ภาค 3 ธาตุแท้ของวีรบุรุษ บทที่ 203 โอสถเซียนกลับสวรรค์

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองหยวนเจิ้งเฟิง บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน “ข้าบุ่มบ่ามไปแล้ว ท่านอาจารย์ปู่โปรดลงโทษ”

หยวนเจิ้งเฟิงยิ้มพลางโบกมือ “ไม่เป็นไร ปัญหาที่เปิดเผยออกมาระหว่างการเปลี่ยนแปลงของทะเลสาบปิดนภาในครานี้ เป็นที่น่าตื่นตะลึงจริงๆ “

ชายชราเงยหน้าขึ้นฟ้าถอนหายใจยาว “การรุกเข้ากัดกร่อนของนพยมโลก แทรกซึมเข้าทุกอณู ทั้งยังแฝงซ่อน ยากจะป้องกัน ทั้งที่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้จับกุมหนอนบ่อนไส้ไปบ้างแล้ว แต่พวกเขาล้วนมีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำ ไม่เหมือนเช่นครานี้ เป็นยอดฝีมือระดับสูงเหมือนดังศิษย์พี่หวังผู้นี้”

ชายหนุ่มพยักหน้าโดยที่ไม่ได้เอ่ยพูด ในสถานการณ์นี้ ไม่ว่าตนจะกล่าวอะไรไปก็ล้วนไม่เหมาะสม

ผู้อาวุโสหวังเป็นผู้มีวัยวุฒิรุ่นเดียวกันกับหยวนเจิ้งเฟิง ผ่านช่วงอันเวลามืดมนที่สุดมาด้วยกันกับเขา ในช่วงที่สำนักเขากว่างเฉิงเก็บซ่อนความสามารถไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาสู้รบด้วยกัน มองดูเขากว่างเฉิงค่อยๆ ฟื้นฟูพลังปราณดั้งเดิม

ผู้อาวุโสเก่าแก่ใต้บัญชาหยวนเจิ้งเฟิงทั้งสองท่าน ต่างก็นิ่งเงียบเพราะรู้สึกเศร้าสลดเช่นกัน พวกเขาเป็นยอดฝีมือรุ่นเดียวกับผู้อาวุโสหวัง มีมิตรภาพมาหลายปีเช่นเดียวกัน

ปัจจุบันผู้อาวุโสหวังเป็นเช่นไรแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ถามออกไปอีก

เขาไม่ทันได้ออกจากเขากว่างเฉิงก็ถูกควบคุมไว้ ไม่ได้สัมผัสถูกไอมารที่อยู่ลึกในปฐพีพิภพ น่าจะไม่ได้กลายเป็นมาร

กระนั้นหากความคิดมารร้ายในใจหนักหนาแล้ว เช่นนั้นก็ยากจะหวนกลับเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องที่ปากพูดสำนึกผิดแก้ไขตัวไม่กี่ประโยคง่ายๆ ก็จบเรื่องได้

ความคิดมารร้ายในใจคนคนหนึ่งเติบใหญ่แก่กล้าจนถึงระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่กลายเป็นมาร ถึงแม้ว่ามองจากภายนอกแล้วเหมือนเช่นปกติไม่ผิดแผกไป ทว่าอันที่จริงก็ได้หลงผิดยากจนจะกลับคืนแล้วเช่นกัน

ก็เหมือนกับถังดินปืนถังหนึ่งที่อาจจะระเบิดได้ตลอดเวลา ระเบิดนั่นแน่นอนว่าระเบิดอยู่แล้ว เพียงแต่เวลาจะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง

สีหน้าของหยวนเจิ้งและผู้อาวุโสเหอ รวมทั้งคนที่ปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงผลการแก้ปัญหาผู้อาวุโสหวัง เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้ดีว่าสถานการณ์ของผู้อาวุโสหวังไม่อาจมองในแง่ดีได้แน่ เกินกว่าครึ่งได้สั่งสมมานานจนยากจะแก้ไขแล้ว

ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ จึงรอคอยจุดจบที่ดีที่สุดของเขา คือคุมขังที่หุบเขาผนึกเวหา

กล่าวในอีกแง่มุมหนึ่งคือ แท้จริงแล้วนั่นล้วนเป็นการตัดสินใจที่ใจอ่อนอยู่บ้าง หรือบางทีอาจจะเป็นการวางแผนที่มีความเป็นไปได้อันน้อยนิดก็เป็นได้ หวังว่าแม้ผู้อาวุโสหวังจะหลงผิด ก็ยังกลับตัวได้

แม้ว่าตำแหน่งของเยี่ยนจ้าวเกอตอนนี้จะไม่ใช่ศิษย์อ่อนอาวุโสทั่วไปแล้ว กลุ่มของหยวนเจิ้งเฟิงต่างก็ให้ความสำคัญกับความเห็นของเขาเช่นกัน ทว่าสำหรับเรื่องจัดการผู้อาวุโสหวังอย่างไร ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่พูดแทรกขึ้นมา

หลังจากออกมาจากในตำหนักใหญ่ เยี่ยนจ้าวเกอตามหลังบิดาของตน เขาใช้ปราณจิตราส่งกระแสจิตเอ่ยถามว่า ‘ตอนนี้ท่านเข้าใจเรื่องวิธีปรุงโอสถดีแล้วใช่หรือไม่?’

เยี่ยนตี๋กล่าวตอบ ‘ได้รับวิธีปรุงโอสถที่เจ้าส่งกลับมา หลายวันมานี้ข้าคิดทบทวนอยู่ตลอดเวลา บัดนี้มีความมั่นใจแปดถึงเก้าส่วนแล้ว’

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ กลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์นั้นไม่ง่าย ด้วยระดับความรู้ซึ้งในศาสตร์โอสถของตน ประสานกับระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบัน ก็ไม่กล้าเอ่ยว่ามีความมั่นใจเต็มสิบส่วนเช่นกัน

ทว่ากาลเวลาไม่คอยใคร ไม่ว่าจะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต นพยมโลก หรือจะโลกปีศาจอัคคี ล้วนนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลให้แก่หยวนเจิ้งเฟิงและสำนักเขากว่างเฉิง

ที่ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอให้ความสำคัญกับโอสถเซียนกลับสวรรค์ ล้วนเป็นการให้ความสำคัญต่อประสิทธิผลของมันเอง ไม่ใช่คุณงามความดีที่ส่งผลต่อบิดาของตนหลังจากกลั่นโอสถสำเร็จแล้ว

รังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก อาจารย์ปู่หยวนเจิ้งเฟิงขจัดกำแพงกั้น ข้ามพ้นโลกีย์สู่ทางเทวะ ก้าวเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ สำหรับทั้งสำนักเขากว่างเฉิงแล้ว ล้วนมีความหมายเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนผลประโยชน์อื่นๆ ที่ตามมา ต่างก็เป็นการอาศัยมูลค่าที่เพิ่มเติมพิเศษต่อจากจุดนี้

การกลั่นโอสถยิ่งเริ่มเร็วเท่าไรยิ่งดี เพราะวิธีกลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์นั้นพิเศษอย่างยิ่งยวด จำเป็นต้องกลั่นใหม่ถึงเก้าครั้ง

การกลั่นใหม่ทุกครั้งล้วนต้องใช้เวลาไม่น้อย ระหว่างนั้นหากเกิดความผิดพลาดขึ้นในครั้งใด เช่นนั้นทั้งกระบวนการก็ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทั้งหมดอีกครั้ง

ฉะนั้นการกลั่นโอสถเซียนกลับสวรรค์ จึงเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเวลาและกำลังวังชาอย่างที่สุดเรื่องหนึ่ง

หากโชคไม่ดี รูปแบบการกลั่นไม่เหมาะสม ต่อให้เครื่องปรุงโอสถครบถ้วน ทำแล้วทำเล่าเป็นสิบกว่าปีก็ล้วนไม่พิเศษ

ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน เวลาที่เหลือให้กับเขากว่างเฉิงและหยวนเจิ้งเฟิง ล้วนไม่มากนักแล้ว

เยี่ยนตี๋มองยังเยี่ยนจ้าวเกอ ‘ต่อจากนี้ข้าจะใช้กำลังวังชามุ่งกลั่นโอสถเป็นสำคัญ ส่วนการฝึกฝนของเจ้า คงต้องพึ่งความตั้งใจของเจ้าเองแล้ว’

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า ‘ท่านวางใจ ข้าจะไม่เกียจคร้าน’

ผู้เป็นบิดาเงยหน้าขึ้นฟ้าครุ่นคิด ‘บำเหน็จจากสำนักก่อนหน้านี้ เจ้าสามารถเข้าออกหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์ชั้นหนึ่งถึงชั้นสามได้อย่างอิสระ ขณะเดียวกันยังบำเหน็จเจ้าโดยให้โอกาสเข้าไปชั้นที่สี่ได้ครั้งหนึ่ง’

‘นี่เท่ากับอนุญาตให้เจ้าได้สัมผัสกับวิชาเอกพิสุทธิ์ครึ่งหลังล่วงหน้าแล้ว’

‘ส่วนสามสุยอดวิชาของสำนัก ตัวเจ้าเองมีวิธีแล้วใช่หรือไม่?’

วิชาเอกพิสุทธิ์เป็นรากฐานของสายสำนักเขากว่างเฉิง ศิษย์ที่กลายเป็นศิษย์สืบทอดหลัก สามารถฝึกฝนส่วนครึ่งแรกได้ในระดับขั้นปรมาจารย์ ส่วนที่เหลือต้องถึงระดับระดับมหาปรมาจารย์เสียก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนได้

ซึ่งส่วนครึ่งหลังนั้นสำคัญเสียยิ่งกว่าสำคัญ เงื่อนไขจำกัดยิ่งทวีความเข้มงวดและทารุณ

จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ถึงระดับปรมาจารย์แล้วแตะต้องการฝึกฝนได้ ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันมีเพียงจ่านตงเก๋อ เยี่ยนตี๋ และเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้น

ส่วนสามสุยอดวิชากว่างเฉิง เป็นวิชาลับสูงสุดของสำนักเขากว่างเฉิงที่สืบทอดต่อๆ กันมายุคต่อยุค เป็นตัวแทนผลสำเร็จสูงสุดของวิถีวรยุทธ์สายสำนักเขากว่างเฉิงจนถึงปัจจุบัน เหนือยิ่งกว่ายอดวิชาแปดพิภพ

ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในความสำเร็จสูงสุดของการพัฒนาอารยธรรมวิถีวรยุทธ์ขึ้นใหม่ หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่จนถึงบัดนี้

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะแหะๆ ‘พูดแล้วท่านอย่าได้ถือสา หากให้ข้าเลือก ข้าคิดว่าจะเรียนวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิง’

สามสุดยอดวิชากว่างเฉิง แบ่งออกเป็นวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิง วิชาดาบนภาไร้จำกัด และวิชากระบี่นภาไร้ขอบเขต

สามสุดยอดวิชานี้ล้วนลึกซึ้งไม่อาจคาดเดา อานุภาพยิ่งใหญ่แก่กล้า สำนักเขากว่างเฉิงมีเพียงจอมยุทธ์ผู้ล้ำเลิศที่สุดเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนได้

มาตรฐานเข้มงวดเสียยิ่งกว่าวิชาเอกพิสุทธิ์ครึ่งหลังอีก แม้จะเป็นฟู่เอินซูที่หยวนเจิ้งเฟิงอุปการะ หลังจากนางกลายเป็นมหาปรมาจารย์ ผ่านการทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งหยวนเจิ้งเฟิงพอใจ ถึงจะอนุญาตให้นางฝึกฝน

สือเถี่ยเป็นข้อยกเว้นหนึ่ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้บำเพ็ญปฏิบัติสามสุดยอดวิชา แต่ศึกษาทบทวนวิชากายเพชรขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ต้องการขุดพลังที่แฝงอยู่ในนั้นออกมาจนหมดสิ้น

นี่เป็นสาเหตุจากนิสัยส่วนตัวของเขา จัดอยู่ในสภาพการณ์พิเศษ จึงสามารถไม่นับรวมอยู่ในนั้นได้

ซึ่งเยี่ยนตี๋และฟางจุ่นทั้งสองคนนี้ วิชาที่ฝ่ายแรกฝึกคือวิชาดาบนภาไร้ขีดจำกัด ส่วนฝ่ายหลังฝึกวิชากระบี่นภาไร้ขอบเขต

ครั้นได้ยินวิชาที่เยี่ยนจ้าวเกอเลือก เยี่ยนตี๋ยิ้มกล่าว ‘เลือกฝึกสุดยอดวิชา ถ้าจะฝึกก่อนก็ต้องเลือกวิชาที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดก่อน ไม่ใช่ว่าข้าฝึกดาบ ลูกชายก็ต้องสืบสานต่อจากพ่อเสมอไป เพียงแต่ว่าพวกข้านึกว่าเจ้าจะเลือกวิชากระบี่นภาไร้ขอบเขต’

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าว ‘จริงๆ แล้ว ทั้งสามสุดยอดวิชาข้าล้วนสนใจอย่างยิ่ง แต่วิชาที่รู้สึกสนใจมากที่สุดยังคงเป็นวิชาฝ่ามือนภากว่างเฉิง’

เยี่ยนตี๋เอ่ย ‘ในเมื่ออนุญาตให้เจ้าขึ้นเลือกยังชั้นสี่ นี่ก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจเลือกเองแล้ว’

บุตรบิดาทั้งสองเดินกลับถึงที่พำนัก หลังจากพูดคุยอีกพักหนึ่งแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอถึงได้กล่าวลา ส่วนเยี่ยนตี๋คิดทบทวนวิธีปรุงโอสถเซียนกลับสวรรค์ต่อไป

หลังออกจากที่พำนักของเยี่ยนตี๋แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง นำผลึกหินก้อนนั้นออกมาจากหน้าอก ในนั้นสลักภาพของซากปรักหักพังของเสาหินวังเทพกลางมหาทะเลทรายแดนตะวันตกเอาไว้

อาหู่รออยู่ด้านนอก ครั้นเห็นเยี่ยนจ้าวเกอออกมา จึงกุลีกุจอรุดตามมา นอกจากเขาแล้ว พ่านพ่านซึ่งตัวใหญ่มหึมา ก็ถลาขึ้นมาอย่างรักใคร่สนิทสนมยิ่งกว่า หมายจะดันชายหนุ่มให้ล้ม

เจ้าตัวใหญ่ตัวนี้ รูปร่างในตอนนี้ใหญ่เทียบเท่าช้างเสียแล้ว ถึงขั้นใหญ่กว่าอยู่บ้าง…

แน่นอนว่าเยี่ยนจ้าวเกอหยุดยั้งมันไว้อย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะตบๆ หัวของมันเบาๆ “ตอนนี้เจ้าควบคุมร่างกายตัวเองได้แล้ว ร่างที่ใหญ่โตเช่นนี้กินพื้นที่อย่างมาก หากวิ่งอุตลุดภายในประตูสำนัก ชนอะไรพังเข้า เจ้าเองอาจจะไม่รู้ตัว”

พ่านพ่านกะพริบตาปริบๆ รอบกายปรากฏพลังวิญญาณหลากสาย กลายเป็นน้ำสีดำเพลิงสีขาวห้อมล้อมโอบร่างกายของมันไว้

ชั่วขณะถัดมา เพลิงและน้ำสลายไป ขนาดร่างเล็กลงไปไม่น้อยดังคาด

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะชั่วครู่ด้วยความพอใจ แล้วจึงก้าวเท้าเดินนำหน้าไปทางหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์

ก่อนหน้านี้ตนรู้สึกสนใจชั้นสี่ของหอคัมภีร์ยุทธศาสตร์มาโดยตลอด คราวนี้ขึ้นไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยได้แล้ว

……….