บทที่ 186 ความเย่อหยิ่งของพระมเหสีหวา

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

บทที่ 186 ความเย่อหยิ่งของพระมเหสีหวา
“วันนี้อวิ๋นอวิ๋นได้ตรวจค้นวังหลังเรียบร้อยแล้ว ได้ค้นพบอะไรบ้างหรือไม่?” จักรพรรดิอวี้ตี้ถามขณะเดิน

ฉีเฟยอวิ๋นตอบตามความจริง “หม่อมฉันต้องการหาตัวคนที่วางยาพิษ หม่อมฉันได้ทดสอบทุกคนแล้ว ยกเว้นเพียงฮองเฮาเพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้หันมาทางฉีเฟยอวิ๋นและหัวเราะ “เจ้ารู้หรือไม่ คำพูดของเจ้า ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้?”

ฉีเฟยอวิ๋นคุกเข่าลง “หม่อมฉันกลัวแล้วเพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้อยู่ตรงหน้าของเธอ ฉีเฟยอวิ๋นก้มหน้าคุกเข่าและสองมือวางลงกับพื้น

จักรพรรดิอวี้ตี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และก้มตัวประคองฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้น

“ข้าน่ากลัวเช่นนั้นเลยหรือ? พูดขึ้นมาก็ทำให้เจ้าตกใจจนคุกเข่าลง” จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกอดสงสัยไม่ได้

ฉีเฟยอวิ๋นยกมือขึ้นจากพื้น “หม่อมฉันได้ทำเรื่องที่ไม่ควรทำลงไปจริงๆ และไม่ได้แจ้งให้ฝ่าบาททรงทราบล่วงหน้า หม่อมฉันประมาทไปเพคะ”

“คนที่อยู่กับข้า เดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ตลอดเวลา อันที่จริงข้าไม่ได้มีความอิสระเลย” จักรพรรดิอวี้ตี้ก้มตัวลงไปหยิบโคมไฟ และถือโคมไฟเดินไปข้างหน้า เดินพลางและเรียกฉีเฟยอวิ๋นเดินตามไปด้วย

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ช่างยากเย็นแสนเข็ญในการปรนนิบัติ

นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้

จักรพรรดิอวี้ตี้เดินไปครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “ข้าก็สงสัยฮองเฮา เพราะข้าก็ไม่ได้เลี้ยงดูพระโอรสพระธิดาเลย มีเพียงฮองเฮาเป็นผู้จัดการทั้งหมด แต่การถูกวางยาครั้งนี้มีความน่าสงสัยมากเกินไป จนทำให้ข้าหลับไม่ลงในตอนกลางคืน”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาทหมายความว่า?”

“ข้ามักละเมอในตอนที่ข้าหลับ สวีกงกงเห็นข้าเดินละเมอออกมาจากห้องบรรทม แล้วก็เดินวนไปมา เขาไม่กล้ารบกวนข้า เขาบอกว่าดูเหมือนตอนกลางวันที่เดินใช้ชีวิตอยู่ในวัง แต่กลับจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

ยาพิษชนิดนี้ หากไม่สามารถถอนพิษได้ ข้ากังวลว่าอาณาจักรต้าเหลียงจะเกิดเรื่องขึ้น”

จักรพรรดิอวี้ตี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นหยุด “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังอยากตรวจวัดชีพจรให้ฝ่าบาทเพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้ยื่นมือให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นตรวจวัดชีพจรอย่างละเอียด

“ฝ่าบาทยังมียาพิษอยู่ ดูเหมือนว่ายังมีคนวางยาเพคะ”

“อืม” จักรพรรดิอวี้ตี้พยักหน้า

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิด “ฝ่าบาท ตามที่หม่อมฉันเห็น พระสนมเซียวไม่ได้เป็นคนวางยาพิษเพคะ พระนางไม่มีโอกาส นอกจากนั้นหม่อมฉันคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระมเหสีหวาและพระพันปี พระพันปีเป็นห่วงเป็นใยฝ่าบาท และถึงแม้ว่าพระมเหสีหวาจะมีอำนาจเหนือกว่า แต่คงไม่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ ส่วนคนอื่นนั้น ยิ่งไม่มีความกล้าเช่นนี้เพคะ”

จักรพรรดิอวี้ตี้มองออกไปไกล “หากไม่ใช่เป็นพวกเขา หรือว่าจะเป็นท่านอ๋องเย่และท่านอ๋องตวน?”

ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้คุกเข่าลง นี่เป็นการทดสอบ แต่เธอกลับไม่ได้กังวล

ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “หม่อมฉันคาดเดาว่าไม่ใช่ท่านอ๋องตวนและท่านอ๋องเย่เพคะ”

“โอ้?” พระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้ตี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ฉีเฟยอวิ๋นใจเต้นแรงมาก

“ฝ่าบาท ตอนนี้ท่านอ๋องตวนเกิดเรื่องขึ้น และยากที่จะคุ้มครองชีวิตตัวเองได้ ต่อให้มีใจคิดอยากจะทำร้ายฝ่าบาท แต่ก็ยากที่จะมีโอกาส อีกอย่างท่านอ๋องตวนก็เป็นคนซื่อสัตย์ คงไม่สามารถทำเรื่องที่ทำร้ายฝ่าบาทได้หรอกเพคะ

ส่วนท่านอ๋องเย่ หม่อมฉันคิดว่า เขาเป็นห่วงเป็นใยฝ่าบาทมากกว่าที่เขาเป็นห่วงตัวเขาเอง จะทำร้ายฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ”

“หากเป็นเช่นนี้ ก็คงเหลือเพียงคนเดียวแล้ว” จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ้มอย่างอ่อนโยน และหันกลับไปถือโคมไฟก่อนจะนำฉีเฟยอวิ๋นเดินออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสับสนอยู่ภายในใจ เธอไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลที่ฮองเฮาทำเช่นนี้

หากถามผู้หญิงคนหนึ่งในโลกนี้ มีใครอีกที่สำคัญไปกว่าที่พักพิงที่สามีของเธอมอบให้เธอ

แต่เฉินอวิ๋นชูกลับเดินไปสู่เส้นทางที่เลวร้าย

หากนางไม่ตาย กฎแห่งสวรรค์คงยากเกินกว่าจะทนได้

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงเมื่อออกมาจากช่องทางลับ บริเวณโดยรอบเป็นอุทยานอวี้ฮวา

ในเวลานี้ ดอกไม้กำลังรอจะเบ่งบาน และกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้และพืชก็อบอวล

ฉีเฟยอวิ๋นก้มตัวโค้งคำนับ “ฝ่าบาท จากที่นี่ไปตำหนักเฟิ่งอี๋ไม่ไกลนัก หม่อมฉันสามารถกลับเองได้เพคะ”

“ข้าไปส่งเจ้าถึงหน้าประตู เจ้าเดินไปก่อน เดี๋ยวข้าจะกลับไปที่ฮองเฮา”

“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นติดตามจักรพรรดิอวี้ตี้กลับออกมาจากอุทยานอวี้ฮวาด้วยความโศกเศร้า ระหว่างทางได้พูดถึงเรื่องราวของป้าซี และฉีเฟยอวิ๋นรับฟังด้วยความเคารพ

“ป้าซีเดิมทีเข้าวังมาเป็นนางกำนัล เพราะมีรูปร่างหน้าตาดี เดิมทีเสด็จแม่ต้องการให้แต่งตั้งเป็นพระสนมของข้า แต่ข้าต้องการปฏิเสธ จึงส่งไปให้ฮองเฮา นางจึงได้ปรนนิบัติรับใช้ฮองเฮาตั้งแต่นั้นมา

นางเคยช่วยชีวิตข้าไว้ เมื่อก่อนข้าออกจากวังหลวงและเคยถูกวางแผนทำร้าย นางเอาตัวเข้ามารับดาบแทนข้า ข้าจึงดูแลนางดี”

“ป้าซีเชื่อถือได้หรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม

จักรพรรดิอวี้ตี้ยิ้ม “นางก็เหมือนกับสวีกงกง ล้วนเป็นคนข้างกายของข้า เชื่อถือได้หรือไม่ไม่สำคัญ แต่จนถึงวันนี้พวกเขาไม่เคยทรยศหักหลังข้า”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่อออกจากประตูมาก็พบเข้ากับป้าซี และกลับตำหนักเฟิ่งอี๋มาพร้อมกับป้าซี

เมื่อเข้าตำหนักมา ฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปพักผ่อน ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงคนเดินผ่านหน้าประตู ฉีเฟยอวิ๋นฟังเสียงและแยกแยะตำแหน่งเสียง อาศัยความสามารถของเธอในการเดินทัพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอแยกแยะได้ว่าจักรพรรดิอวี้ตี้เสด็จกลับมาแล้ว

หลังจากพลิกตัว ฉีเฟยอวิ๋นจึงกลับไปพักผ่อน

ในเวลาเช้า

จักรพรรดิอวี้ตี้กำลังเรียกหารือเรื่องราชสำนัก เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างกล่าวโทษและโยนความผิดไปที่หนานกงเย่

“กราบเรียนฝ่าบาท กระหม่อมกังวลใจมาจนถึงวันนี้ ในมือของท่านอ๋องเย่ไม่มีอำนาจทางการทหาร แต่หลายครั้งกลับเรียกใช้กองกำลังทหารเพื่อปิดล้อมวังหลวง ปิดเมืองหลวงโดยพระนามของจักรพรรดิ เรื่องนี้ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา บรรดาท่านอา ชินอ๋องและราชวงศ์มาเข้าร่วมในราชสำนักจำนวนมาก เพราะเรื่องของพระพันปีทำให้พวกเขาโกรธเคือง ทั้งหมดต่างก็เข้ามาเพื่อเล่นงานท่านอ๋องเย่

ขณะนี้ผู้ที่กำลังพูดอยู่คือท่านอาของจักรพรรดิอวี้ตี้ ท่านอ๋องห้า

จักรพรรดิอวี้ตี้กลับไม่ได้ตรัสอะไร

ด้านล่างท่านอ๋องแปดก็ออกมาด้วยเช่นกัน “ฝ่าบาท ท่านอ๋องเย่มีความหยิ่งผยอง หากไม่ทำการแก้ไขเกรงว่าจะไม่ดีแน่พ่ะย่ะค่ะ”

ท่านอ๋องคนอื่นๆ ต่างก็ก้าวออกไปทีละคน จากนั้นราชวงศ์คนอื่นต่างก็คุกเข่าลง

พระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้ตี้ดูเงียบขรึม และไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ

ราชครูจวินมองไปที่บรรดาท่านอ๋องที่คุกเข่าลง เขาไม่ขยับ เสนาบดีเฉินก็ไม่ขยับ เหล่าขุนนางต่างก็ไม่กล้าขยับ

แต่นี่คือจุดประสงค์เพื่อการบังคับ

ข้าราชการฝ่ายทหารวันนี้มีท่านแม่ทัพฉี ส่วนจวนกั๋วกงนั้นมีท่านอ๋องหย่งจวิ้น อวิ๋นเจิงเป่ยก็อยู่ที่นั่น

อวิ๋นเจิงเป่ยคือท่านพ่อของอวิ๋นหลัวฉวน และมีอายุใกล้เคียงกับท่านแม่ทัพฉี ใช้เวลาอยู่สนามรบนานนับปีเพื่อปกป้องดินแดนทางตอนเหนือ

แต่วันนี้กลับมาหาอย่างกะทันหัน และทำให้ผู้คนต่างรู้สึกแปลก

ท่านแม่ทัพฉีและท่านอ๋องหย่งจวิ้นต่างก็ไม่ขยับ และขุนนางฝ่ายทหารก็ไม่ได้สนใจบรรดาท่านอ๋องที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น

จักรพรรดิอวี้ตี้กำลังจะตรัสขึ้น แต่มีคนข้างนอกได้รายงานว่า “พระมเหสีหวาเสด็จ”

จักรพรรดิอวี้ตี้เงยพระพักตร์ขึ้นมอง “เชิญ”

พระมเหสีหวาเดินเข้ามาตามเสียงตะโกนของขันที โดยมีนางกำนัลหกคนและแม่นมสองคนติดตามมาด้วย

หลังจากเข้ามาก็หันไปเหลือบมองผู้คนในราชสำนัก หลังจากนั้นก็เสด็จไปหาจักรพรรดิ

“หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ” พระมเหสีหวากล่าวด้วยเสียงเรียบ อย่างไม่เฉียบขาด และเคารพจักรพรรดิ

นางกำนัลทั้งหกและแม่นมทั้งสองที่ติดตามมาต่างก็คุกเข่าลงเพื่อคารวะจักรพรรรดิ

“ข้าน้อยคารวะฝ่าบาท ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี……”

เสียงของทั้งแปดคนก้องกังวานในท้องพระโรง ทำให้ทั้งท้องพระโรงดูน่าเกรงขามมาก

“ลุกขึ้นเถอะ พระมเหสีมาวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้ตรัสด้วยเสียงเรียบ

พระมเหสีหวาก้มตัวโค้งคำนับ “หม่อมฉันมาในวันนี้ก็มาเพื่อท่านอ๋องตวนเพคะ ลูกชายของหม่อมฉันได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกดาบสิบสามด้ามทิ่มแทงเข้ากระดูก น่าสงสารอย่างมากเพคะ ขาของลูกชายหม่อมฉันเกือบจะขาดไป

ได้ยินมาว่า คนเหล่านั้นต้องการให้ลูกชายของหม่อมฉันคุกเข่าลง แต่ลูกชายของหม่อมฉันมีศักดิ์ศรี ยอมตายแต่ไม่ยอมคุกเข่าเพคะ

และก็ถูก ลูกชายของหม่อมฉันเป็นรัชทายาท ถึงตายก็ก้มหัวให้ไม่ได้

กลุ่มขุนนางโจร เชอะ……ต้องการให้ลูกของหม่อมฉันตายใช่หรือไม่?

เป็นใครกัน?

ทำให้ลูกชายของหม่อมฉันบาดเจ็บ หลังจากนั้นก็จับท่านอ๋องเย่ไป อย่างไรหรือ?

กังวลร้อนรนหรือ?

อดีตจักรพรรดิจากไปเพียงไม่กี่ปี ก็เริ่มกระทำผู้อยู่เบื้องสูงหรือ?

แม้ว่าอาณาจักรนี้จะเป็นของตระกูลหนานกง แต่ก็อย่าลืมไปว่าคำสอนที่บรรพบุรุษได้สอนไว้ก็คือ มีลูกชายจากภรรยาเอกก็แต่งตั้งลูกชายจากภรรยาเอก ไม่มีลูกชายจากภรรยาเอกก็แต่งตั้งลูกชายคนโต

ตั้งแต่สมัยอดีตจักรพรรดิ จักรพรรดิของอาณาจักรต้าเหลียงก็คืออดีตจักรพรรดิ อดีตจักรพรรดิเสด็จสวรรคตก็คือจักรพรรดิ หากจะกล่าวคำที่ไม่พูดควรพูดก็คือ ต่อให้จักรพรรดิสวรรคตไปก็ยังมีลูกชายของจักรพรรดิ ท่านอ๋องเย่และท่านอ๋องตวนนั้นถือว่าเป็นท่านอาแท้ๆ และเป็นมือเป็นเท้าของจักรพรรดิ

คนนอก……นับว่าเป็นอะไรได้หรือ?”

พระมเหสีกล่าวจนคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นต่างหน้าซีดเซียว นางหัวเราะและเดินไปที่ท่านอ๋องห้า ยกเท้าขึ้นและเตะไปหนึ่งที

ท่านอ๋องห้าหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่กลับไม่กล้าขยับแม้แต่นิด ผู้หญิงบ้าคนนี้เมื่อบ้าคลั่งขึ้นมาใครก็ห้ามไม่ได้ เบื้องหลังของนางยังมาตระกูลหวาอยู่

พระมเหสีหวาเยาะเย้ย “อ๋องห้า เจ้ามาได้อย่างไรกัน? ได้ยินมาว่าจงชินอ๋องชอบพระชายารองอวิ๋นก่อนหน้านั้น ครั้งนี้ลูกชายของข้าเกิดเรื่องขึ้นระหว่างไปที่จวนกั๋วกง แต่กลับไม่มีใครรับรู้ จงชินอ๋องน่าสงสัยที่สุด

ทำไมหรือ? กังวลหรือ? จะรีบหนีความผิดหรือ……”

พระมเหสีหวากัดฟันกรอดในท้ายคำพูดราวกับคำรามออกมา “ทำอะไรหรือ? จะทำการบีบบังคับงั้นหรือ? จักรพรรดิก็ยังอยู่ พวกเจ้าต้องการทำอะไรหรือ?”

พระมเหสีหวาตะโกนออกมา และทุกคนต่างก็คุกเข่าลง ราชครูจวินเป็นผู้กล่าวก่อน “กราบทูลฝ่าบาท เรื่องของท่านอ๋องตวนเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด กระหม่อมขอให้ท่านอ๋องเย่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และจงชินอ๋องเป็นผู้ที่น่าสงสัยอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เป็นเรื่องยากที่เสนาบดีเฉินและราชครูจวินจะมีความคิดเห็นตรงกัน จักรพรรดิอวี้ตี้มองดูอย่างนิ่งเฉย

ท่านแม่ทัพฉีกล่าวขึ้นทันที “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านอ๋องหย่งจวิ้นก็กล่าวตาม “กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

และทุกคนต่างก็กล่าวเห็นด้วย

ท่านอ๋องจำนวนหนึ่งรู้สึกโกรธเคืองพระมเหสีหวารู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ โน้มตัวลงไปเยาะเย้ยท่านอ๋องห้า “อายุปูนนี้แล้ว จนขนจะร่วงหมดแล้ว กลับไม่พักผ่อนอยู่บ้านอย่างสบาย แต่กลับออกมาทำให้ขายหน้า ลืมภาพวาดก่อนสวรรคตของอดีตจักรพรรดิแล้วหรือ?”

ท่านอ๋องอื่นๆ ต่างไม่กล้าพูดอะไร พระมเหสีหวาชี้ไปที่ท่านอ๋องห้าและตะโกนว่า “ท่านอ๋องแปดไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวด้านการปกครองได้!”

ท่านอ๋องแปดตัวสั่นด้วยความตกใจ พระมเหสีหวาลุกขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อมองไปรอบๆ พระมเหสีหวาก็เก็บความหยิ่งผยองของนางและมองไปที่จักรพรรดิอวี้ตี้และกล่าวขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียแล้ว ต้องโทษพวกเขาเหล่านั้น นี่ไม่ใช่เป็นเพราะหม่อมฉันแค้นเรื่องสมัยยังสาว ตอนที่อดีตจักรพรรดิต้องการแต่งตั้งหม่อมฉันเป็นพระอัครมเหสี พวกเขาต่างก็ไม่เห็นด้วย เมื่อเห็นพวกเขา หม่อมฉันก็รู้สึกโกรธขึ้นมา

อัยหยา ฝ่าบาทอย่าได้เข้าใจหม่อมฉันผิดไป หม่อมฉันยังคงสง่างามเพคะ”

“พระมเหสีหวาสง่างามอยู่เสมอ ข้ารู้” พระพักตร์ของจักรพรรดิอวี้ตี้ดูอ่อนโยนและเคร่งขรึม

พระมเหสีหวาจึงกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านอ๋องตวนอาการสาหัส หม่อมฉันเป็นห่วงอย่างมาก เกรงว่าเหล่าขุนนางโจรจะไปหาเขา ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ หม่อมฉันต้องการรับเขากลับเข้าวังหลวงเพื่อดูแลเขาด้วยตัวเอง ฝ่าบาทได้โปรดประทานอนุญาตเพคะ”

“ตกลง!” จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวอย่างใจเย็น

พระมเหสีหวายิ้มอย่างมีความสุขทันที “ขอบพระทัยฝ่าบาท เช่นนั้นหม่อมฉันกราบทูลลาเพคะ”

“ส่งเสด็จพระมเหสีหวา”

พระมเหสีหันกลับและนำนางกำนัลทั้งหกเดินออกไป แม่นมทั้งสองก็ติดตามเดินออกไปด้วย

เมื่อพระมเหสีหวาจากไป จักรพรรดิอวี้ตี้ก็นึกขึ้นได้เรื่องที่ได้เสด็จไปตำหนักหวาหยาง ถึงแม้พระมเหสีหวาจะก้าวร้าวหยิ่งทะนง แต่นางกลับไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องราชสำนัก คาดว่านางคงพูดอะไรไปจึงทำให้พระมเหสีหวาโกรธเคือง

จักรพรรดิอวี้ตี้มองดูท่านอ๋องแปดอย่างเย็นชา “ท่านอ๋องเย่มีคุณงามความดีในการคุ้มกัน และไม่ถูกใส่ร้าย ให้ปล่อยตัวเขาทันทีเพื่อสอบสวนเรื่องท่านอ๋องตวนถูกลอบทำร้าย และห้ามให้มีข้อผิดพลาด!”

เมื่อจักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้นและเสด็จออกไป ราชครูจวินก็ลุกขึ้นยืนและปัดชุด และเหลือบไปมองท่านอ๋องแปดที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น จากนั้นจึงหันกลับออกไป

เมื่อราชครูจวินออกไปก็ไม่มีใครเหลืออยู่ และทุกคนก็ค่อยๆ เดินออกไปทีละคน