“วันนี้ผลอิงเถาไม่เลวเลย จูอี อีกประเดี๋ยวเจ้าไปเลือกมาตะกร้าหนึ่ง แล้วเอาไปส่งให้ที่ศาลาพักม้า” หลังบ่ายเว่ยฉางอิ๋งนอนพักกลางวันแล้วตื่นขึ้นมา ได้ยินผ่านหน้าต่างว่านางเฮ่อเอ่ยสั่งความไปเสียงเบาๆ อยู่ข้างนอก “แล้วไปดูด้วยว่า ชาวตี๋ที่ชื่อว่าโม่…โม่เหยี่ยอะไรนั่นขาดเหลือสิ่งใด หากมีก็นำไปเพิ่มให้เขาให้ดีๆ บอกคนที่ศาลาพักม้าด้วยว่าล้วนให้ลงบัญชีของฮูหยินน้อยของเรา!”
จูอียิ้มรับ บอกว่า “คนที่ศาลาพักม้ารู้ว่าโม่เหยี่ยเคยช่วยชีวิต ฮูหยินน้อยเอาไว้ ล้วนเอาแต่ของดีๆ ให้เขาอยู่แล้วเจ้าค่ะ! ข้าน้อยไปมาสองรอบ ไม่เห็นว่าเขาจะขาดเหลือสิ่งใด ล้วนได้แต่ของดีที่สุดในศาลาพักม้าแล้วเจ้าค่ะ หรือต่อให้ขาดเหลือ ทาง ศาลาพักม้าก็จะนำไปเพิ่มให้เขาแล้ว และไม่มีทางมาขอจาก ฮูหยินน้อยของเราเพิ่มอีกหรอกเจ้าค่ะ”
จูอีเป็นบ่าวที่เกิดในบ้านตระกูลเสิ่น ทุกคนต่างเรียกขานกันแต่ว่าตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง ตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียง แม้โดนนามแล้วซีเหลียงจะอยู่ในเขตแดนของต้าเว่ยมาโดยตลอด แต่ในความเป็นจริง นับแต่หลายร้อยปีก่อนทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับตระกูลเสิ่น
เมื่อได้ยินได้เห็นมาตั้งแต่เล็ก ในสายตาของจูอีแล้ว สถานที่เช่นศาลาพักม้าในด่านเตี๋ยชุ่ยซึ่งเป็นตำบลสำคัญอันดับหนึ่งของซีเหลียงนั้น ก็มิใช่ว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของตระกูลเสิ่นหรอกหรือ? เมื่อว่าที่นายผู้หญิงของตระกูลเสิ่นต้องการให้ศาลาพักม้าเพิ่มของเข้าไปสักหน่อย แล้วเหตุใดนางต้องออกเงินเองด้วยเล่า?”
“เจ้าจะไปเข้าใจสิ่งใด?” เมื่อได้ยินจูอีพูดเช่นนี้ เว่ยฉางอิ๋งซึ่งอยู่ภายในห้องก็ขมวดคิ้วเข้ามาน้อยๆ นางเฮ่อซึ่งอยู่ข้างนอกก็ตำหนิเสียงสูงขึ้นมาเล็กน้อยว่า “ยามนี้คนทั้งด่านเตี๋ยชุ่ยแห่งนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าโม่เหยี่ยช่วยชีวิตฮูหยินน้อยของเราเอาไว้? แต่ก็เพราะเขาเป็นคนช่วยชีวิต ฮูหยินน้อยของเรา! คนที่ต้องตอบแทนเขาก็คือ ฮูหยินน้อย มิใช่ตระกูลเสิ่น! ยิ่งไม่ใช่ต้าเว่ย! หากเจ้าให้ ศาลาพักม้าออกเงิน แล้วนี่จะหมายความว่าอย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินน้อยจะขาดเหลือเงินทองเพียงเล็กน้อยนั้นหรือ? ไอ้เจ้าของดวงตาตื้นเขิน! เจ้าอย่าได้ทึกทักว่าตนฉลาดแล้วทำเสียการเสียเล่า!”
พอจูอีถูกด่าจึงรีบขอขมาว่า “ข้าน้อยโง่นัก ท่านอาท่านก็โปรดอย่าถือสาที่ข้ามีความรู้น้อย ข้าก็เพียงคิดว่า…คิดว่าจะอย่างไรศาลาพักม้าก็คงไม่ยอมให้ฮูหยินน้อยออกเงินนี่เจ้าคะ!”
“เช่นนั้นก็ไปบอกพวกเขาว่าสิ่งที่ควรมาเก็บเงินก็ต้องเก็บ!” นางเฮ่อเอ่ยอย่างหมดคำพูด “ฮูหยินน้อยของเราหาใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณ โม่เหยี่ยช่วยฮูหยินน้อยเอาไว้ ตลอดหลายวันมานี้ ฮูหยินน้อยก็คอยเอาใจใส่ดูแลเขาอยู่บ่อยครั้ง เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องเป็นฮูหยินน้อยทำเอง หาได้เกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นแต่น้อยไม่! หากคนในศาลาพักม้าไม่ยอมรับ เจ้าก็มาบอกข้า ข้าจะไปบอกกับพวกเขาเอง!”
เมื่อจูอีได้ยินว่าจะต้องให้เงินให้จงได้ จึงรีบยิ้มสู้ บอกว่า “ท่านอาก็พูดจนถึงขั้นนี้แล้ว หากข้าน้อยยังทำไม่ได้ แล้วจะมีหน้ามาปรนนิบัติฮูหยินน้อยได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? ท่านโปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องไปบอกกับคนที่ศาลาพักม้าให้ชัดเจนเชียวเจ้าค่ะ!”
เมื่อให้จูอีออกไปส่งผลผิงเถาแล้ว นางเฮ่อก็กลับยืนถอนใจอยู่บนระเบียงทางเดิน แล้วเดินเข้าไปตรวจดูในห้องด้วยท่าทีหนักใจ เมื่อเข้าไปในห้องแล้วเห็นว่า เว่ยฉางอิ๋งลุกขึ้นมาแล้ว และกำลังเอาปิ่นม้วนผมยาวที่สยายออกยามนอนกลางวัน นางเฮ่อจึงเดินเข้าไปรับปิ่นมาช่วยนางม้วนผม ตำหนิไปเบาๆ ว่า “ในเมื่อฮูหยินน้อยตื่นแล้ว ไยไม่เรียกคนเข้ามาเล่าเจ้าคะ?”
“ข้าเพิ่งจะตื่น คิดว่าท่านอาสั่งความจูอีเสร็จแล้วก็จะต้องเข้ามา จึงจัดการเองสักหน่อย” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ย “ดีชั่วยามนี้ก็เป็นฤดูร้อน ไม่ได้ยุ่งยากอันใด…วันนี้ผลอิงเถาไม่เลวหรือ?”
นางเฮ่อเอ่ย “เจ้าค่ะ ข้าน้อยคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าในซีเหลียงแห่งนี้ กลับมีที่ที่สามารถมองเห็นป่าอิงเถาเป็นแถบกว้าง… ด่านเตี๋ยชุ่ยแห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นดินแดนเจียงหนานแห่งซีเหลียงทีเดียวเจ้าคะ”
เว่ยฉางอิ๋งยิ้มพลางว่า “ยังมีน้ำตกเตี๋ยชุ่ยที่ทัศนียภาพน่าชมนัก ข้าเคลือบแคลงนักว่านี่คือสวรรค์บนพื้นดิน”
“เขาซวงชุ่ยก็งดงามยิ่งนัก… เฮ่อ เพียงแต่ยามนี้พวกตี๋มักจะมาลาดตระเวนแถบใกล้ๆ ด่าน วันหน้าฮูหยินน้อยก็อย่าออกไปจากตัวเมืองอีกเลยเจ้าค่ะ” นางเฮ่อเอ่ยชมสำทับนางไปคำหนึ่ง แต่เมื่อคิดไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่ถูก จึงเปลี่ยนมาเป็นพูดเตือนแทน “ครั้งเรื่องคราก่อนแพร่กลับถึงตัวเมืองซีเหลียงก็ทำเอาข้าน้อยและพี่หวงตกใจแทบตายแล้วเจ้าค่ะ! ตอนที่ข้าน้อยมาถึงหน้า ด่านเตี๋ยชุ่ยก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าที่แท้ตนเองขี่ม้ามา ข้าน้อยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตนเองขี่ม้าเป็นแต่เมื่อใด! มิใช่ข้าน้อยร่ำไรนะเจ้าคะ ครานี้ฮูหยินน้อยเอาแต่ใจเกินไปจริงๆ! ทั้งที่รู้ว่าที่หน้าด่านเตี๋ยชุ่ยล้วนเป็นที่ราบที่เหมาะให้ม้าวิ่ง ทั้งยังติดกับหมู่บ้านและตำบลที่ห่างไกลเช่นตงเหอ เดิมทีก็ไม่ใช่หนทางที่สามารถปิดกั้นไม่ให้ชาวตี๋เข้ามาได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เหตุใดยังออกไปขี่ม้าอีก? ดีที่ท่านเป็นคนดีสวรรค์คุ้มครองนะเจ้าคะ! หาไม่แล้ว ท่านจะให้ข้าน้อยไปอธิบายกับฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินบ้านเราและคุณชายน้อยว่าอย่างไรเจ้าคะ!”
สองสามวันมานี้เว่ยฉางอิ๋งถูกนางเฮ่อบ่นไม่รู้กี่รอบแล้ว …เดิมทีตอนที่นางมาที่ ด่านเตี๋ยชุ่ยก็เพียงพาสาวใช้สองสามคนมาด้วยเท่านั้น ปรากฏว่าหลังจากเกือบถูกพวกตี๋ทำร้ายเมื่อคราวก่อน เมื่อท่านทั้งสองที่อยู่ในตัวเมืองซีเหลียงได้รับข่าวก็ตกใจกันแทบเป็นแทบตาย นางหวงจึงตัดสินใจในทันใดว่าจะให้คนไปส่งนางเฮ่อ เพื่อเร่งเดินทางไปคอยจับตาดูเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ให้ดี
เมื่อนางเฮ่อมาถึง และได้เห็นกับตาแล้วว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่เป็นไร จากนั้นก็เริ่มร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลต่อว่านางว่าเอาแต่ใจตน …เว่ยฉางอิ๋งถูกนางบ่นเสียใจหงอไปหมด จึงพานางออกไปชมทิวทัศน์ภายนอกด้วยกันเสีย
ด่านเตี๋ยชุ่ยแห่งนี้ไม่เพียงเป็นแค่ตำบลที่สำคัญของซีเหลียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีทิวทัศน์งดงามมากมาย นายบ่าวและคนทั้งกลุ่มไปชมกั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่านางเฮ่อจะลืมเรื่องเว่ยฉางอิ๋งที่ไปเสียแล้ว ยามนี้ก็มิใช่ว่าพูดขึ้นมาอีกแล้วหรือ?
เว่ยฉางอิ๋งรีบยิ้มสู้นาง “ท่านอาเฮ่อ ข้าบอกแล้วอย่างไร นั่นล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน ประการแรกไม่รู้ว่าม้าตัวนั้นเป็นพวกตี๋วางลูกไม้เอาไว้ ประการที่สอง ก่อนข้าจะออกจากด่านมาขี่ม้า ก็สอบถามนายทหารรักษาการณ์คนก่อนมาแล้ว นายทหารรักษาการณ์ผู้นั้นก็บอกว่าไม่เป็นไร ข้าจึงได้…”
“นายทหารรักษาการณ์ผู้นั้นไม่ได้ความ จะเชื่อคำเขาได้อย่างไร?” แม้นางเฮ่อล้วนไม่เคยพบนายทหารรักษาการณ์ผู้นั้นมาก่อน ด้วยเหตุที่เขาเกือบทำให้ว่าที่นายผู้หญิงตระกูลเสิ่นต้องเป็นอันตรายถึงชีวิตจึงถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว แต่นี่กลับไม่อาจทำให้นางตำหนิไม่คนผู้นี้อย่างโกรธเคือง “ตนเป็นถึงนายทหารรักษาการณ์แห่งด่านเตี๋ยชุ่ย แม้แต่ม้าที่อูกู่เหมิงชื่นชอบที่สุดก็ยังจำไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดสิ่งใดอีกแล้ว ทั้งที่รู้ว่าพวกตี๋เลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ในเผ่ามีม้าดีอยู่มากมาย เมื่อเขาอยากมอบม้าให้ ฮูหยินน้อยก็ไม่รู้จักตรวจสอบที่มาของม้าให้ชัดเจน! เกือบจะทำร้ายฮูหยินน้อยเข้าให้แล้ว…”
เอาล่ะ ท่านอาเฮ่อทึ้งผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น และน้ำตานองหน้าอีกแล้ว…
เว่ยฉางอิ๋งเอามือเท้าแก้มอย่างกลัดกลุ้ม กล่าวว่า “ท่านอา นายทหารรักษาการณ์ผู้นั้นถูกปลดไปแล้วนะ”
“ปลดได้ดี!” นางเฮ่อร้องเสียงดังสนั่นขึ้นมาอย่างเต็มแรง “ไอ้ของสวะเลอะเลือนชนิดนี้ คราก่อนเกือบทำให้เกิดเรื่องกับฮูหยินน้อย ไม่แน่ว่าจะทำให้เกิดเรื่องกับ ด่านเตี๋ยชุ่ยขึ้นมายามใด!”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจยาว “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว …วันพรุ่งพวกเราไปที่ศาลาชุ่ยยิวดีหรือไม่? เอาของกินไปด้วยสักหน่อย?”
น่าเสียดายที่แม้นางคิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ทว่านางเฮ่อกลับยังพูดไม่พอ นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ดีชั่วคุณชายก็ยังต้องกล่อมส้างกวานสืออีทางนั้นต่อ จะไปชมศาลาชุ่ยยิวเมื่อใดก็ได้ แต่เรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในยามนี้ หากไม่วางแผนการออกมา ก็จะไม่ได้การเลยจริงๆ เจ้าค่ะ!”
“ท่านอาพูดถึงเรื่องตอบแทนโม่เหยี่ยผู้นั้นหรือ? ข้าเองก็กำลังปวดหัวอยู่เชียว” เว่ยฉางอิ๋งถอนใจ
การได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากความตายย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว
เพียงแต่เรื่องตอบแทนนี้…
ทั้งด้วยฐานะส่วนตัวของโม่เหยี่ย ทั้งยังมีฐานะเป็นทูตที่นำประสงค์จะสงบศึกของอาอีถ่าหูมา ผู้ซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นข่านของพวกตี๋ ในยามนี้ที่พวกตี๋เองก็แบ่งแยกกันเป็นสองฝักฝ่ายด้วย เรื่องนี้ก็ทำให้เว่ยฉางอิ๋งปวดหัวมากพอแล้ว
สมมติว่าเขาเป็นชาวเว่ย ไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางอิ๋งหรือเสิ่นจั้งเฟิงก็จะสามารถตอบแทนน้ำใจนี้ได้อย่างสบายๆ แต่เขาดันเป็นชาวตี๋เสียนี่!
ตามธรรมเนียมปฏิบัตินับแต่โบราณมาก็เน้นหนักว่าบุญคุณเพียงหยด ต้องตอบแทบดังธารน้ำ
ยิ่งเป็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งก็ยิ่งให้ความสำคัญกับเรื่องนี้…
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าหากคราหน้าต้องพบเจอกับอันตรายอีก ก็ยังจะมีคนมาช่วยเหลือตน ทว่า เหล่าคนที่มีฐานะไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่ต้องการได้ชื่อว่า ‘มีบุญคุณไม่ทดแทน’
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตเสียด้วย!
โม่เหยี่ยจะไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีกสักเท่าใดก็ได้ ทว่าเว่ยฉางอิ๋งจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ว่ากันตามจริงแล้ว หากทำตามที่โม่เหยี่ยบอกว่าให้ทำเหมือนไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แม้ฝั่งของชาวตี๋จะไม่พูด แต่เมื่อทางต้าเว่ยรู้เรื่องก็จะต้องประณามว่าเหตุใดฮูหยินน้อยสามตระกูลเสิ่นจึงได้แล้งน้ำใจเพียงนี้?
ด้วยฐานะคุณหนูใหญ่แห่งรุ่ยอวี่ถังที่ได้รับความรักใคร่เอาใจจากญาติผู้ใหญ่มาจนโต แต่ไรมาเว่ยฉางอิ๋งล้วนไม่เอาเรื่องคำครหานินทามาเก็บใส่ใจนัก และแต่ไรมานางก็ไม่เคยเอ่ยปากถามเรื่องการงานของ เสิ่นจั้งเฟิง แต่ก็รู้ว่าการเจรจาสงบศึกครานี้ ไม่ว่าสำหรับชิวตี๋เองหรือว่าสำหรับตระกูลเสิ่น รวมไปถึงสำหรับต้าเว่ยก็ล้วนเป็นเรื่องที่สับสนซับซ้อนนัก หาใช่ว่าง่ายดายเหมือนแค่มองโดยผิวเผินไม่ สิ่งที่โม่เหยี่ยวางแผนมานั้น นางไม่มีทางมอบให้แน่นอน! ในเมื่อไม่ให้แล้ว โม่เหยี่ยก็ใช้ฐานะผู้มีประคุณช่วยชีวิต ไม่ยอมให้ตนเองตอบแทนบุญคุณ เว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่อยากไปร่ำไรกับเขาแล้ว …ดีชั่วผลประโยชน์ที่สามารถให้เขาได้ก็มีจำกัดเพียงเท่านั้น หากมากมายกว่านั้น ขออภัย สิ่งใดก็ไม่มีให้แล้ว
นี่เป็นความคิดในใจของเว่ยฉางอิ๋ง นางหาใช่คนที่ถูกผู้อื่นใช้บุญคุณที่ช่วยชีวิตมาบีบคั้นได้!
แต่ยามนี้นางยังเป็นแม่คนด้วย
เสิ่นซูกวงยังเล็ก คนเป็นแม่ย่อมไม่อาจไม่คำนึงถึงบุตรชายของตน …สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว การมีแม่ไม่รู้จักคุณคน ไม่ว่าอย่างไรก็มิใช่เรื่องดี
หากไม่มีเรื่องใดเกินคาด เสิ่นซูกวงก็จะต้องเป็นประมุขคนต่อๆ ไปของ ตระกูลเสิ่น ต้องรับผิดชอบวงศ์ตระกูลที่ใหญ่โตเพียงนี้ ไม่ว่าผลประโยชน์ใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเขาก็ล้วนไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปได้ เมื่อเทียบกับการปกป้องและอบรมของแม่เฒ่าซ่งท่านย่าของตนครั้งที่ตนเองเติบโตมานั้น เว่ยฉางอิ๋งจำได้แต่ว่าท่านย่าคอยปกป้องและช่วยเหลือตนกระทั่งไม่ให้ต้องลมต้องฝนแม้แต่น้อยนิด นางจึงหวังเป็นที่สุดว่าจะสามารถปกป้องและช่วยเหลือบุตรชายของตนอย่างเต็มกำลังเช่นกัน…
เรื่องที่เกิดขึ้นนอกตัวเมืองเฟิ่งโจวเมื่อครั้งก่อนออกเรือนนั้นไม่อาจอธิบายและไม่อาจพิสูจน์ได้อย่างเปิดเผย เรื่องความวู่วามเลอะเลือนที่เสนอตัวเลือกพระสวามีให้แก่องค์หญิงอันจี๋ก็เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงอันใดไม่ได้ และเรื่องที่นางเพิ่งจะทำล่าสุดนี้ ก็คือการเชื่อคำพูดนายทหารรักษาการณ์ที่เร่งร้อนจะสร้างความชอบอย่างง่ายดาย โดยไม่ได้สอบถามจากสามีให้ดีก็ออกไปจากด่านจนเกือบทำให้บุตรชายที่ยังเล็กต้องเสียแม่ไป
ความผิดเล็กน้อยนานาในชีวิตของเว่ยฉางอิ๋งนั้นไม่นับ แต่นางทำความผิดครั้งใหญ่ไปสามครั้งแล้ว
ความผิดทั้งสามครั้งนี้ ครั้งแรก ความจริงไม่อาจนับว่าเป็นความผิดของนาง ทว่าในเสียงครหากลับบอกว่าเป็นความผิดของนางแน่นอน ครั้งที่สองกลับทำให้นางเข้าใจคำว่า ‘เลอะเลือน’ ได้อย่างลึกซึ้ง
แต่สิ่งที่ฝังลงในกระดูกก็คือครั้งที่สาม
หาใช่เพราะครั้งนี้นางต้องเผชิญหน้ากับความตื่นตระหนกจนขวัญกระเจิงกับความเป็นและความตาย หากแต่เพราะว่าความตื่นตระหนกจนขวัญกระเจิงในครานี้แตกต่างกับสองครั้งก่อนมากที่สุด ด้วยมันเตือนสตินางว่า เวลานี้นางมิได้เป็นเพียงแค่มุกในมือของแม่เฒ่าซ่ง หรือเป็นแค่ภรรยาที่เสิ่นจั้งเฟิงรักใคร่เอาใจเท่านั้น ทว่ากลับเป็นมารดาของเสิ่นซูกวงด้วย
คนเป็นหลานสาว เมื่อทำผิดแล้ว ก็ยังมีท่านย่าที่เมตตาคอยช่วยชดเชยให้ คนเป็นภรรยา เมื่อทำผิดแล้วก็มีสามีที่รักใคร่คอยช่วยไกล่เกลี่ย ทว่าคนเป็นแม่ เมื่อทำผิดแล้ว หรือต้องให้ลูกที่ยังเล็กนักมารับผลจากสิ่งนี้ด้วย?
ในชั่วพริบตานั้น เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาว่าครั้งตนออกเรือน เหตุใดท่านย่าและมารดาจึงพูดว่า ‘ออกเรือนแล้ว’ ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่าพอเสิ่นซูกวงเกิด และพวกท่านเขียนจดหมายมาแสดงความยินดีก็เขียนมาอีกคำหนึ่งว่า ‘เป็นแม่คนแล้ว ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว’ เดิมทีนางไม่เคยใส่ใจกับถ้อยคำนี้ในจดหมายที่ส่งมาเลย ก็นึกเพียงว่าท่านย่าและมารดายังอาลัยอาวรณ์ที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป…กระทั่งในชั่วขณะที่หลับตาลงรอความตาย นางจึงเพิ่งเข้าใจว่า ที่แท้โตแล้วก็จะเป็นเช่นนี้เอง …เป็นภรรยา เป็นก้าวหนึ่ง เป็นแม่คน ก็คืออีกก้าวหนึ่ง
สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ยามเป็นภรรยาคน ก็ยังพอจะมีพื้นที่เหลือให้เอาใจตนได้บ้างสักน้อย ทว่าเมื่อเป็นแม่คน …แม้ว่าเด็กเล็กๆ จะไม่อาจขู่เข็นบีบบังคับคนเป็นแม่แต่ได้อย่างใด ทว่าโซ่ตรวนของลูกกลับหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าโซ่ตรวนใดๆ ในหล้า คงเป็นโซ่ตรวนที่หนักที่สุดยาวนานที่สุดจนใจที่สุดในชั่วชีวิตนี้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ไร้ลูกกุญแจใดมาปลดเปลื้องลงได้ …กระดูกในกระดูก เนื้อในเนื้อ เลือดในเลือด ความอัศจรรย์ของจิตวิญญาณที่ประสานเชื่อมโยงกัน จะมีสักกี่คนที่สามารถตัดให้ขาดจากกันได้?
ทว่าทุกคนล้วนยินยอมพร้อมใจทั้งยังพยายามให้ถูกโซ่ตรวนนี้พันธนาการเอาไว้…
เพื่อเสิ่นซูกวงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งไม่มีทางและไม่ยอมปล่อยให้ตนเองทำเรื่องผิดพลาดใดอีกแล้ว!
ในชั่วขณะที่โม่เหยี่ยปรากฏตัวขึ้นนางก็แอบสาบานในใจว่า จะไม่มีวันทิ้งความผิดใดไว้ผู้คนมาครหานินทาลูกของตนได้โดยเด็ดขาด …ฉะนั้น จะต้องวางแผนให้ดีๆ ว่าจะตอบแทนโม่เหยี่ยอย่างไร
…วันรุ่งขึ้น เมื่อขบวนของโม่เหยี่ยเข้ามาในด่านเตี๋ยชุ่ย เว่ยฉางอิ๋งก็ใช้เวลาหนึ่งคืน รวบรวมหนึ่งพันตำลึงทองและไข่มุกงามหนึ่งหีบมาอย่างเร่งรีบและมอบให้เขาไป
ชีวิตหนึ่งกับพันตำลึงทองและมุกหนึ่งหีบ แม้ลำพังแค่สินติดตัวของเว่ยฉางอิ๋งเองก็มีค่าห่างไกลกว่านี้ลิบลับ ทว่าสำหรับคนทั่วไปแล้ว พันตำลึงทองก็เป็นจำนวนที่ทำให้คนตื่นตกใจนักแล้ว หากโม่เหยี่ยยอมรับเอาไว้ ก็นับว่าเว่ยฉางอิ๋งพอจะตอบแทนบุญคุณไปได้แล้ว …และหากมีเรื่องใดที่พอจะดูแลเขาได้บ้างในช่วงเวลาที่โม่เหยี่ยอยู่ในด่านเตี๋ยชุ่ย เรื่องบุญคุณนี้ก็พอจะให้ผ่านไปได้แล้ว
ทว่าก็เป็นดังที่นางเป็นกังวล …ของตอบแทนนี้กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่เหลือที่ให้เจรจาเลย