บทที่ 185 เส้นทางลับของพระราชวัง
จวินเซียวเซียวออกมาจากพระตำหนัก มองเห็นฉีเฟยอวิ๋นเลยยิ้มออกมาอย่างน่ารักกล่าวว่า “พระชายาเย่มาแล้วหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่คุ้นชิน ความรู้สึกที่จวินเซียวเซียวให้นั่นคือความรู้สึกของการเป็นสหาย ทุกครั้งที่พบเจอล้วนแล้วแต่มีความสุขตลอด
“วันนี้เข้าพระราชวัง ไม่มีที่ไปเลยเดินเล่นไปเรื่อยเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปหาจวินเซียวเซียว แล้วถอนสายบัว ผู้หญิงของฝ่าบาท ต่อให้ฐานะต่ำต้อยอย่างไร ก็ไปผู้หญิงของฝ่าบาท
ฐานะของเธอสูงส่งอย่างไร ก็คือเทียบไม่ได้
จวินเซียวเซียวประคองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธีหรอก พระชายาเย่มาข้าก็มีความสุขมาก ”
ฐานะวันนี้ของจวินเซียวเซียวไม่เหมือนกับอดีตที่ผ่านมา การพูดการจาก็ไม่ต้องมากพิธี
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “หม่อมฉันก็ไม่อะไร พระสนมไม่ต้องทำเช่นนี้หรอกเพคะ”
“ข้าไม่ใช่พระสนมอะไรนั่นแล้วล่ะ เรียกข้าว่าพระสนมเซียวก็พอ”
“พระสนมก็คือพระสนม ฐานะไม่สามารถสับสนปนเปได้เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้ามาอย่างเกรงใจ จวินเซียวเซียวรีบเรียกให้คนเตรียมน้ำชามา ฉีเฟยอวิ๋นมองไปบริเวณรอบห้อง เก็บกวาดได้สะอาดมาก แต่ไม่สามารถปกปิดความหนาวเหน็บของที่นี่ได้
“พระสนมพักอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่เพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นถาม จวินเซียวเซียวเลยพยักหน้าตอบรับ
“ก็ดีเพียงแต่ไม่รู้ว่าเหมันตฤดูเป็นอย่างไร ที่นี่หนาวหรือไม่?”จวินเซียวเซียวกล่าวด้วยท่าทางที่เรียบเฉย
“พระสนมมีครรภ์ช่วงเหมันตฤดู ช่วงปลายสารทฤดูองค์รัชทายาทของฝ่าบาทประสูติ สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ดี หม่อมฉันเชื่อว่าฝ่าบาทจะมารับพระสนมกลับตำหนักจิ่นซิ่วเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ เพียงแค่เด็กคลอดออกมา ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่มีทางปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรมกับจวินเซียวเซียวหรอก
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ”
จวินเซียวเซียวก้มศีรษะลง และลูบสัมผัสบริเวณหน้าท้องของตนเอง
“พระชายาเย่ ได้ยินว่าฝ่าบาทขังท่านอ๋องเย่ไว้ เป็นเพราะเรื่องนี้พระชายาเย่เลยได้รับผลกระทบไปด้วยใช่หรือไม่เพคะ?”จวินเซียวเซียวถามอย่างตรงไปตรงมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม
ถึงอย่างไรเธอก็มาเยี่ยมจวินเซียวเซียวที่นี่ จวินเซียวเซียวเห็นเธอเป็นสหาย ถามเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ฉีเฟยอวิ๋นคิดสักครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ไม่ได้กังวลเป็นห่วงท่านอ๋องเย่หรอก เขาสุขภาพแข็งแรง เขาไม่ได้ทำ แน่นอนว่าไม่เป็นไร หม่อมฉันเพียงแค่เป็นห่วงกังวลสุขภาพของท่านอ๋องตวนเพคะ”
พูดถึงท่านอ๋องตวนจวินเซียวเซียวเลยถามว่า “ท่านอ๋องตวนบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า กล่าวว่า “ชีวิตของท่านอ๋องตวนสามารถดับสิ้นได้ตลอดเวลา หม่อมฉันเป็นห่วงท่านอ๋องตวนมาก”
“ผู้คนเหล่านั้นเหตุใดถึงได้กำเริบเสิบสานเช่นนี้นะ?”จวินเซียวเซียวไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อกล้าลงมือ ยังกลัวการไม่กำเริบเสิบสานหรือ?”ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงสักพักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นมองบริเวณรอบห้อง ไม่มีอะไรน่ามองน่าดูแล้วเลยออกมา
“พระชายาเย่จะไปแล้วหรือ?”จวินเซียวเซียวเดินออกมาส่งฉีเฟยอวิ๋น ด้านนี้ค่อนข้างมืด จวินเซียวเซียวต้องการไปส่งฉีเฟยอวิ๋น เลยยกโคมไฟไปด้วย
นางกำนัลต้องการส่ง จวินเซียวเซียวสั่งให้กลับไป และเดินไปส่งฉีเฟยอวิ๋นเพียงลำพัง
“ร่างกายของพระสนมไม่เอื้ออำนวย กลับไปเถิดเพคะ หลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องพลาดพลั้ง”ฉีเฟยอวิ๋นก็กลัวจะรับผิดชอบไม่ไหว
จวินเซียวเซียวหันกลับไปมอง และมองบริเวณโดยรอบด้วย
จากนั้นหยุดแล้วจวินเซียวเซียวจึงกล่าวว่า “พระชายาเย่ ข้ามีเรื่องจะขอร้องไถ่ถาม”
“พระสนมพูดได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองโดยรอบ ไม่มีคนแล้ว จวินเซียวเซียวจงใจมาส่งเธอนี่เอง
“ครั้งก่อนที่เกิดเรื่องกับข้า ได้ยินว่ามีพิษของฉางหงฮัว พระชายาเย่เป็นหมอ ยาฉางหงฮัวนั่นมาได้อย่างไรกัน?”
จวินเซียวเซียวอยากถามมาโดยตลอด แต่ไม่มีโอกาสเลย
ฉีเฟยอวิ๋นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “พิษของฉางหงฮัวไม่รู้ว่ามาจากที่ใดเพคะ แต่พิษนี้เจอบนผ้าห่มเพคะ
จำได้ว่าก่อนที่พระสนมจะเกิดเรื่องหม่อมฉันพบเจอพระสนม ยังพูดเรื่องชี่ของหัวใจอุดกลั้นกันอยู่เลย
แม้ว่าตอนนั้นจะรู้สึกว่าพระสนมค่อนข้างแปลก แต่ไม่ได้สัมผัสได้ถึงพิษของฉางหงฮัวเลย
กลิ่นพิษของฉางหงฮัวเข้มข้นมาก ข้ามีความรู้สึกไวต่อยามาก หากว่าบนร่างกายของพระสนมมี แน่นอนว่าต้องพบเจอ
แต่เวลานั้นไม่พบเห็น ชัดเจนว่าผู้ที่กระทำเรื่องนี้ต้องมีแผนการที่แยบยลอย่างมาก
แต่ได้พบเจอบนผ้าห่มแล้ว
นอกจากจะเป็นคนที่อยากปัดความผิดให้คนข้างกายพระสนม ไม่อย่างนั้นก็คือคนข้างกายพระสนมเอง”
จวินเซียวเซียวพยักหน้า กล่าวว่า “ที่แท้ก็คิดเช่นเดียวกันกับข้า”
จวินเซียวเซียวหันไปชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
มีซู่จิ่นยืนถือโคมไฟอยู่ด้านหน้า ด้านหลังของนางมีนางกำนัลติดตามสองคน
หลังจากเกิดเรื่องที่ตำหนักจิ่นซิ่ว จากนั้นคนก็ถูกสังหารหมด
ไม่ง่ายที่ซู่จิ่นจะออกมาได้ คนอื่นเป็นคนที่มาใหม่หมดเลย
เป็นซู่จิ่นหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “พระสนมกลับเถอะ หม่อมฉันควรกลับแล้ว”
ฉีเฟยอวิ๋นออกมาจากพระตำหนักสุ่ยฮัวถึงได้กลับมาที่พระตำหนักเฟิ่งอี๋
พอเข้ามา ก็มองเห็นป้าคนข้างกายของฮองเฮายืนรออยู่
ป้าซีเป็นคนสนิทข้างกายของฮองเฮา แต่น้อยครั้งที่ฉีเฟยอวิ๋นจะเจอ และครั้งนี้ที่ฉีเฟยอวิ๋นเข้าพระราชวังมาถึงได้เจอ
ป้าซีอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว อายุมากกว่าฝ่าบาท แต่มองดูแล้วนางดูอายุน้อย หากฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ยินคนพูด เดิมทีก็จะไม่รู้เลยว่าป้าซีอายุเท่าไหร่
มองเห็นฉีเฟยอวิ๋นป้าซีก็ถอนสายบัวกล่าวว่า “พระชายาเย่กลับมาแล้วหรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นมองดูพระตำหนักเฟิ่งอี๋ กล่าวว่า “ป้าลำบากแล้ว ข้าไม่ไปทำความเคารพเข้าเฝ้าฮองเฮาแล้วแหละ จะไปพักผ่อนเลย”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวไปทางตำหนักข้างเพื่อพักผ่อน
หลับจนถึงช่วงดึก ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินการเคลื่อนไหวอยู่ตรงประตู เบิกตาโพลงกว้างหันไปมองทางด้านประตู
หน้าประตูมีคน อีกทั้งถือโคมไฟอยู่ด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นลงจากเตียง เวลานี้ใครจะมาหรือ?
คลุมชุดแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นได้หยิบเข็มเงินมา แต่พอถึงหน้าประตูกลับได้ยินเสียงป้าซีกล่าวกับเธอว่า “พระชายาเย่ตื่นแล้วหรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นชะงักงัน เก็บเข็มเงินไว้แล้วกล่าวว่า “ป้าซีมีเรื่องอันใดหรือ?”
ครึ่งค่อนคืนแล้ว ใครจะรู้ว่าต้องการทำอะไร พูดตรงๆเลย ไม่ใช่เวลานี้หรือที่สามารถสังหารคนได้อย่างง่ายดาย?
“พระชายา เชิญมากับบ่าว บ่าวมีเรื่องเพคะ”ป้าซีพูดแล้วก็ไป ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจฟังฝีเท้าอย่างละเอียด มั่นใจว่ามีป้าซีเพียงคนเดียว
นึกถึงร่างกายที่มีครรภ์ ไม่ว่าจะออกไปหรือไม่ออกไป เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นจำเป็นต้องระวังเป็นอย่างมาก
แต่ป้าซีที่มีความกล้าหาญเช่นนี้ เวลานี้มาปรากฏตัวที่นี่ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
ไม่ออกไป ก็เป็นเรื่องวุ่นวาย
ฉีเฟยอวิ๋นรวบชุดคลุมตัวเข้าหากัน ผลักประตูออกไป ชำเลืองมองในพระตำหนักเฟิ่งอี๋ พระตำหนักเฟิ่งอี๋เงียบจนผิดปกติ
หันไปมองหน้าประตูพระตำหนักเฟิ่งอี๋ หน้าประตูมีคน ถือโคมไฟอยู่
ไม่ต้องถามฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ เป็นป้าซีที่ยืนอยู่ตรงนั้น
เธอหันเดินไปทางนั้นป้าซีเอ่ยปากกล่าวก่อนว่า “ดึกดื่นรบกวนเวลาพักผ่อนของพระชายาเย่แล้วเพคะ”
“ป้าซีมีเรื่องอันใดหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กังวลใจขนาดนั้น อยากจะลงมือก็ลงมือไปนานแล้ว ทั้งพระตำหนักเฟิ่งอี๋หลับหมดแล้ว เหลือแค่เธอหรือ?
อยากสังหาร ก็ไม่สามารถที่จะไปทำที่อื่นหรือ
ป้าซีก้มศีรษะกล่าวว่า “พระชายาเย่มากับบ่าวเถอะเพคะ”
หมุนตัวแล้วป้าซีเดินอยู่ด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหลัง
ทั้งสองคนเดินตามกันอย่างไม่รีบร้อน ไม่นานก็เดินมาถึงมุมที่อยู่บริเวณด้านนอกพระตำหนักเฟิ่งอี๋ ผลักประตูเข้าไป แล้วป้าซีก็บอกกล่าวว่า “พระชายาเย่เดินเข้าไปจะมองเห็นโคมไฟ เดินตามเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นประตูแล้วเดินเข้าไปก็พอแล้วเพคะ”
“ป้าซีเป็นคนของฝ่าบาทหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นนึกได้แล้ว สามารถยืนหยัดอย่างแน่วแน่ในพระราชวังได้ อีกทั้งกระทำเช่นนี้ ไม่มีคนที่สนับสนุนแน่นอนว่าไม่สามารถทำได้
แต่หากว่าเป็นพระมเหสีหวากับพระพันปี มาหาเธอเดิมไม่ต้องใช้วิธีที่สิ้นเปลืองยุ่งยากเช่นนี้
จวินเซียวเซียวเข้าพระราชวังมาไม่นอน ไม่มีความสามารถนี้หรอก
พูดถึงเฉินอวิ๋นชู พระตำหนักเฟิ่งอี๋ของนางนางไม่มีทางทำเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้หรอก
ในพระราชวังไม่มีใครที่สามารถนึกถึงได้แล้ว มีเพียงผู้เดียวคือองค์จักรพรรดิอวี้ตี้
ป้าซีโค้งเอวลงกล่าวว่า “เชิญพระชายาเย่เสด็จเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ถามมากความ เป็นบ่าวก็ทำเช่นนี้ เรื่องของเจ้านายพวกนางไม่สามารถสอบถามได้ และก็ไม่สามารถพูดออกมาด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นมองเห็นโคมไฟ เลยเดินตามโคมไฟนั้นไป ไม่นานก็มาถึงตรงหน้าโคมไฟ โคมไฟแขวนอยู่บนประตู ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้นแล้วปลดโคมไฟลงมา จากนั้นถือโคมไฟไว้แล้วผลักประตูอีกบานเข้าไป
เดินเข้าไปด้านใน เป็นเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งของทางเดิน บนกำแพงปรากฏประตูหนึ่งบาน ผลักประตูเข้าไป เป็นสถานที่อีกที่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นคำนวณทิศทางกับระยะห่าง
สูดหายใจเข้า ที่นี่คือพระที่นั่งบำรุงฤทัยหรือ?
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าเดินมา ฉีเฟยอวิ๋นยกโคมไฟหันไปมอง องค์จักรพรรดิอวี้ตี้สวมใส่ชุดสีดำ บริเวณหน้าอกเป็นมังกรทองห้าเขี้ยวเล็บบินผ่านท้องฟ้า
ฉีเฟยอวิ๋นเตรียมคุกเข่าลง จึงได้ถูกองค์จักรพรรดิอวี้ตี้เรียกไว้ว่า “พูดไปหลายคราแล้ว ไม่ต้องทำเช่นนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ฝ่าบาท”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พินิจพิเคราะห์ ด้านหลังมีป้าซียืนอยู่ด้วย
ป้าซีพยักหน้า แล้วถอยออกไป
ประตูปิดแล้ว องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หันเดินไปทางห้องบรรทมของพระที่นั่งบำรุงฤทัย ฉีเฟยอวิ๋นยกดคมไฟเดินตามไป
เข้ามาที่ห้องตำรา หยิบตำราเล่มหนึ่งลงมาจากบนชั้น ชั้นวางตำราเปิดออกเองโดยฉับพลัน ตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นคือประตูที่มืดมิด
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก้าวย่างเข้าไป ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเข้าไปติดๆ
เดินเข้าไปด้านในตู้ชั้นวางตำราที่อยู่ด้านหลังได้รวมเข้าหากัน ตรงหน้าเป็นเส้นทางหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุด โครงสร้างก่อด้วยอิฐ มีความกว้างประมาณสองเมตร สูงประมาณสองเมตรครึ่ง มีภาพจิตรกรรมวาดบนฝาผนังที่มีรายละเอียดบนหินบนผนังโดยมีแผนที่รูปทางช้างเผือกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามอย่างระมัดระวัง และมองภาพแผนที่รูปทางช้างเผือกที่อยู่ด้านบนนั้น เธอใจสั่นไหว
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะเก็บสถานที่หนึ่งไว้อยู่
ถึงที่นี่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ถึงได้เอ่ยปากกล่าวว่า “แปลกใจหรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า กล่าวว่า “แปลกใจเพคะ หม่อมฉันหวาดกลัว”
“ครั้งแรกที่ข้ามาที่แห่งนี้ก็มีความแปลกใจ อีกทั้งหวาดกลัวมาก”องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หัวเราะ เมื่อนึกถึงเมื่อวัยเยาว์ขึ้นมา
“สมัยนั้นข้ายังเด็ก จำได้ว่าเสด็จพ่ออุ้มข้ามาที่นี่ พาข้าเดินผ่านที่นี่ พระองค์บอกว่าที่นี่เป็นที่สถาปนาต้าเหลียง จักรพรรดิเตรียมไว้เป็นเส้นทางที่รักษาชีวิต
มีเพียงองค์จักรพรรดิที่สามารถมาที่นี่ได้
ต้องการให้ข้าเตรียมไว้เมื่อเวลาคับขัน”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างลังเลใจว่า “แต่ว่าข้าไม่อยากใช้”
“ชะตาของเมืองต้าเหลียงเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า องค์จักรพรรดิเป็นเจ้าปกครองเมืองที่เฉลียวฉลาด โดยพื้นฐานไม่ต้องใช้เส้นทางนี้”ฉีเฟยอวิ๋นคิดอย่างนี้จากใจจริง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ส่ายศีรษะ กล่าวว่า “มิใช่เช่นนี้ หากการสู้รบแพ้ทำให้ต้าเหลียงล่มสลาย ข้าก็ใช้มัน”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หันมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นกล่าวว่า “อวิ๋นอวิ๋นเป็นคนเฉลียวฉลาด ข้าไม่ใช้ แต่ทว่าต้องการเก็บไว้ เพราะเหตุใดหรือ? ”
ฉีเฟยอวิ๋นคิดสักพักหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นับตั้งแต่โบราณกาลมา ผู้ชนะเป็นองค์จักรพรรดิผู้แพ้เป็นโจรมันไม่ได้มีอะไรน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวผู้ที่ชนะสามารถที่จะไร้จิตสำนึกเหยียบย่ำกดขี่ผู้แพ้ได้
ผู้ที่แพ้สิ้นชีวิต ล้วนสูญสิ้นทุกอย่าง
แต่ภรรยาและบุตรสาวของเขากลายเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ของผู้ชนะ
พวกนางไม่มีทางยินดีปรีดากับบุคคลผู้ซึ่งเป็นศัตรู เช่นกันก็จะไม่มีทางขอร้องศัตรูแม้แต่น้อย
ภรรยาและบุตรสาวเหล่านั้นจะใช้วิธีการที่ไม่สามารถบรรยายได้เพื่อที่จะยึดกุมให้ถึงแก่ความตาย เพื่อที่จะทำให้อดีตศัตรูอับอายขายขี้หน้า
เหล่าองค์จักรพรรดิที่เป็นผู้ชนะ มักกล่าวพูดว่าพวกเขามีคุณธรรมและเมตตาธรรม แต่ทหารที่อยู่เบื้องหลังคุณธรรมและเมตตาธรรมของพวกเขากลับอับอายขายขี้หน้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ใจลอยเล็กน้อย ยิ้มอยู่เป็นเวลานานกล่าวว่า “อวิ๋นอวิ๋นฟังท่านแม่ทัพฉีมาหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ไม่ใช่เพคะ เคยอ่านตำรา ท่านอาจารย์ของหม่อมฉันบอกเพคะ”
“ข้าอยากเจอท่านอาจารย์ของอวิ๋นอวิ๋น”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้หมุนตัวแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองคนนับว่าสงบลงอยู่สักพักหนึ่ง
“ฝ่าบาท ดึกดื่นให้หม่อมฉันมามีเรื่องที่จะรับสั่งหรือเพคะ?”เงียบสงบไปสักพักฉีเฟยอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
องค์จักรพรรดิถึงได้พูดเข้าเรื่อง