บทที่ 187 พบเจอกันในถนนแคบ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

บทที่ 187 พบเจอกันในถนนแคบ
หลังจากที่พระมเหสีหวาเอะอะโวยวาย จนทำให้หนานกงเย่ถูกปล่อยออกมาจากคุกจองจำ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขอบคุณ

หลังจากผ่านช่วงเวลาเที่ยง ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปตำหนักหวาหยางเพื่อขอบคุณ

พระมเหสีหวารู้สึกดีใจอย่างมากเมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น นางเรียกเธอนั่งลง และยังจัดเตรียมของทานเล่นที่หาทานไม่ได้นอกวังหลวงมาให้

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่คร่หนึ่งก็มีคนเข้ามารายงานเรื่องที่ท่านอ๋องตวนเข้าวังหลวงมา ฉีเฟยอวิ๋นติดตามพระมเหสีหวานอกไปนอกตำหนักหวาหยางเพื่อต้อนรับท่านอ๋องตวน

ผู้ที่ติดตามมาด้วยคือพระชายารองอวิ๋น อวิ๋นหลัวฉวน

เมื่อเห็นฉ๊เฟยอวิ๋น อวิ๋นหลัวฉวนก็รู้สึกถอนหายใจ นางเกรงว่าจะไม่ได้เจอฉีเฟยอวิ๋น และเมื่อเห็นก็รีบเดินเข้ามาหาฉีเฟยอวิ๋น

“เมื่อคืนเป็นไข้” เมื่อเจอหน้ากันอวิ๋นหลัวฉวนก็รีบบอกฉีเฟยอวิ๋น

“หม่อมฉันขอตรวจวัดชีพจร” ฉเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปหน้าท่านอ๋องตวนและทำการตรวจวัดชีพจรอย่างละเอียด

“ไม่เป็นอะไร ประเดี๋ยวกินยาก็ไม่มีอะไรแล้วเพคะ”

ท่านอ๋องตวนกำลังพักผ่อน เขานอนหลับอยู่โดยมีผ้าห่มห่มกายอยู่ และมีคนจำนวนหนึ่งหามเขาไว้

หลังจากที่เข้าตำหนักหวาหยางมาก็ได้จัดการวางท่านอ๋องตวนลง ฉีเฟยอวิ๋นให้ยาอีกครั้ง หลังจากที่อธิบายและตั้งยาไว้ทั้งหมด ฉีเฟยอวิ๋นจึงออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นได้เชิญพระราชโองการของจักรพรรดิเพื่อไปสำนักหมอหลวง เพื่อหยิบตัวยาที่ต้องการในสำนักหมอหลวง และสั่งให้คนส่งไปในเธอที่ตำหนักเฟิ่งอี๋ หลังจากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ทำการค้นคว้าตัวยาอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งอี๋โดยไม่ออกไปไหน

จนถึงเวลาค่ำ มีคนต้องการเข้าพบอยู่นอกตำหนักเฟิ่งอี๋

ฉีเฟยอวิ๋นคาดเดาว่าหนานกงเย่น่าจะมาหา

หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องของเธอก็ดังขึ้นด้วยเสียงเคาะประตู

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้ยินเสียงคนคุยกัน จึงรู้ว่าคนที่มาคือหนานกงเย่

เมื่อก่อนที่ได้เจอหน้ากันทุกวัน ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สองวันนี้ที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกคิดถึงหนานกงเย่อย่างมาก

เธอคิดว่า ความคุ้นเคยช่างน่ากลัว!

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินไปที่ประตูเพื่อเปิดประตู เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูแต่ก็ถูกหนานกงเย่กอดรัดเอาไว้ทันที

ป้าซีที่อยู่ข้างหลังก้มตัวโค้งคำนับและถอยออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นก็กอดรับหนานกงเย่ เธอกระชับแขนของเธอและถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ท่านอ๋อง พวกเขาไม่ได้ทำร้ายท่านใช่ไหมเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นเสียงแหบแห้ง หนานกงเย่ผลักฉีเฟยอวิ๋นออกเพื่อก้มมองเธอ “เป็นห่วงข้าหรือ?”

“ไม่เป็นห่วงเท่าไรนัก” ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย เกิดอยู่ในสถานที่เช่นนี้ สามารถถูกตัดหัวได้ตลอดเวลา นอนหลับก็ไม่ดีนัก เธอจะไม่เป็นห่วงเป็นกังวลได้อย่างไร?

หนานกงเย่ใจอ่อนและก้มลงไปจูบเธอ “คิดถึงข้าบ้างไหม?”

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงก่ำ ภายนอกตำหนักเฟิ่งอี๋ยังมีนางกำนัลและขันที

หนานกงเย่ก็ช่างไร้ยางอาย

“เข้ามาพูดคุยข้างในเถอะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นดึงมือของหนานกงเย่เข้ามาในห้อง และปิดประตูลง

และถูกกอดทันทีที่คว้าร่างกาย

“คิดถึงข้ามากใช่ไหม!” หนานกงเย่พูดแต่ประโยคเหล่านี้ หลังจากนั้นก็จูบ ฉีเฟยอวิ๋นทุบตีเขาสองครั้งเพื่อต้องการให้หนานกงเย่ปล่อย แต่เขากลับไม่ยอม ก้มตัวโค้งลงเพื่ออุ้มเธอไปที่เตียง

“กลางวันแสกๆ หากถูกพบเห็นเข้าจะอายคนอื่นนะเพคะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอม ต้องการที่จะลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ขึ้น ขาของหนานกงเย่อยู่ในขาของเธอ เธอราวกับถูกยึดติดและไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้

ทั้งสองฉุดกระชากกันอยู่สักพักหนึ่ง เมื่อฉีเฟยอวิ๋นสงบลงและเหลือบมองไปที่ประตู หันกลับมากอดรัดหนานกงเย่

“คิดถึงข้าบ้างไหม?” หนานกงเย่ยังไม่ยอม ยังคงถามต่อ

“เพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกอายเช่นกัน ความตื่นเต้นตื่นตัวของหนานกงเย่ก็ขึ้นมาทันที เขาก้มศีรษะลงไปจูบ ฉีเฟยอวิ๋นเคลิบเคลิ้มมึนเมาและไม่สามารถแยกแยะกลางวันกลางคืนได้อีกต่อไป

เมื่อเธอตื่นขึ้นก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว ลุกขึ้นมาด้วยอาการปวดหลังปวดเอวและลูบท้อง

วันนี้หนานกงเย่ตื่นเต้นมากเกินไป ยังไม่ทันที่จะหลบเลี่ยงเขา เขาก็ถาโถมเข้ามาทำการ จึงทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกถูกกระทำ และเกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ฉีเฟยอวิ๋นขยับไปมาและมองเห็นแสงไฟภายในห้อง หนานกงเย่กำลังนั่งดูอะไรอยู่ที่โต๊ะยาว ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นไปดู

บนโต๊ะมีคำให้การและภาพวาด ข้างบนมีชื่อของหนานกงเซวียนเฉิน

ฉีเฟยอวิ๋นหยิบขึ้นมาดู ข้างในมีข้อความประมาณว่าเช้าวันนั้นเขาไปถึงจวนกั๋วกงตั้งแต่แรก และคนที่จวนกั๋วกงสามารถเป็นพยานได้ ข้างล่างยังมีหนังสือรับรอง เป็นหนังสือรับรองท่านกั๋วกงและคนในจวนกั๋วกงลงลายมือชื่อไว้

ฉีเฟยอวิ๋นวางคำให้การลง และเดินไปหาหนานกงเย่

“ท่านอ๋อง จะปล่อยจงชินอ๋องหรือเพคะ?”

“ไม่มีปัญหาอะไรก็ต้องปล่อยออกมาแน่นอน” หนานกงเย่ลุกขึ้นและเดินไปรินน้ำเพื่อดื่ม หลังจากนั้นจึงหันไปหาฉีเฟยอวิ๋น

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “ท่านอ๋องไม่ต้องการปล่อยเขาออกมาหรือเพคะ?”

“ท่านอ๋องแปดต้องการบีบบังคับวังหลวง ข้าจะปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” หนานกงเย่ขมวดคิ้ว ฉีเฟยอวิ๋นมองไปรู้สึกว่าเขาดูดุร้ายเพียงแค่ได้มอง

“ท่านอ๋องโกรธหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นนึกว่าที่เขาออกมาเป็นเพราะกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของจักรพรรดิอวี้ตี้

แต่ตอนนี้เรื่องในมือของเขาช่างมากมายเหลือเกิน และดูเหมือนจะดูแลไม่ไหวแล้ว

“ท่านอ๋องตวนเกิดเรื่องขึ้น ท่านอ๋องก็เข้าคุกถูกจองจำ พวกเขาต้องการบีบบังคับวังหลวง ท่านอ๋องไม่โกรธหรือเพคะ?” หนานกงเย่วางแก้วในมือลง และแก้วก็สั่นสะเทือนและมีน้ำกระเด็นออกมา

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปโอบกอดเอวของหนานกงเย่และเงยหน้าขึ้นไปมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องจะทำอย่างไรหรือเพคะ?”

“เรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านอ๋องตวนนั้นเกี่ยวพันกับท่านอ๋องแปดอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่เป็นใครนั้นข้ายังไม่แน่ชัดนัก ต้องทำการสอบสวนทุกคนอย่างละเอียด”

“ท่านอ๋องหมายความว่า?”

หนานกงเย่ก้มศีรษะลงไปกระซิบข้างหูของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า “ทราบแล้วเพคะ”

หลังการนอนหลับพักผ่อนผ่านไปหนึ่งคืน ในตอนเช้าหนานกงเย่ไปเข้าเฝ้ายามเช้าที่ท้องพระโรงและฉีเฟยอวิ๋นก็ขอออกจากวังเพื่อไปเตรียมตัวยารักษาโรค เมื่อลงจากรถม้าก็ได้รับข่าวคราวว่าจู่ๆ จงชินอ๋องก็เป็นลมหมดสติไปในคุก หมอในเรือนจำไม่รู้สาเหตุและทำอะไรไม่ถูก

หมอประจำคุกทราบมาว่าฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้ทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก จึงได้ทำการเชิญฉีเฟยอวิ๋นไปตรวจสอบ

หลังจากที่จัดเตรียมของแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกเดินทาง

ฉีเฟยอวิ๋นใช้การฝังเข็มเพื่อรักษาอาการหมดสติของจงชินอ๋อง เมื่อจงชินอ๋องลืมตาตื่นขึ้นเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกตกใจ

“จงชินอ๋อง” ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง จงชินอ๋องยังคงมึนงงและสับสนเล็กน้อยเมื่อตื่นขึ้น

“ข้าเป็นอะไรไปหรือ?”

“หม่อมฉันก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่ว่าจงชินอ๋องสามารถอธิบายเรื่องราวของท่านอ๋องตวนที่เกิดขึ้นวันนั้นได้ไหมเพคะ?”

จงชินอ๋องลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “หากเป็นเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ข้าแค่อยากบอกว่าข้าไม่ได้เป็นคนทำเช่นนั้น หากข้าต้องการจะทำร้ายจริงๆ ทำไมต้องลงมือทำในเวลานี้ด้วย

ยิ่งกว่านั้น ข้าและท่านอ๋องตวนก็มีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”

จงชินอ๋องโกรธจนหน้าแดง และเส้นเอ็นเลือดขึ้นหน้า

ฉีเฟยอวิ๋นโบกมือของเธอ “จงชินอ๋องไม่ได้ทำ เช่นนั้นคนอื่นก็เป็นไปไม่ได้ หม่อมฉันขอถามจงชินอ๋องได้เล่าเรื่องที่ไปจวนกั๋วกงและได้พบกับท่านอ๋องตวนกับใครคนอื่นหรือไม่เพคะ?”

จงชินอ๋องลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาหลบเล็กน้อย

ฉีเฟยอวิ๋นคว้าโอกาสไว้ “จงชินอ๋อง เรื่องนี้มีผลกระทบไปถึงพระชายารองอวิ๋น ตอนนี้นางถูกพระมเหสีหวากักบริเวณเพคะ”

จงชินอ๋องตกใจและเงยหน้าขึ้นไปมองฉีเฟยอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ “เป็นไปได้อย่างไรกัน? นางไม่ได้ทำอะไรเลย”

“แต่พระมเหสีคิดว่าเรื่องนี้มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่รู้ หม่อมฉัน จงชินอ๋อง พระชายารองอวิ๋นและท่านอ๋องเย่

ท่านอ๋องเย่และท่านอ๋องตวนเป็นพี่น้องกัน ท่านอ๋องเย่โกรธมากกับเรื่องของท่านอ๋องตวน และทั้งหม่อมฉันและท่านอ๋องเย่ก็มีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้ทำเรื่องนี้

เช่นนั้นจึงเหลือเพียงแค่จงชินอ๋องและพระชายารองอวิ๋นเท่านั้น

จงชินอ๋องทางนี้สอบสวนไม่ได้อะไร จึงต้องไปสอบสวนพระชายารองอวิ๋น แต่พระชายารองอวิ๋นยืนยันว่าไม่ใช่จงชินอ๋อง”

“อวิ๋นหลัวฉวนบอกว่าไม่ใช่ข้าอย่างนั้นหรือ?” จงชินอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไป

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร หากเพียงได้สืบค้นอย่างละเอียดก็สามารถรู้ตัวผู้บงการได้ สอบสวนทุกคนให้หมด ก็จะหมดปัญหา หากไม่ได้ทำก็คือไม่ได้ทำ หรือว่าจงชินอ๋องไม่อยากให้เรื่องนี้กระจ่างขึ้นมา?”

จงชินอ๋องมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นชั่วขณะหนึ่ง “พระชายาเย่ช่างเก่งนัก ข้าเกือบหลงกลเจ้าเข้าแล้ว หากข้าทายไม่คิด พระชายารองอวิ๋นไม่ได้เป็นอะไร ครั้งนี้ที่พระชายาเย่มาหาก็เพียงแค่อยากถามเพื่อให้ได้เบาะแสอะไรบางอย่าง

ข้าไม่มีอะไรจะพูด ในเรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ พระชายาเย่เชิญกลับไปเถอะ”

ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้ฝืนพยายาม เหลือบมองไปที่อาอวี่ที่ยืนอยู่หน้าประตู อาอวี่นำคำให้การมาวางลง “เครื่องหมาย”

จงชินอ๋องมองดูและมั่นใจว่าไม่มีปัญหา และยกมือขึ้นมาจับเครื่องหมายบนภาพวาดนั้น

แต่ละชื่อที่ถูกเขียนไว้ข้างบน และลายนิ้วมือ ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองและนำคำให้การยื่นให้กับอาอวี่ “เรากลับกันเถอะ”

จงชินอ๋องมองฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไป และพิงไปที่กำแพง

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นออกมา อาวี่ก็ยื่นคำให้การคืนกลับให้ฉีเฟยอวิ๋น เมื่อรับกลับไปฉีเฟยอวิ๋นก็มองดู อักษรเดิมที่นี่นั้นลบเลือนหายไป แต่กลับปรากฏอักษรอื่นขึ้นมา

อาอวี่ตกใจอย่างมาก “พระชายา?”

“อย่าโวยวายไป ข้ายังไม่ได้ใช้ความเก่งกาจของข้าเลย”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกยกย่องนับถือหนานกงเย่ เขาไม่เคยเห็น เพียงแค่ฟังจากที่เธอพูดแค่ครั้งเดียว ก็ให้เธอถือออกมาใช้ ความคิดของเขาช่างมากมายเสียจริง

หลังจากออกไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็หยุดรออยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ไม่นานหนานกงเย่ก็มาถึงที่นี่ เมื่อลงรถม้าก็เดินตรงมาที่ฉีเฟยอวิ๋น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาเป็นคนใจร้อน

ชุดเครื่องแบบในราชสำนักยังไม่เปลี่ยนก็มาที่นี่?

“เป็นอย่างไรบ้าง?” หนานกงเย่ยกมือขึ้นมากุมมือของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบคำให้การออกมาและส่งให้กับหนานกงเย่ “ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านอ๋องต้องการเพคะ”

“อืม ข้าดูพระชายาไม่ผิดจริงๆ” หลังจากอ่านดู หนานกงเย่ก็กล่าวขึ้นมา “ทำตามคำสั่งของข้า ไปรับตัวคนที่จวนชินอ๋อง!”

“ขอรับ”

อาอวี่นำคนออกไปจำนวนหนึ่งเพื่อทำตามคำสั่ง ฉีเฟยอวิ๋นติดตามหนานกงเย่ไปที่ศาลพิเศษกลาง

เรื่องนี้เป็นเรื่องส่งผลกระทบต่อตระกูลชินอ๋อง จึงต้องแจ้งให้ทางศาลพิเศษกลางทราบเรื่อง

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปและพบกับเว่ยหลินชวนกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ในเรือน ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนเขา

แต่หนานกงเย่กลับทักทายขึ้นมาก่อน “จั่วจงเจิ้งกำลังทำอะไรหรือ?”

เว่ยหลินชวนหันกลับมาและเห็นหนานกงเย่แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่เขากลับผงะเมื่อเขาเห็นฉีเฟยอวิ๋น

เว่ยหลินชวนถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านอ๋องเย่มีเวลามาที่ศาลพิเศษกลางด้วยหรือ ช่วงนี้ไม่ยุ่งหรือ?”

“มีธุระจึงต้องมา” หนานกงเย่มองไปรอบๆ และถามขึ้นมา “เสด็จอาใหญ่ล่ะ?”

“พักผ่อนอยู่ข้างในหน่ะ” เว่ยหลินชวนตอบ หนานกงเย่จึงเดินเข้าไปหาองค์หญิงใหญ่

ฉีเฟยอวิ๋นวิ่งไมไ่ด้ แต่ก็โทษหนานกงเย่ไม่ได้ที่ปล่อยเธอไว้อย่างไม่สนใจ

ที่นี่คือศาลพิเศษกลาง ไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูแลเธอตลอด

แต่ตอนนี้มีเพียงแต่ฉีเฟยอวิ๋นและเว่ยหลินชวน เมื่อฉีเฟยอวิ๋นนึกถึงความดูถูกดูแคลนของเว่ยหลินชวน เธอก็รู้สึกเศร้าใจ

กลับมาพบเจอกันอีก!

เว่ยหลินชวนไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกใจ “จั่วจงเจิ้งมีอะไรหรือ?”

ที่นี่คือสมัยโบราณ เว่ยหลินชวนเป็นนักวิชาการ ทำไมเขาถึงมองคนอื่นได้หยาบคายเช่นนี้?

ไม่เหมาะสมหรอกกระมัง?

“ไม่มีอะไร ข้าจะพาพระชายาไปพบองค์หญิงใหญ่” เว่ยหลินชวนอ่อนน้อมอย่างมาก ฉีเฟยอวิ๋นหันกลับและเดินตามไปพบองค์หญิงใหญ่

แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก กลับรู้สึกว่าเว่ยหลินชวนมองเธอตลอดเวลา

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเดินมาถึงหน้าประตูห้องขององค์หญิงใหญ่ เธอก็ได้ยินเสียงก่นด่าดังออกมาจากข้างใน “เจ้าคนเลว เจ้าวางแผนมาถึงข้า ดูเหมือนข้าจะคิดผิดที่เอ็นดูเจ้า”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจกับเสียงที่ดังปัง ข้างในมีการโยนข้าวของ นิสัยขององค์ใหญ่แย่ขนาดนี้เชียวหรือ?

“หรือเสด็จอาใหญ่กำลังช่วยพวกเขาอย่างนั้นหรือ?” หนานกงเย่ยังคงรบเล้า ฉีเฟยอวิ๋นเกือบจะหัวเราะออกมา และอดไม่ได้จึงเอามือมาปิดปากไว้

เว่ยหลินชวนกำลังมองฉีเฟยอวิ๋น องค์หญิงใหญ่ตะโกนออกมาว่าออกไป และรู้สึกเหมือนว่ามีสิ่งของถูกโยนออกมา ยังไม่ทันที่จะคิด เว่ยหลินชวนก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเพื่อหลบ

เสียงดังปัง เป็นผลให้แท่นขี้ผึ้งทองแดงล้มลงกับพื้นด้วยเสียงที่คมชัด

แต่ในวินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงโกรธจัดของหนานกงเย่ “เจ้ากำลังทำอะไร?”

เว่ยหลินชวนมือสั่นและเขาก็หลบไปแอบ

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกมึนงง คงเป็นเพราะพื้นที่จำกัด ใบหน้าของเธอแดงก่ำและน่ารักอย่างมาก!

บทที่ 186 ความเย่อหยิ่งของพระมเหสีหวา

บทที่ 188 เพิ่มมาหนึ่งหมื่นตำลึงจีน