บทที่ 188 เพิ่มมาหนึ่งหมื่นตำลึงจีน
หนานกงเย่สีหน้าอึมครึม สายตาคู่นั้นมีความเย็นชาแพร่กระจายออกมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวว่า กริชได้พุ่งทะลวงออกจากดวงตาของหนานกงเย่แล้ว มันสามารถทำลายล้างเธอได้ตลอดเวลา
สัญชาตญาณในการปกป้องตนเอง ทำให้ฉีเฟยอวิ๋นดึงเว่ยหลินชวนเข้ามาเกี่ยวข้องทันที
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่หม่อมฉันรอท่านอ๋องอยู่ที่นี่ จั่วจงเจิ้งก็เข้ามาโอบกอดหม่อมฉันทันที หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจั่วจงเจิ้งเป็นคนเช่นนี้เพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบก้าวไปด้านหน้า ไม่นานก็ถึงตรงหน้าของหนานกงเย่ เธอมองหนานกงเย่ด้วยสายตาเศร้าสร้อย
หนานกงเย่หันไปทางเว่ยหลินชวนทันที แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเกี้ยวกราดว่า “เว่ยหลินชวน ข้าดูเจ้าน้อยเกินไป เจ้ากล้านัก ฐานะต่ำต้อยคิดว่าตนสูงส่ง หยาบคายกับพระชายาของข้า”
เว่ยหลินชวนราวกับโดนฟ้าผ่าลง ได้มองฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่สลับกันไปมา
ที่เรียกว่าจักรพรรดิต้องการให้ขุนนางข้าทาสตายขุนนางข้าทาสก็จำใจต้องตาย ดูเหมือนว่าสองสามีภรรยาได้ตกลงกันมาเรียบร้อยแล้ว
เว่ยหลินชวนลังเลใจอยู่สักพักหนึ่ง กำหมัดแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมไม่ได้หยาบคายล่วงเกินอย่างแน่นอน เมื่อครู่นี้ในห้องมีสิ่งของโบยบินพัดผ่านออกมา สัญชาตญาณของกระหม่อมเลยไปขวางกั้นไว้ แต่ทว่ากลับคิดไม่ถึง จะกลายมาเป็นความเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ
หากท่านอ๋องเย่ต้องการลงโทษกระหม่อม ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างมาใส่ร้ายกระหม่อมเยี่ยงนี้ กระหม่อมถวายความจงรักภักดีแก่องค์จักรพรรดิ ตราบจนชีวิตจะหาไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นห่อเหี่ยวอยู่สักพักหนึ่ง สรุปแล้วเรื่องนี้เป็นเธอที่ทำร้ายเว่ยหลินชวน เมื่อครู่เว่ยหลินชวนต้องการช่วยเธอจริงๆ
คิดแล้วใช่หรือไม่ว่าควรที่จะเอ่ยปากขอร้อง ยังไม่รอให้พูดเลย
หนานกงเย่ได้กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่เชื่อเจ้าไม่ต้องพูด ทหาร! เอาเว่ยหลินชวนไปขังที่คุกใหญ่”
มีคนพาเว่ยหลินชวนไป ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้มองหนานกงเย่ด้วยความเดือดดาล และกล่าวขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านรู้อย่างชัดเจนว่าหม่อมฉันกับเว่ยหลินชวนไม่ได้มีอะไรเกินเลย ล้วนเป็นความเข้าใจผิด เหตุใดท่านถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า?”
“ข้าเห็นกับตา”หนานกงเย่โมโหอย่างจริงจังมาก
ฉีเฟยอวิ๋นอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่หนานกงเย่โมโห เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรยังไงแล้ว ถึงได้เงียบปากสงบคำลง
แต่ทว่าองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ด้านในเดินออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาจะก่อเรื่องทะเลาะกันมาถึงศาลพิเศษกลางของข้า ช่วงนี้พวกเจ้าว่างมากใช่หรือไม่?”
ฉีเฟยอวิ๋นรีบหมุนตัวทำความเคารพ“เสด็จอาใหญ่”
“เจ้ายังมีหน้ามาเรียกข้าว่าเสด็จอาใหญ่ ข้าว่าช่วงนี้เจ้าลืมเรื่องอะไรไปนะ ”องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม มองฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่พอใจ ยกสองมือขึ้นวางมาด แล้วลากตวัดชุดสีขาวผ่านฉีเฟยอวิ๋นไป
ฉีเฟยอวิ๋นจำใจต้องยืนทำความเคารพอยู่
หนานกงเย่ยังอารมณ์เสียอยู่ เอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าที่หยิ่งทะนง แววตาคู่นั้นอึมครึมเป็นอย่างมาก
“ไม่กี่วันมานี้ไม่ใช่ว่าต้องเอาตั๋วเงินที่เหลือออกมาหรือ ข้าว่าให้ตอนนี้ไปเลยเถอะ ”องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างไม่เกรงใจ เมื่อครู่ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะใส่ร้ายผู้อื่น องค์หญิงใหญ่เห็นว่าไม่ยึดมั่นความเป็นธรรม เห็นอย่างชัดเจนว่าเว่ยหลินชวนช่วยเธอ เธอกลับใส่ร้ายป้ายสีได้ลงคอ
ไม่สั่งสอนสักหน่อย เกรงว่าจะไม่สามารถทำให้เธอหลาบจำได้
ฉีเฟยอวิ๋นเศร้าสร้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอ เห็นชัดเจนว่าหนานกงเย่เป็นคนขังเว่ยหลินชวน เหตุใดถึงกลายเป็นความผิดเธอ
แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ทำได้เพียงเศร้าสร้อยอย่างสมบูรณ์แล้ว
สภาพแวดล้อมนี้ไม่ดี ก็ไร้หนทางแล้ว
“เสด็จอาใหญ่ หม่อมฉันก็ต้องการอยากที่จะเอาห้าหมื่นตำลึงจีนมาให้เสด็จอาใหญ่ แต่จวนอ๋องเย่ขาดตั๋วเงินจริงๆ เอาตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงออกมาไม่ได้เลยเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างห่อเหี่ยวใจจนไม่สามารถมีอะไรมาเปรียบเทียบได้
ชาติก่อนไม่กลุ้มใจเรื่องตั๋วเงิน คิดไม่ถึงเลยว่าชาตินี้จะกัดกลุ้มหายใจไม่ออกเพราะตั๋วเงิน
องค์หญิงใหญ่กล่าวอย่างไม่สนใจว่า “ข้าไม่เกี่ยวไม่สนใจหรอกว่าพวกเจ้าจะมีหรือไม่ ติดค้างไว้ก็ต้องคืน”
“เสด็จอาใหญ่ แต่ตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงนี้เป็นการเสียสละบริจาคให้เขื่อนตู้ฟางจุนนะเพคะ และตอนนี้เขื่อนตู้ฟางจุนไม่ได้ใช้ตั๋วเงินนี้ ใช่หรือไม่ว่ายังไม่ต้องคืนก็ได้?”
“เจ้ายังคิดคดโกงหรือ? ข้าต้องไปถามพระพันปี เจ้าถึงจะยอมคืนใช่หรือไม่?”องค์หญิงใหญ่หมุนตัว ยกพระพันปีขึ้นมาพูด
ฉีเฟยอวิ๋นดูถูก เรื่องอย่างนี้ยังต้องยกพระพันปีมาพูด นับว่ากินอิ่มพงกางเสียจริง เธอถูกกลั่นแกล้งเสียแล้ว!
เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเลยยอมรับชะตาชีวิต
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “หากเสด็จอาใหญ่ยอมผัดผ่อนให้หม่อมฉันไม่กี่วัน หม่อมฉันสามารถผัดผ่อนเป็นงวดให้เสด็จอาใหญ่ได้เพคะ”
องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ผัดผ่อนเป็นงวดหรือ?”
“เพคะ ผัดผ่อนเป็นงวด”ฉีเฟยอวิ๋นอธิบายความหมายของการผัดผ่อนเป็นงวดอย่างง่ายๆ
องค์หญิงใหญ่แปลกใจ กล่าวว่า “เจ้าต้องการนำห้าหมื่นตำลึงจีนแบ่งเป็นเท่าไหร่หรือ?”
“อันนี้ไม่แน่ใจเพคะ ถึงอย่างไรมากขนาดนี้ จวนอ๋องเย่มีคนมากมาย เมื่อใช้ชีวิตประจำวันเปิดประตูเรือนมีค่าใช้จ่ายร้อยสองร้อยตำลึงจีน เพราะฉะนั้นการรวบรวมตั๋วเงินก็ช้าเป็นอย่างมาก ตอนนี้ท่านอ๋องก็อยู่ที่เรือนไม่ได้ไปสู้รบ ทุกแห่งทุกหนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปสู้รบด้วย
ที่เรือนไม่มีตั๋วเงินจริงๆ สิ่งที่ฝ่าบาทให้เป็นรางวัลก็ไม่ง่ายที่จะนำไปขาย เพราะนั่นเป็นการทำให้ฝ่าบาทดูโง่เขลา
หม่อมฉันคิดว่า มิดีเท่ากับค่อยๆหา หม่อมฉันตั้งร้านค้าสามแห่งบนถนนแล้ว เตรียมที่จะทำการค้าเล็กๆ ตามที่หม่อมฉันคำนวณ ทุกเดือนสามารถหาตั๋วเงินได้บ้าง เพื่อนำไปใช้จ่ายที่จวนอ๋องเย่ และยังมีส่วนที่เหลือ ส่วนที่เหลือนั้นจะมอบให้เสด็จอาใหญ่เพคะ
รอเสด็จอาใหญ่ช่วยหม่อมฉันให้เก็บได้เพียงพอ ก็ไปจ่ายที่ท้องพระคลัง เก็บไว้ในอนาคตเมื่อตอนที่เขื่อนตู้ฟางจุนจะใช้ ค่อยนำออกมา”
เวลานี้หนานกงเย่ไม่โกรธแล้ว แถมยังมีความชื่นชมด้วย
ใช้ชีวิตอยู่ที่เรือน สรุปแล้วยังต้องมีฮูหยินที่สามารถดูแลปกครองเรือนได้!
ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอารมณ์มองหนานกงเย่ มองดูสูงส่ง ที่แท้เป็นคนที่ไร้ความสามารถ ไม่มีอะไรดีเลย
และก็ไม่เอ่ยพูดว่า จะยอมกี่วัน
ทำร้ายเธอที่เป็นพระชายาผู้นี้จนไม่มีวันว่างสบายๆ และยังต้องคิดหาวิธีไปหาตั๋วเงินมาเลี้ยงดูแลคนกลุ่มหนึ่งด้วย!
องค์หญิงใหญ่มองแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าวางแผนว่าหนึ่งเดือนน้อยที่สุดจะสละให้เท่าไหร่?”
“สามพันตำลึงจีนเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าว
“เจ้ากำลังหลอกลวงข้าหรือ?”องค์หญิงใหญ่กล่าวตำหนิ “เจ้าพูดเองว่าทุกวันจวนอ๋องเย่ต้องใช้จ่ายร้อยสองร้อยตำลึงจีน เช่นนั้นหนึ่งเดือนเจ้าต้องได้หนึ่งหมื่นตำลึงจีนถึงจะพอดิบพอดี ร้านของเจ้าร้านอะไร หนึ่งเดือนสามารถหาได้ถึงหนึ่งหมื่นตำลึงจีนหรือไม่?”
“เสด็จอาใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันมีวิธีของหม่อมฉัน เพราะฉะนั้นเสด็จอาใหญ่รอรับเงินก็พอแล้วเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดถึงขนาดนี้แล้ว องค์หญิงใหญ่ถึงไม่ได้ทำให้รู้สึกลำบากใจอีก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ได้สนใจจุดนี้แล้ว เวลาหนึ่งปี เจ้าเตรียมตั๋วเงินหมื่นตำลึงมาให้ข้าด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้า ไม่ได้สนใจจุดนี้แล้วจริงๆ กล่าวว่า “หม่อมฉันจะทำตามคำสั่ง เช่นนั้นหม่อมฉันเริ่มเดือนหน้านะเพคะ ใกล้สิ้นเดือนของทุกเดือนจะเอาเงินไปส่งให้กับเสด็จอาใหญ่”
“อืม”
องค์หญิงใหญ่ตอบรับ ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้กล่าวว่า “หม่อมฉันกลับไปก่อนนะเพคะ จะไปคิดหาวิธีนำตั๋วเงินมาให้เสด็จอาใหญ่”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดก็อยากกลับไปเลย ในเมื่อพระองค์ไม่ได้ให้เกียรติและมีมิตรไมตรีต่อกัน เธอยังจะอยู่ที่นี่ทำไม?
ฉีเฟยอวิ๋นเดินอ้อมออกไปจากอาและหลาน
หนานกงเย่ถึงได้กล่าวว่า “เสด็จอาใหญ่ ก่อนหน้าพูดกับท่านก็ได้กำหนดข้อตกลงเช่นนี้แล้ว เมื่อครู่หลานเพิ่งจะทำให้พระชายาโมโห ต้องการกับไปอธิบาย”
“ช้าก่อน….”องค์หญิงใหญ่ยังไม่ปล่อยไป
“เสด็จอาใหญ่ ลูกไปแล้วนะ”
พูดจบฝีเท้าของหนานกงเย่คล้ายดั่งทาเคลือบน้ำมัน หมุนตัวได้เดินไปทันที
องค์หญิงใหญ่ด่าตามหลังหนึ่งประโยค หนานกงเย่ก็เดินไปไกลแล้ว
คนไปแล้วองค์หญิงใหญ่เลยเรียกคนมา เขียนเอกสารฉบับหนึ่ง และสั่งคนไปที่สถานที่กักตัวให้นำเว่ยหลินชวนออกมา แต่คนที่ไปกลับมา
บอกว่ากับองค์หญิงใหญ่ว่าคนได้ถูกควบคุมแล้ว การกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย
องค์หญิงใหญ่โมโหจนเขียนเอกสารหนึ่งฉบับให้กับฉีเฟยอวิ๋น บอกให้เธอส่งมอบห้าพันตำลึงจีนทุกเดือน หนึ่งปีคืนให้ครบ คืนสิบสองเดือน
ฉีเฟยอวิ๋นได้รับเอกสารก็ไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรเรื่องหลังจากสิบสองเดือนนี้ยังไม่ชัดเจนเลย
แม้ห้าหมื่นตำลึงจีนเปลี่ยนเป็นหกหมื่นตำลึงจีนจะมีความรู้สึกเจ็บปวดใจ แต่สิ่งที่มากนั้นก็ต้องให้ ก็เลยไม่ได้สนใจว่าเพิ่มมาหนึ่งหมื่นตำลึงจีน
เพียงแต่ตั๋วเงินนี้ไม่ใช่ที่จะหยิบมาอย่างสับสนมึนงงได้