิดที่มีต่อเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว แลในครั้งนี้ เหล่าผู้มีอำนาจระดับสูงของเขากว่างเฉิง ยิ่งประเมินค่าเยี่ยนจ้าวเกอสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

การให้ขอบเขตอำนาจและความอิสระที่มากขึ้น ย่อมแฝงไว้ด้วยความไว้วางใจที่มีต่อความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้นนับแต่นี้ด้วยเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอมีการเตรียมใจต่อสิ่งนี้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตนเองตามจังหวะและโอกาสก็ตาม ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าไร้ซึ่งภาระรับผิดชอบใดๆ หากทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง เช่นนั้นก็จำต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน

ดังเช่นผู้อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสแห่งเกาะตะวันออกในตอนแรก เหตุที่เกิดบนพื้นดินเกาะนภาตะวันออก ตามหลักการแล้วเขาตัดสินคำไหนคำนั้นได้

และในความเป็นจริง เหตุการณ์เกือบทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้แน่นอนไม่ผิดเพี้ยน

ทว่าเรื่องเกี่ยวกับการรับเฟิงอวิ๋นเซิงเข้าสำนัก ถึงผู้อาวุโสฉินจะสามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ก็ตาม กระนั้นหากผลลัพธ์เกิดข้อพิพาทขึ้น เขาก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด

ชายหนุ่มเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบ

“ข้าเยาว์วัยความรู้ยังน้อยนิด เกรงว่าจะแบกรับหน้าที่สำคัญไม่ไหว แต่ในเมื่อทางสำนักเชื่อใจข้า อนุมัติอภิสิทธิ์เช่นนี้แก่ข้า ข้าก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้” เยี่ยนจ้าวเกอคารวะหยวนเจิ้งเฟิงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

หยวนเจิ้งเฟิงยิ้มกล่าว “จ้าวเกอช่างเป็นทางการอะไรเช่นนี้ นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้เห็น?”

“ปล่อยสบายๆ นี่เป็นการบำเหน็จให้เจ้า ไม่ใช่จะเพิ่มภาระหนักให้เจ้าในทันทีแต่อย่างใด สำหรับในตอนนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดของเจ้า ยังคงเป็นการตั้งใจฝึกฝน”

“แม้ว่าจะมีจังหวะโอกาสประจวบเหมาะถึงเพียงใด แต่ความเร็วในการพัฒนาพลังฝึกปรือของเจ้าในปัจจุบัน ก็ทำให้ผู้คนยกย่องชื่นชมอย่างแท้จริงแล้ว ก่อนหน้าเจ้าใช้เวลาไปกับวิชาซับซ้อนแต่ละรูปแบบมากเกินไป ดูเหมือนว่าบัดนี้ วิชาอันซับซ้อนก็ไม่ได้ทิ้ง พลังฝึกปรือวรยุทธ์เองก็พัฒนาขึ้นมาด้วยเช่นกัน” หยวนเจิ้งเฟิงกล่าวชื่นชม

เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “เสาะหาความสมดุลเจออยู่บ้าง เพียงแต่ว่าด้านวิชาซับซ้อน แท้จริงแล้วหลายคราก็เป็นการกินบุญเก่าขอรับ”

ฟางจุ่นที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางเอ่ย “ไม่สู้พูดว่าสั่งสมให้มากแล้วค่อยๆ ปลดปล่อยออกมาทีละนิดดีกว่าหรือ”

ทุกคนต่างก็หัวเราะ

หยวนเจิ้งเฟิงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พูดถึงวิชาซับซ้อน จ้าวเกอ เจ้าศึกษาอักษรโบราณมากมาย รู้สึกสนใจร่องรอยที่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ทิ้งเอาไว้อย่างยิ่งยวด เท่าที่ข้ารับรู้ เจ้าเองยังขุดค้นร่องรอยด้วยตัวเองไปไม่น้อยกระมัง?”

“ใช่ขอรับ ท่านอาจารย์ปู่” ชายหนุ่มผงกศีรษะ

เขามองไปยังหยวนเจิ้งเฟิง ในเมื่ออีกฝ่ายถามเช่นนี้แล้ว เกินกว่าครึ่งต้องมีคำถามตามมาแน่

เป็นไปได้ว่าสำนักขุดค้นพบร่องรอยจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ที่ไม่เคยมีผู้ใดค้นพบมาก่อนอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นละก็ เยี่ยนจ้าวเกอก็มีความสนใจอยู่หลายส่วนจริงๆ

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “ในมหาทะเลทรายแห่งวายุพิภพ สำนักเราค้นพบร่องรอยแห่งหนึ่ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ หลังจากผ่านมาได้แล้วยังคงหลงเหลืออยู่”

“แต่ตัวอักษรและภาพของร่องรอยซากวัตถุ ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด ยากที่จะถอดความได้ ทำให้ไม่อาจหาคำตอบและความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น”

วายุพิภพอยู่ด้านทิศตะวันตกของนภาพิภพ ขณะเดียวกันก็มีเขตแดนติดกับภูผาพิภพและอัคคีพิภพด้วยเช่นกัน ทรายสีเหลืองอร่ามนับหมื่นลี้ในเขตแดน ภูเขาและแม่น้ำทั้งสูงทั้งยาวไกล สภาพแวดล้อมภูมิประเทศค่อนข้างเลวร้าย และยิ่งมีภัยธรรมชาติที่ปรมาจารย์มากมาย หรือแม้กระทั่งมหาปรมาจารย์ล้วนยากจะทนไหว

ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เมื่อหลงเข้าไอยู่ในนั้น ยิ่งเป็นไปได้ที่จะหลงทิศทาง สุดท้ายต้องฝังร่างในทะเลทราย ไม่อาจฟื้นคืนชีพตลอดกาลเช่นกัน

ถึงกระนั้น แม้ว่าปัจจัยด้านธรรมชาติจะเลวร้ายอย่างยิ่งก็ตาม แต่สรรพสิ่งเกิดโดยธรรมชาติเพื่อเกื้อหนุนมนุษย์ วายุพิภพที่ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต นอกจากภัยพิบัติอันตรายแล้ว ก็มีของวิเศษและทรัพยากรอันหาได้ยากอยู่มากมายเช่นกัน

ตั้งแต่ภูเขานิมิตทมิฬแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์วายุพิภพพังทลายย่อยยับในอดีตแล้ว สำนักเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และสำนักเขาไร้พรมแดนต่างก็เคลื่อนพลเข้าวายุพิภพ ต่างฝ่ายต่างก็ยึดครองเขตอิทธิพลเป็นของตนเอง

เดิมทีเขากว่างเฉิงได้เปรียบมากที่สุด แทบจะยึดครองแต่ผู้เดียว ทว่าตามที่ปีศาจอัคคีเข้ารุกรานในปีนั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงครั้งหนึ่ง เขากว่างเฉิงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ สูญเสียเขตอิทธิพลในวายุพิภพก็สูญไปมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาลเวลาในช่วงเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้นั้น ก็ยิ่งถูกบีบบังคับให้ยอมถอยทีละก้าว

ทว่าในช่วงเวลาที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ผงาดขึ้นมาเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในปัจจุบัน ก็ยึดชิงดินแดนของวายุพิภพไปเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันเขตพื้นที่ของวายุพิภพมากกว่าครึ่งหนึ่ง อยู่ในการควบคุมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์

เขากว่างเฉิงและเขาไร้พรมแดนต่างก็มีส่วนในวายุพิภพเช่นกัน พื้นที่ที่คาบเกี่ยวกันทั้งสามสำนัก แต่ก่อนแต่ไรก็พิพาทกันเสมอมา

สงครามถังตะวันออกก่อนหน้า เขากว่างเฉิงได้เปรียบอย่างมาก นอกจากบุกโจมตีเข้าสู่เขตแดนอัคคีพิภพแล้ว ก็ขยายเขตอิทธิพลของตนที่อยู่ในวายุพิภพด้วยเช่นกัน อำนาจต่อรองและขอบเขตการควบคุมยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินก็คือเรื่องร่องรอยที่วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่เหลือเอาไว้ดังคาด จึงอดไม่ได้ที่จะยิ่งรู้สึกสนใจ

หยวนเจิ้งเฟิงมองไปทางหญิงชราที่อายุรุ่นเดียวกับเขาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้อาวุโสเก่าแก่แห่งเขากว่างเฉิงท่านหนึ่งที่อยู่ใต้บัญชาตนเอง “ศิษย์น้องเหอ ให้จ้าวเกอได้สังเกตอย่างละเอียดเสียหน่อย ดูสิว่าจะได้รับประโยชน์อะไรหรือไม่”

ผู้อาวุโสเหอผงกศีรษะ ก่อนจะหยิบเอาผลึกหินออกมาก้อนหนึ่ง แบออกวางไว้บนมือ

เยี่ยนจ้าวเกอเดินไปยังผลึกหิน แล้วถ่ายปราณจิตราของตนเข้าไป ทำให้พื้นผิวของผลึกหินมีแสงสว่างส่องออกมา อันเกิดจากการสั่นไหวของปราณจิตรา

ลำแสงฉายไปในอากาศ กลายสภาพเป็นภาพฉากแสงเงาลวงตาผืนหนึ่ง

ลมพายุสีดำเต็มท้องฟ้า ม้วนเอาทะเลทรายเบื้องล่างขึ้น เงื่อนไขทางธรรมชาติในหลายพื้นที่ของวายุพิภพ ยังคงไม่เป็นมิตรเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

พื้นผิวทะเลทรายเบื้องหน้า เผยให้เห็นสิ่งของชิ้นหนึ่งอยู่เลือนราง คล้ายกับเสาหินอย่างไรอย่างนั้น

เสาหินครึ่งท่อนโผล่อยู่ด้านนอกดินทราย ส่วนปลายไม่เสมอกัน ทิ้งร่องรอยที่ถูกพังทำลายเอาไว้

ซึ่งบริเวณพื้นผิวภายนอกเสาหิน ก็สลักลวดลายที่ทรงพลังมหาศาลแต่กลับยังลึกลับซับซ้อนไว้ด้วย

ครั้นมองดูลวดลายนั่น เขารู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ภายในนั้นได้รางๆ ทว่ากลับไม่ชัดแจ้งว่าเพราะเหตุใด นับว่ายังยากจะเข้าใจความหมายในนั้น

ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ล้วนเคยเห็นภาพนี้แล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง ทว่าบัดนี้ได้เห็นอีกครั้ง ยังคงรู้สึกว่ามีเสน่ห์อยู่ดี

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอได้เห็นเสาหินในเขตแดนแสงเงาลวงตาแล้ว ลูกตาดำของเขาพลันหดเล็กลงในทันใด

มารดามันเถอะ!

เยี่ยนจ้าวเกอเกือบจะเปิดปากเอ่ยผรุสวาทคำหนึ่งออกไป

‘…นี่มันเสาระเบียงวังเทพในสมัยนั้นนี่!’ เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง

……….