ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 202 จังหวะโอกาสที่อาจมีอยู่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูเสาหินครึ่งท่อนที่แตกหักนั่น ในใจรู้สึกอิ่มเอิบอย่างยิ่งยวด

สำหรับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในตอนแรก เยี่ยนจ้าวเกอจดจำขึ้นใจเสมอมา การที่มีโอกาสสัมผัสร่องรอยซากวิกฤตการณ์ เป็นเรื่องที่เขารู้สึกสนใจอย่างยิ่งยวด

ทว่าเท่าที่เขารู้ จนถึงปัจจุบัน โลกแปดพิภพดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับพระราชวังมาก่อน

หนึ่งเดียวที่คล้ายกับจะจริงทว่าก็เหมือนกับไม่จริง คือการสืบทอดของเขากว่างเฉิงที่ตนอยู่ในตอนนี้ ใกล้เคียงกับวังเทพในช่วงเวลาอันคลุมเครือ เพียงแต่ว่ายังต้องรอการยืนยัน

นอกจากนี้แล้ว ตามข้อมูลข่าวสารที่เยี่ยนจ้าวเกอมีในขณะนี้ โลกแปดพิภพตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จนถึงปัจจุบัน ก็ไม่มีร่องรอยที่เกี่ยวข้องกับวังเทพอีกเลย

เสาหินแตกหักท่อนนี้ที่ปัจจุบันโผล่ขึ้นมาในมหาทะเลทราย ณ วายุพิภพ กลับเป็นเศษซากที่เหลือหลังจากเสาทางเดินของวังเทพแต่กาลก่อนแตกหัก

สิ่งนี้ทำให้จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอพลันร้อนรุ่มขึ้นมา

ตนอยากจะสืบหารายละเอียดของวิกฤตการณ์ใหญ่ในอดีตมาโดยตลอด เทียบกับร่องรอยอื่นแล้ว ร่องรอยของวังเทพมีคุณค่ามากยิ่งกว่า

แม้ว่าโดยรูปลักษณ์ เสาหินจะพังเสียหายไปแล้ว กระนั้นเทียบกับร่องรอยอื่นๆ ส่วนใหญ่ กลับสามารถเก็บรักษาเบาะแสและข้อมูลได้มากยิ่งกว่า

หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองเสาหินที่อยู่ในภาพลวงตาเงาแสงอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่งแล้ว เขาก็เอ่ยกับพวกหยวนเจิ้งเฟิงว่า “ลวดลายทั้งซับซ้อนทั้งเก่าแก่โดยแท้ คิดจะถอดความหมาย ยากเป็นอย่างยิ่งขอรับ”

“เพียงแต่ว่า จู่ๆ ข้าก็มีความคิดบางอย่าง แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าเอ่ยว่ามีความมั่นใจมากเท่าใด และจะสามารถนำเสาหินกลับมาได้หรือไม่?”

“หากได้ของจริงอยู่ในกำมือ คิดทบทวนอย่างละเอียด โอกาสถอดความหมายยิ่งสูงกว่า”

ผู้อาวุโสเหอส่ายศีรษะเล็กน้อย “เจ้าเองน่าจะรู้จักมหาทะเลทรายแดนตะวันตกของวายุพิภพ สถานการณ์ที่นั่นซับซ้อนเป็นอย่างมาก จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ล้วนยากจะทำตามอำเภอใจ”

นางก็กลัดกลุ้มใจอยู่บ้างเช่นกัน “เสาหินนั่น พัวพันยุ่งเหยิงอยู่กับพลังธรรมชาติของมหาทะเลทรายแดนตะวันตก ยากจะนำมันออกมาได้ ทำได้แค่เพียงปล่อยมันไว้ที่เดิม”

มุมปากเยี่ยนจ้าวเกอกระตุกเล็กน้อย

ความหมายคือ ตนเองต้องรุดหน้าไปหาเสาหินที่ตนเองใคร่เห็นด้วยตัวเอง?

หยวนเจิ้งเฟิงกล่าว “มีแนวคิดไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องราวไม่ได้รีบเร่ง ฤดูกาลปัจจุบันนี้ เป็นช่วงที่พายุนิมิตทมิฬของมหาทะเลทรายแดนตะวันตกรุนแรงที่สุด จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปล้วนยังยากจะยึดครองความได้เปรียบ”

“รอให้ผ่านไปสองสามเดือน หลังพายุนิมิตทมิฬเบาลงแล้ว ค่อยเข้าไปเถิด”

“ร่องรอยนั่นรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตก ถึงแม้ว่ายากจะขุดค้นเคลื่อนย้ายก็ตาม แต่พวกเราขุดไม่ได้ คนอื่นก็ขุดไม่ได้เช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกผู้อื่นทำลายอีกด้วย”

เจ้าสำนักมองเยี่ยนจ้าวเกอ “จ้าวเกอเองก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบจนเกินไปนัก จำเรื่องราวให้ขึ้นใจไว้ก็พอแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ หยุดถ่ายปราณจิตราเข้าสู่ผลึกหิน ภาพลวงตาเงาแสงเบื้องหน้าพลันสลายหายไป

ชายหนุ่มมองดูเสาหินที่ค่อยๆ หายไปอยู่ตรงหน้า แววตาของเขาหยั่งลึกและเงียบสงัดอยู่บ้าง

สำหรับคนอื่นแล้ว นี่เป็นซากร่องรอยวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่ยากจะถอดความหมายทำความเข้าใจ

ทว่าสำหรับตนเองแล้ว นี่เป็นลูกกุญแจที่จะไขเรื่องราวอันยากจะเข้าใจ เป็นการวางแผนเพื่ออนาคตตนเอง ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นจังหวะโอกาสอันดีเช่นกัน

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตาลงชั่วครู่ บางทีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีที่จะนำเสาหินออกมาจากภายในมหาทะเลทรายแดนตะวันตกเลย…

เพียงแต่ว่าเป็นดังเช่นหยวนเจิ้งเฟิงกล่าว ตอนนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน ภัยธรรมชาติเช่นพายุนิมิตทมิฬนี้ บ่อยครั้งที่ไม่ใช่พละกำลังมนุษย์จะสามารถต้านทานได้จริงๆ

มหาปรมาจารย์ที่ถูกพายุนิมิตทมิฬฉีกเป็นชิ้นๆ ล้วนไม่รู้ว่ามากเท่าไรแล้ว

ปีที่แล้วๆ มาสำนักเขานิมิตทมิฬ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์วายุพิภพหวังมาโดยตลอด ว่าจะสามารถควบคุมมหาทะเลทรายแดนตะวันตก และภัยพิบัติมากมายของที่แห่งนั้นให้ได้โดยสิ้นเชิง

กระนั้นจวบจนพวกเขาดับสูญสิ้นสุดลง ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จจริงๆ มาก่อน

เขตอิทธิพลที่ปัจจุบันสำนักเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และสำนักเขาไร้พรมแดนแบ่งฮุบดินแดนวายุพิภพ แท้จริงแล้วล้วนก็เป็นการยึดครองสถานที่ที่สามารถบุกเบิกได้ พื้นที่แห้งแล้งขาดน้ำเหมือนเช่นมหาทะเลทรายแดนตะวันตกนั้น ควบคุมไว้เพียงแค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น

กล่าวอย่างไม่น่าฟังก็คือ ที่มหาทะเลทรายแดนตะวันตกนั่น ไม่ใช่ที่ที่คนจะอาศัยอยู่ได้โดยสิ้นเชิง

มันเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง เฉกเช่นปฐพีพิภพอันเป็นแดนมรณะในปัจจุบัน

แต่สิ่งที่ควรแก่การยินดีคือ ภัยพิบัติของมหาทะเลทรายแดนตะวันตก เกี่ยวพันกับฤดูกาลภูมิอากาศในพื้นที่อย่างแนบแน่น เหมือนเช่นพายุนิมิตทมิฬอันน่าหวาดกลัวนั้น กเป็นวัฏจักรราวครึ่งปี ช่วงเวลาหนึ่งแข็งแกร่งช่วงเวลาหนึ่งอ่อนกำลัง

ช่วงเวลาที่พายุอ่อนกำลังลง จอมยุทธ์ก็จะสามารถฉวยโอกาสเข้าไปในทะเลทรายได้

แน่นอนว่าอันตรายและภัยพิบัติในทะเลทราย ไม่ใช่เพียงแค่พายุนิมิตทมิฬประเภทเดียวเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “ข้าจะสังเกตลวดลายที่พิมพ์สำเนาเงาแสงก่อน ลองศึกษาความหมายแฝงในนั้นอย่างละเอียด รอจนพายุอ่อนกำลังลงก่อน ค่อยเข้าไปภายในขอรับ”

หยวนเจิ้งเฟิงพยักหน้า “ควรจะเป็นเช่นนี้”

“ท่านอาจารย์ปู่…” เยี่ยนจ้าวเกอลังเลเล็กน้อยชั่วครู่ แล้วจึงปริปากเอ่ยถามว่า “ด้วยเหตุผลใดผู้อาวุโสหวังถึงได้ถูกภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตค่อยๆ ครอบงำดึงมาเป็นพวกหรือ?”

ผู้อาวุโสหวัง ก็คือสมาชิกระดับสูงสุดของภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตที่เขากว่างเฉิงล่วงรู้แล้ว ซึ่งถูกทางตำหนักอัสนีสวรรค์เรียกสอบสวน

มหาปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง เป็นคนรุ่นเดียวกับหยวนเจิ้งเฟิง ผู้อาวุโสเหอ และคนอื่นๆ ซึ่งยามปกติแล้วมีคุณธรรมและบารมีสูงส่งมาโดยตลอด

กลุ่มคนของหยวนเจิ้งเฟิงต่างก็นิ่งเงียบไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง ใบหน้าเผยเห็นสีหน้าเสียใจระคนเสียดาย หยวนเจิ้งเฟิงไม่ได้เอื้อนเอ่ย เป็นผู้อาวุโสเหอที่ตอบคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอ “ศิษย์พี่หวัง อายุมากแล้ว…”

ประโยคหนึ่งที่เรียบง่ายและคลุมเครือ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงฟังเข้าใจความหมายในประโยคนั้น

สูงวัยแก่ชราลง สิ้นหวังตีฝ่า อายุขัยใกล้ฝั่ง

ผู้อาวุโสหวังอายุอานามมากแล้ว เทียบกับระดับขั้นของเขา อายุขัยกำลังจะเดินไปถึงสุดทาง เขาอยากจะยกระดับพลังฝึกปรือให้สูงขึ้นต่อไปอีก ทว่าความหวังก็เลือนรางนัก

เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจอยู่ในใจ ขณะเดียวกันที่รู้สึกเสียใจต่อผู้อาวุโสหวัง และรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาด้วยใน เขาช้อนสายตาขึ้นมองไปเบื้องหน้าตามจิตใต้สำนึก

ที่ตรงนั้น หยวนเจิ้งเฟิงอากัปกิริยาอ่อนโยน นั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้

ถึงแม้ว่าจะรู้นานแล้วว่าจิตใจหยวนเจิ้งเฟิงเด็ดขาดแน่วแน่ แม้ว่าอายุจะมาก แต่อุปนิสัยมองโลกในแง่ดีมีความคิดก้าวหน้า กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังคงไม่อาจระงับไม่ให้เกิดความรู้สึกเป็นกังวลได้

เพราะอาการแทรกซ้อนจากอาการบาดเจ็บเดิมในอดีต หยวนเจิ้งเฟิงก้าวถึงขั้นบรรลุธรรมแล้วหลายปี ยืนอยู่จุดสูงสุดเหนือมหาปรมาจารย์ทั้งหมดในโลกหล้า ทว่าระยะห่างถึงขั้นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ กลับห่างแค่กระดาษแผ่นเดียวมาโดยตลอด

ต้องรู้ไว้ว่า ตอนนั้นที่หยวนเจิ้งเฟิงกลายเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรม รวดเร็วกว่าพวกหวงกวงเลี่ยและอันชิงหลินเสียอีก!

ผลสุดท้าย กลับหยุดค้างอยู่ที่ขั้นบรรลุธรรมอยู่หลายปี มองดูคนที่ตอนนั้นล้าหลังกว่าตน ข้ามผ่านตัวเองไปทีละคน

สาเหตุไม่ใช่ว่าตนเองหยุดหมั่นเพียรแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมีสิ่งจากภายนอกพันธนาการร่างกายเอาไว้

ในอีกด้านหนึ่ง ทางหวงกวงเลี่ยแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เข้าฌานแสวงหาทางบรรลุอีกครั้ง สร้างแรงกดดันมหาศาลให้แก่หยวนเจิ้งเฟิงมากยิ่งขึ้น

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในใจหยวนเจิ้งเฟิงร้อนใจมากเพียงใด และไม่ยินยอมมากเพียงใด ทั้งยังอดรนทนต่อความกดดันมากมายขนาดไหน

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องด้วยสาเหตุของบาดแผลและอาการบาดเจ็บแต่กาลก่อน อายุขัยของหยวนเจิ้งเฟิงจึงสั้นกว่ามหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมคนอื่นๆ

ความคิดเช่นนี้เป็นล่วงเกินอาจารย์ปู่ของตนอยู่มากพอสมควร ทว่าหากตัดปัจจัยเรื่องความรู้สึกออกไป เยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจไม่ตรึกตรองปัญหาที่เกี่ยวข้อง

คนที่มีจิตตานุภาพแก่กล้าเช่นหยวนเจิ้งเฟิงผู้นี้ วันใดวันหนึ่งสภาพจิตใจเสียสมดุลไป จะรั้นยิ่งกว่าคนปกติอย่างถึงที่สุด

ในความเป็นจริง หลังจากเข้าใจว่าแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีผู้ที่หันเข้าหาภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตและนพยมโลกด้วยเช่นกัน นอกจากสำนักเขากว่างเฉิงแล้ว ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นกังวลเรื่องหยวนเจิ้งเฟิงอยู่เงียบๆ

เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองยังหยวนเจิ้งเฟิง สบกับสายตาของชายชรา เห็นเพียงประกายตาใสสะอาดปราดเปรียว ไม่เห็นความขุ่นมัวแม้แต่น้อย เหมือนกับเด็กหนุ่มก็ไม่ปาน

หยวนเจิ้งเฟิงคล้ายกับจะรับรู้ถึงความคิดภายในใจเยี่ยนจ้าวเกอ จึงยิ้มครู่หนึ่ง “หากเอ่ยว่าไม่กระวนกระวายใจก็คงมดเท็จ ทั้งใต้หล้าต่างก็รู้ว่าแรงกดดันที่ข้าต้องอดทนนั้นมากมหาศาล”

“แต่อย่างน้อยปัจจุบัน เรื่องนี้ข้าก็ยังทนไหว”

…………