“แม้ข้าน้อยจะไม่ได้อ่านหนังสือมาสักกี่เล่ม แต่ก็รู้ว่า ‘มิใช่ชนชาติเรา ใจเขาย่อมแตกต่าง’ นางเฮ่อหยิบเอาเครื่องประดับผมรูปดอกไม้จากในกล่องเก็บเครื่องประดับมาวางเทียบที่มวยผมของเว่ยฉางอิ๋งไปพลาง เอ่ยเสียงเบาไปพลาง “แม้โม่เหยี่ยผู้นี้จะเคยช่วยฮูหยินน้อย ทว่าเขาก็เป็นชาวตี๋ ทั้งครานี้ก็มาเพื่อเจรจาสงบศึก ผู้ใดจะรู้ว่าจะมีเบื้องหลังใดหรือไม่? ข้าน้อยไปสอบถามเรื่องในวันนั้นมาแล้ว ไม่ทราบว่าฮูหยินน้อยเองได้สังเกตบ้างหรือไม่เจ้าคะ? คนทั้งกลุ่มของโม่เหยี่ยนั่นซ่อนตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่ตอนที่พวกของอูกู่เหมิงไปซุ่มอยู่แล้ว แต่แรกที่ทางฝั่งของอูกู่เหมิงผิวปากให้ม้าที่ฮูหยินน้อยขี่วิ่งไปทางเขตแดนตี๋ จนภายหลังฮูหยินน้อยรู้สึกว่าผิดปกติจึงได้สังหารม้า ทว่าพวกของโม่เหยี่ยก็ล้วนไม่ยอมปรากฏตัวออกมา จนกระทั่งฮูหยินน้อยตกอยู่ในวงล้อม ยามนี้เองพวกเขาจึงได้ปรากฏตัวออกมา …หากนี่มิใช่การสร้างบุญคุณด้วยเจตนาร้ายแล้วจะเป็นสิ่งใดเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากครั้งแล้วครั้งเล่า บอกว่า “สิ่งที่ท่านอาพูดมานี้ข้าก็รู้ ทว่าแม้คนผู้นี้จะมีประสงค์ใดอื่น แต่ในสายตาของผู้คนแล้ว อย่างไรเขาก็ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ หากข้าไม่ตอบแทนเขาพอสมควร แล้วเรื่องแพร่ออกไปก็จะเกิดคำครหาว่าข้าไม่รู้จักคุณคน วันหน้าก็จะไม่เป็นผลดีต่อกวงเอ๋อร์ …เมื่อเขาปฏิเสธทั้งทองพันตำลึงและมุกหนึ่งหีบในวันนั้น ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ลำบากแล้ว เดิมทีคิดว่าหากเขาเอาเรื่องเจรจาสงบศึกทำนองนี้มาอ้างหน้า ข้าก็จะปฏิเสธและบอกกล่าวกับเขาให้ชัดเจนไปเสียเลยเป็นดี ปรากฏว่ายามนี้พูดไปพูดมาเขาก็ยืนกรานว่าเขาถือโอกาสช่วยไปพร้อมกันเท่านั้น ไม่ขอให้ตอบแทนใดๆ นี่กลับทำให้ไม่ว่าข้าต้องการจะเอ่ยสิ่งใด ก็จนปัญญาจะเอ่ยปากแล้ว เฮ่อ…”
เพียงเท่านี้นางเฮ่อก็คิดว่าเรื่องนี้ยุ่งยากลำบากแล้ว นี่ขนาดนางยังไม่ทันรู้เลยว่าเมื่อนับไปแล้วโม่เหยี่ยก็ยังเป็นหลานชายของเว่ยฉางอิ๋งด้วย!
แม้จะบอกว่าเขาไม่ประสงค์จะกลับเข้าสู่หมิงเพ่ยถัง เว่ยฉางอิ๋งก็เดาว่าเสิ่นเซวียนพ่อสามีของนางก็ไม่แน่ว่าจะยอมรับหลานชายคนนี้กลับไป จนใจเหลือที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข มิใช่บอกว่าจะไม่ยอมรับก็จะสามารถตัดขาดกันได้แล้ว …โดยเฉพาะ เสิ่นจั้งลี่พี่ชายสามีคนโต แม้จะไม่เอ่ยปาก ทว่าในใจจะต้องยังคงคอยคำนึงถึงสองแม่ลูกที่อยู่ในชิวตี๋นี้ไม่ลืมเลือนแน่
….ก็มิใช่ว่าในจวนราชครูยังมีเรือนซินอี๋ที่ทำให้นางหลิวคอยเป็นทุกข์ใจเสมอมาหรอกหรือ?
หากโม่เหยี่ยผู้นี้ไม่ได้มีความเกี่ยวพันใดกับตระกูลเสิ่น ความจริงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็จะไม่รู้สึกกลัดกลุ้มดังที่เป็นในยามนี้ ดีชั่วทองพันตำลึงมุกหนึ่งหีบก็ส่งไปแล้ว เมื่ออีกฝ่ายไม่รับ ก็ไม่อาจโทษนางได้ว่าไม่รู้จักคุณคน อย่างมากอีกสักสองสามวันก็ค่อยเพิ่มทองคำกับมุกและส่งไปอีกสักสองครั้ง หากโม่เหยี่ยรับไว้ได้เป็นดีที่สุด แต่ถ้าไม่รับ ไม่ว่าอย่างไรเว่ยฉางอิ๋งก็ตอบแทนเขาไปแล้ว
ปัญหาก็คือเขากลับเป็นบุตรชายของเสิ่นจั้งลี่ ฟังจากคำที่เขาบอกกล่าวกับ เสิ่นจั้งเฟิงแล้ว คล้ายว่าเสิ่นจั้งลี่จะติดค้างพวกเขาแม่ลูกมากมายนัก …หากให้เสิ่นจั้งลี่รู้ว่าตนเองรู้เรื่องชาติกำเนิดของโม่เหยี่ยแล้ว กลับยังคงปฏิบัติกับเขาเหมือนเป็นคนนอก ไม่แน่ว่านางอาจจะไปล่วงเกินเสิ่นจั้งลี่เข้าอีกก็เป็นได้
เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่ถึงกับเกรงกลัวพี่ชายสามีผู้นี้อันใดหนักหนา ทว่าถึงยามนั้นขึ้นมา เสิ่นจั้งเฟิงก็จะต้องวางตัวลำบาก ไม่ว่าอย่างไรเขาและเสิ่นจั้งลี่ก็เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน
ดังนั้นแล้ว ในเวลานี้ ทางหนึ่งเว่ยฉางอิ๋งก็ส่งคนไปคอยสอบถามเรื่องเสื้อผ้าการอยู่การกินของโม่เหยี่ยที่ศาลาพักม้าอยู่เรื่อยๆ ส่วนอีกทางหนึ่งก็กลัดกลุ้มว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี? เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมานางจึงเอ่ยถามอีกว่า “มีข่าวมาจากทาง เมืองหลวงหรือไม่?”
ว่ากันตามจริงแล้ว จะปฏิบัติกับโม่เหยี่ยผู้นี้เช่นใด ก็ยังต้องดูความต้องการของเสิ่นเซวียนและเสิ่นจั้งลี่สองคนนี้ก่อน หากทางนั้นตัดสินใจอย่างใดมาแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงจะรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรให้พอเหมาะพอควร
“ยังไม่มีเจ้าค่ะ” นางเฮ่อเห็นนางกลัดกลุ้ม จึงปลอบโยนไปว่า “ดีชั่ว ยามนี้ คุณชายก็อยู่ เรื่องใหญ่ๆ ล้วนเป็นคุณชายตัดสินใจ ฮูหยินน้อยเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในเรือนหลัง สิ่งที่สามารถอำนวยความสะดวกให้โม่เหยี่ยนั่นได้ นอกจากเสื้อผ้าการกินอยู่แล้ว ยังจะทำสิ่งใดได้เล่าเจ้าคะ? เรื่องเหล่านี้พวกเราล้วนกำลังทำอยู่ เรื่องอื่นฮูหยินน้อยก็จัดการอันใดไม่ได้แล้ว ที่ทำได้ก็ทำแล้ว ผู้ใดยังจะมาต่อว่าว่าฮูหยินน้อยไม่รู้คุณคนได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจคราวหนึ่ง บอกว่า “อย่างไรก็ดี หากทางเมืองหลวงมีข่าวมา ก็ต้องรีบมาแจ้งให้ข้ารู้เป็นพอ”
เมื่อนับวันเวลาดู ข่าวจากทางเมืองหลวงก็ควรจะกลับมาแล้ว แต่จนยามนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา …เว่ยฉางอิ๋งอดจะเป็นห่วงไม่ได้ว่าทางตระกูลเสิ่นจะเกิดถกเถียงกันขึ้นมาด้วยเรื่องของโม่เหยี่ยหรือไม่?
เสิ่นจั้งลี่จะต้องช่วยบุตรชายนอกสมรสผู้นี้แน่นอน แต่ทางฝั่งของเสิ่นเซวียนนั้นกลับไม่แน่ ส่วนฮูหยินซูและนางหลิว…. ต่างคนต่างมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง หากถกเถียงกันขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าก็แน่นอนว่าไม่ว่าพวกเขาจะถกเถียงกันอย่างไร สรุปก็คือในเมื่อรู้ว่าโม่เหยี่ยรออยู่ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยแห่งนี้ อย่างไรก็ต้องมีคำตอบตอบกลับมา สิ่งที่เว่ยฉางอิ๋งเป็นห่วงกลับคือทางนั้นถกเถียงกันไปมาแต่กลับไม่ได้ความเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แล้วจากนั้นเสิ่นจั้งลี่และเสิ่นเซวียนก็มีจดหมายกันมาคนละฉบับซึ่งมีความเห็นที่ต่างกัน …ไม่ก็เป็นฮูหยินซู หรือไม่ก็นางหลิว….
โดยสรุปก็คือ เมื่อเทียบกับการที่โม่เหยี่ยเป็นชาวตี๋แล้ว ประเด็นว่าเขาเป็นสายเลือดของตระกูลเสิ่นต่างหากจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนปวดเศียรเวียนเกล้า…ขุนนางยากตัดเรื่องในครอบครัว ที่สุดยามนี้เว่ยฉางอิ๋งก็ได้เรียนรู้สิ่งนี้แล้ว
ดีที่อีกสองวันต่อมาทางเมืองหลวงก็มีจดหมายมาแล้ว และได้รับเพียงฉบับเดียว ซึ่งไม่ใช่จดหมายที่เสิ่นจั้งลี่เป็นคนเขียน แต่เป็นลายมือของเสิ่นเซวียน จดหมายมาถึงมือของเสิ่นจั้งเฟิงก่อน เมื่อเขาอ่านจบแล้วก็นำมาให้เว่ยฉางอิ๋งที่โถงทางด้านหลัง …เว่ยฉางอิ๋งรีบกวาดตามอง เห็นว่าที่แท้แล้วเสิ่นเซวียนกลับมิได้ให้ความสำคัญใดๆ ต่อโม่เหยี่ยแม้แต่น้อย เพียงเขียนถึงอย่างผ่านๆ ว่าเขารู้เรื่องนี้แล้ว จากนั้นล้วนเป็นประเด็นหลักๆ ทั้งการวิเคราะห์เรื่องสถานการณ์ในซีเหลียงของเขาและที่ปรึกษา ข้อเสนอแนะบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่ชิวตี๋แยกเป็นสองฝักฝ่าย การหว่านล้อมคนในตระกูลเพื่อให้ได้อำนาจทั้งหมดของหมิงเพ่ยถังมา …เมื่อเอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้หมดแล้ว จากนั้นจึงเป็นเรื่องราวสำคัญต่างๆ ในบ้าน
เรื่องแรกที่ถูกเอ่ยถึงก็คือเรื่องของหลานชายแท้ๆ เสิ่นซูกวง เสิ่นเซวียนใช้น้ำเสียงที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก บรรยายว่าเวลานี้เสิ่นซูกวงเดินได้อย่างมั่นคงดีแล้ว ด้วยเป็นเด็กผู้ชาย พอเดินได้แล้วก็เริ่มไม่อยู่สุข …หลายวันก่อน เสิ่นเซวียนอุ้มเขาไปในห้องหนังสือที่เรือนหน้า พอดีว่ามีที่ปรึกษามารายงานธุระ เสิ่นเซวียนจึงปล่อยเขาเอาไว้บนระเบียงทางเดิน แล้วกำชับพวกบ่าวให้ดูแลให้ดี ส่วนตนเองก็พาที่ปรึกษาเข้าไปสนทนากันในห้องหนังสือ
ไม่คิดว่าผ่านไปเพียงไม่นาน บ่าวที่อยู่ข้างนอกก็ไม่อาจไม่เข้ามาขัดจังหวะได้ และบอกว่าคุณชายหลานรองอยากเข้ามาในห้องหนังสือ
เพราะตอนนั้นไม่ได้สนทนาการใหญ่โตอันใด เสิ่นเซวียนจึงบอกไปคำหนึ่งว่า “ให้เขาเข้ามาเป็นพอ”
ทว่าจวบจนเสิ่นเซวียนสนทนากับที่ปรึกษาเสร็จแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของหลานชาย เขาก็ยังนึกว่าเด็กเล็กๆ เปลี่ยนใจเร็วนัก เพิ่งอยากจะเข้ามาหาปู่ในห้องหนังสือ แต่พอหันหน้าไปก็ถูกสิ่งของอื่นๆ ดึงดูดความสนใจไป จึงไม่ยอมเข้ามาเสียแล้ว
ทว่าตอนที่ไปส่งที่ปรึกษาได้สองสามก้าว ก็เห็นหลานน้อยที่ตัวโตอยู่ที่ข้างธรณีประตูห้องหนังสือ …ในฤดูร้อน เสิ่นซูกวงไม่ได้สวมเสื้อผ้ามากนัก แต่ท่านย่าของเขาเลี้ยงเขาจนอ้วนท้วนเหมือนเป็นก้อนเนื้อกลมๆ น่ารักยิ่งนัก เขากำลังเกาะอยู่ที่ธรณีประตูที่เตี้ยกว่าตัวเขาไม่เท่าใดด้วยท่าทีทุลักทุเล เหมือนกับกำลังปีนกำแพงอยู่เช่นนั้น… คนข้างๆ เห็นว่า เสิ่นเซวียนมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาจึงรีบเข้าไปรายงานความจริงว่า เดิมทีเสิ่นซูกวง อยากจะเข้าไปในห้องหาท่านปู่ในห้องหนังสือ แต่เขาไม่อยากให้คนอุ้มเข้าไป จะต้องเดินไปเองให้จงได้ …ครั้นแล้วเพราะยังตัวเล็กอยู่จึงวิ่งไปบนระเบียงทางเดินที่เป็นพื้นเรียบ แล้วหัวก็ไปชนกับธรณีประตูเข้าอย่างจัง และนิ่งเหม่อไปในทันใด…
พวกบ่าวอยากเข้าไปอุ้มเขาเข้าไปก็ล้วนถูกเขาปฏิเสธท่าเดียว จึงทำได้เพียงพากันล้อมดูคุณชายหลานรองพยายามปีนข้ามธรณีประตู…
เสิ่นซูกวงที่น่าสงสารกลับพยายามปีนข้ามอยู่จนท่านปู่ออกมาก็ยังไม่สำเร็จ สุดท้ายเห็นท่านปู่ก็จะเข้ามาอุ้มตนเองอีกคนจึงได้ร้องให้ขึ้นมา นอกจากจะทำให้เสิ่นเซวียนไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีแล้ว เขายังไม่ทันร้องไห้เสร็จ สุดท้ายเสิ่นเซวียนจึงทำได้เพียงอุ้มเขาไปปลอบข้างๆ แล้วแอบเรียกให้คนไปสกัดธรณีนั้นออกส่วนหนึ่ง เพื่อให้ เสิ่นซูกวงปีนข้ามไปได้สักสองสามครั้ง จึงสามารถปลอบเจ้านายน้อยผู้นี้ให้หยุดร้องไห้และยิ้มออกมาได้…
เรื่องนี้ทำเอาเสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งอ่านแล้วก็อดจะยกมุมปากขึ้นยิ้มไม่ได้ พลางนึกภาพที่บุตรชายกำลังปีนข้ามธรณีประตูอย่างยากลำบาก …สองสามีภรรยาจึงถามอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกันว่า “ตอนเจ้าเล็กๆ เคยทำเรื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“จะต้องเป็นเจ้าเคยทำแน่ ตอนข้าเล็กๆ ข้าเรียบร้อยยิ่งนัก!” เว่ยฉางอิ๋งเอ็ดสามีไปอย่างหน้าไม่อาย
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะจนเกือบหงายท้อง บอกว่า “เจ้าเรียบร้อย? เจ้าเป็นองค์ราชินีจอมดุร้าย เจ้าเคยเห็นองค์ราชาหรือเจ้าขุนเขาเรียบร้อยมาก่อนหรือไม่? หากบอกว่าเป็นน้องชายภรรยาข้าผู้นั้นยังจะใช่เสียมากกว่า?”
“นั่นก็ต้องเป็นเจ้าทำ ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นองค์ราชินีจอมดุร้าย แล้วยังกล้าเถียงอีก!” เว่ยฉางอิ๋งดุยิ้มๆ ไปคำหนึ่ง แล้วอ่านจดหมายต่อไป
แต่กลับพบว่าพอเสิ่นเซวียนเล่าเรื่องหลานชายจบแล้ว ก็เอ่ยถึงหลานสาวเสิ่นซูซี บอกว่าหลังจากเสิ่นจั้งฮุยกลับมาถึงเมืองหลวงแล้วก็คอยตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันดูแลนางอย่างเอาใจใส่พิถีพิถัน ทารกที่เดิมทีผู้คนต่างกลัวว่ายากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ผู้นี้ก็กลับค่อยๆ แข็งแรงขึ้นมา นอกจากจะทำให้คนทั้งบ้านโล่งใจไปกับนางแล้ว ก็ยังพากันยินดีอย่างยิ่งด่งบ
ทว่าเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น ก็ทำให้เสิ่นโจ้วปักใจเชื่อว่าเป็นเพราะเขาใช้ชื่อขอ ซีเหลียงซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมของตระกูลเสิ่นมาตั้งชื่อให้หลานสาวเป็นการปกป้องให้หลานสาวพ้นอันตราย เพื่อให้เสิ่นซูซีสามารถเติบโตขึ้นมาได้ด้วยดี เขาจึงตัดสินใจว่ารอจนเสิ่นซูซีโตอีกสักหน่อย อย่างมากที่สุดสองสามขวบก็จะส่งนางกลับซีเหลียง จนถึงช่วงอายุจะปักปิ่นค่อยรับนางกลับมาเมืองหลวง เพื่อป้องกันเรื่องไม่ให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิด
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ร้องเอ๊ะขึ้นมาคำหนึ่ง คิดในใจว่าเมื่อเป็นดังนี้ ตนเองก็ต้องตระเตรียมที่อยู่อาศัยให้แก่บ้านสี่จึงจะดี เรือนที่เสิ่นจั้งฮุยพักอยู่ก่อนนี้แม้จะนับว่ากว้างขวางแล้ว แต่ในเมื่อต้องให้เสิ่นซูซีหลานสาวที่มีร่างกายอ่อนแอมาพักอยู่ ก็ยังต้องไปเลือกหาเรือนที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์และมีอากาศอบอุ่นจึงจะดี ด้วยเหตุที่ตระกูลสายหลักเข้าไปเป็นขุนนาง เรือนในคฤหาสน์ดั้งเดิมทั้งหมดจึงไม่มีคนอาศัยอยู่มานานปีแล้ว หากจะให้คนมาอยู่ ก็ต้องเริ่มซ่อมแซมก่อนกว่าครึ่งปี จึงจะขจัดไปชื้นออกไป ไม่ให้เข้าไปในร่างกายได้
คงเพราะเสิ่นเซวียนจะเอ่ยเตือนสะใภ้ในประเด็นนี้จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้มาด้วย …ต่อจากนั้นก็เหลืออีกเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดแล้ว เขาจึงค่อยๆ เอ่ยถึงเรื่องข้อเรียกร้องที่โม่เหยี่ยนำคำสั่งของอาอีถ่าหูมา และเรื่องที่โม่เหยี่ยเป็นหลานชายของตระกูลเสิ่น …เพียงแต่เมื่ออ่านคำตอบของเสิ่นเซวียนจบแล้ว เว่ยฉางอิ๋งกลับหนักใจขึ้นมาทันใด พ่อสามีกลับบอกให้พวกเขาพิจารณาไปตามสถานการณ์
ไม่ผิด เป็นพวกเขา มิใช่ เสิ่นจั้งเฟิงเพียงคนเดียว แต่รวมเว่ยฉางอิ๋งอยู่ในนั้นด้วย
เสิ่นเซวียนเอ่ยไว้ดังนี้ว่า โม่เหยี่ยเป็นสายเลือดของเสิ่นจั้งลี่ ประเด็นนี้มิใช่มีเพียงเสิ่นจั้งลี่เท่านั้นที่แน่ใจ แม้แต่เขาเองก็ยืนยันได้ คำพูดนี้เท่ากับเป็นการตอบจดหมายของเสิ่นจั้งเฟิงที่ส่งเมืองหลวงว่าเขายืนยันในฐานะของโม่เหยี่ย จากนั้นเสิ่นเซวียนก็เอ่ยไปพอผ่านๆ คำหนึ่งว่า “เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการเอง หากเป็นเรื่องในบ้าน เจ้าก็สามารถหารือกับภรรยาและจัดการได้”
นี่นับว่าพ่อสามีต้องการทดสอบและหลบเลี่ยงปัญหาไปในเวลาเดียวกัน ทำเอารอยยิ้มและความเบิกบานใจจากเรื่องสนุกๆ ของบุตรชายตัวเล็กของสองสามีภรรยาจางหายไปในทันใด
“…” เว่ยฉางอิ๋งถือจดหมายจากที่บ้านไว้ในมือและนิ่งงันอยู่ครึ่งค่อนชั่วยาม เอ่ยถามสามีว่า “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
เสิ่นจั้งเฟิงเองก็รู้สึกปวดหัว เขากุมขมับ บอกว่า “ เรื่องสงบศึกนี้ข้าคิดเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าทางท่านพ่อและพี่ชายใหญ่จะว่าอย่างไร ข้าก็ล้วนจะทำไปตามที่ข้าตัดสิน เพียงแต่เรื่องในครอบครัวนี่…”
ตามความหมายในจดหมายของเสิ่นเซวียนก็คือให้มองเรื่องที่โม่เหยี่ยอยู่ในด่านเตี๋ยชุ่ยว่าเป็นสองเรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นเรื่องหลวง ให้เสิ่นจั้งเฟิงตัดสินใจเอง อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องส่วนตัว นับว่าเป็นเรื่องในครอบครัว ให้สองสามีภรรยาหารือกันเอง
เรื่องหลวงนั้น เสิ่นจั้งเฟิงกลับไม่คิดว่ายากเย็น เขาไม่ใช่คนที่จะให้เรื่องที่โม่เหยี่ยเป็นหลานชายของตน ทั้งยังเคยช่วยชีวิตภรรยาของตนมาเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเรื่องการงานของตน ที่ยากก็คือเรื่องส่วนตัว เพราะอย่างไรเสียเรื่องในอดีตของเสิ่นจั้งลี่นั้น แม้แต่ตัวเสิ่นจั้งเฟิงเองก็เพิ่งจะรู้ตอนที่โม่เหยี่ยเอ่ยออกมาเอง …เขายังรู้รายละเอียดไม่มากนัก
ยามนี้เสิ่นเซวียนไม่แม้จะเอ่ยถึงความคิดเห็นของเสิ่นจั้งลี่ซึ่งเป็นบิดาของเขาเลย แต่กลับเอ่ยเพียงผิวเผยว่าให้สองสามีภรรยาจัดการ …แล้วจะให้จัดการอย่างไรดีเล่า? หว่านล้อมให้เขากลับไปตระกูลเสิ่น หรือให้เขาตัดใจเรื่องจะกลับมาใช้แซ่เสิ่นเสีย? หรือว่าไม่สนใจไยดีเขาเสียเลย แล้วทำเหมือนไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น? หรือว่าชดเชยและปลอบโยนเขาไปสักหน่อย? หรือต้องถึงขั้นหว่านล้อมให้เขามาเป็นพวกและแฝงตัวอยู่ในชิวตี๋?
ทิศทางที่จะจัดการมีมากมายเกินไป จนไม่รู้ว่าทำเช่นใดจึงจะดี …ยิ่งไปกว่านั้น เว่ยฉางอิ๋งก็ยังติดค้างบุญคุณที่หลานชายคนนี้ช่วยชีวิตนางด้วย…
เว่ยฉางอิ๋งอดเอ่ยออกมาไม่ได้ว่า “มิเช่นนั้น พวกเราแอบเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งไปมอบให้แก่พี่ชายใหญ่ เพื่อถามความเห็นของพี่ชายใหญ่ดู?”
นั่นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของเสิ่นจั้งลี่เชียวนะ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องสอบถามความเห็นของเขาให้ชัดแจ้งกระมัง? ต่อให้ความเห็นของเขาไม่อาจนำมาใช้ได้ แต่เมื่อรู้ว่าเขาคิดเห็นเช่นใด ภายหลังก็จะอธิบายได้สักหน่อยกระมัง? มาตัดสินแทนเขาโดยไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้ ภายหลังหากเสิ่นจั้งลี่เอาเรื่องเอาราวขึ้นมาแล้วจะว่าอย่างไร? ผลักภาระไปให้เสิ่นเซวียนหรือ?
เสิ่นเซวียนเองก็บอกแต่เพียงให้พวกเขาพิจารณาไปตามสถานการณ์ ก็ไม่ได้บอกว่าคิดเห็นเช่นใดนี่! แล้วจะให้สองสามีภรรยาทำอย่างไรจึงจะดี?
เสิ่นจั้งเฟิงลูบคางนิ่งคิดพักใหญ่ แล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “ไม่ต้องเขียนแล้ว พวกเรารออีกสองวัน …ข้าเดาว่าแม้ในจดหมายของท่านพ่อจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เกรงว่าจดหมายของพี่ชายใหญ่จะต้องตามมาแน่!”