ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 69 ม่านซา

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เป็นดังคำที่เสิ่นจั้งเฟิงว่าไว้ไม่ผิด วันรุ่งขึ้นก็มีคนนำจดหมายของเสิ่นจั้งลี่มาส่งให้เป็นการส่วนตัว …ในจดหมายย่อมร้องขอด้วยถ้อยคำจากใจจริงว่าให้เสิ่นจั้งเฟิงเห็นแก่ที่เป็นสายเลือดเดียวกัน และให้ช่วยโม่เหยี่ยสักครั้ง ตนเองขอร้องน้องชายในฐานะพี่ชายว่าจะต้องปราณีเขาต่างๆ นานา

เพราะเป็นจดหมายจากที่บ้านเว่ยฉางอิ๋งจึงขยับเข้ามาอ่านอยู่ข้างๆ ด้วยจนจบ แล้วถามสามีว่า “เจ้าคิดว่าเช่นไร?”

“ในระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งนี้ พวกเราล้วนไม่ต้องใช้กำลังทหารกับชิวตี๋ หากเอาแต่นั่งดูอูกู่เหมิงเข้าโจมตีอาอีถ่าหู แล้วรวบชิวตี๋เป็นหนึ่ง นี่ย่อมไม่ได้การ” เสิ่นจั้งเฟิงเก็บจดหมายแล้วยิ้มบางๆ บอกว่า “เจรจาสงบศึก …ต่อให้อาอีถ่าหูไม่ส่งโม่เหยี่ยมา ความจริงข้าเองก็คิดจะส่งคนไปหาเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อาจยอมรับข้อเสนอของเขาทั้งเช่นนี้เท่านั้น”

เว่ยฉางอิ๋งเม้มปาก กล่าวว่า “เรื่องกิจหลวงเหล่านี้ข้าจะไม่ถาม เพียงแต่เจ้าคิดว่าจะทำเช่นใดกับโม่เหยี่ยผู้นี้เล่า?”

“เรื่องที่เขาเป็นเลือดเนื้อแท้ๆ ของพี่ชายใหญ่นี้ไม่อาจให้แพร่งพรายออกไปได้ นั่นเพราะเขาเองก็ไม่ประสงค์จะกลับไปที่ตระกูลเสิ่น และท่านพ่อของเราก็ไม่ได้บอกว่าจะยอมรับเขา อย่างไรก็ปิดทั้งสองฝ่ายเอาไว้เสียเลยดีกว่า” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “อย่างไรก็เป็นหลานชายแท้ๆ ของเรา แม้ฉากหน้าไม่อาจยอมรับเขา ทว่าก็กลับให้ผลประโยชน์แก่เขาได้สักเล็กน้อย”

“เจ้าหมายถึง?” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยเสียงหนัก

“ไม่ว่าอ่างไรเขาก็เคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ บุญคุณนี้อย่างไรก็รีบทดแทนไปในเร็ววันเสียพวกเราจะได้วางใจ” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มพลางว่า “ก่อนนี้เจ้ารวบรวมทองคำพันตำลึงและมุกหนึ่งหีบเขาล้วนไม่ยอมรับ ดังนี้แล้วคิดว่าต่อให้เพิ่มเงินทองให้เขาอีก เขาก็ย่อมไม่ต้องการเป็นแน่ แต่ยามนี้เสบียงของอาอีถ่าหูร่อยหรอลงไปมาก ไยเจ้าไม่เปลี่ยนทองคำพันชั่งมุกหนึ่งหีบเป็นสิ่งของที่พวกตี๋จำเป็นต้องใช้ในฤดูหนาว? ถึงยามนั้นแม้โม่เหยี่ยจะไม่ยอมรับ แต่พวกพ้องของเขาก็คงมิใช่จะวางท่าสูงส่งดังนี้ไปเสียทุกคน”

เว่ยฉางอิ๋งเข้าใจความหมายของเขา และแอบชื่นชมอยู่ในใจว่านี่เป็นความคิดที่ดี “เสบียงและสิ่งของต่างๆ ในจำนวนเท่านั้น ลำพังพวกเขาไม่กี่คนคงไม่พอจะส่งกลับไปในเผ่าได้หรอก ยังต้องให้เจ้าส่งคนกลุ่มหนึ่งช่วยส่งไปให้เขาจึงจะได้ …ต้องเลือกคนที่พูดจาคล่องแคล่วสักหน่อยกระมัง?”

เสิ่นจั้งเฟิงหันหน้ามาจูบที่แก้มนางพลางยิ้ม “อิ๋งเอ๋อร์ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่จริงๆ …สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่พูดจาคล่องแคล่ว หากแต่เป็นเข้าใจภาษาตี๋ต่างหาก!”

ทหารม้าฝีมือฉกาจที่รู้ภาษาตี๋ถูกคัดเลือกออกมาช่วยขบวนของโม่เหยี่ยนำเสบียงไปที่เผ่า …และเป็นดังที่เสิ่นจั้งเฟิงคาดไว้ ทองและมุขที่ให้ไปก่อนหน้านี้ แม้จะบอกว่ามีบางคนในพวกตี๋อยากจะรับเอาไว้ แต่โม่เหยี่ยก็กล่อมพวกเขาว่าหากเก็บบุญคุณนี้เอาไว้ก็จะสามารถได้ผลประโยชน์ที่ดีกว่านี้ แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นเสบียงและสิ่งของที่เอาไว้ใช้ในฤดูหนาว ชาวตี๋ทุกคนก็พากันตาลุก โม่เหยี่ยเพิ่งจะนิ่งคิด คนเหล่านี้ก็แทบจะชักดาบออกมาบีบให้เขารับปากเสียเดี๋ยวนั้น!

สาเหตุสำคัญที่สุดที่อาอีถ่าหูเป็นฝ่ายส่งทูตมาขอเจรจาสงบศึกก็คือเขาพ่ายแพ้ไปหลายคราและสูญเสียเสบียงไปมากจนจะส่งผลกระทบต่อเผ่าของเขา ทำให้การใช้ชีวิตในฤดูหนาวล้วนกลายเป็นปัญหา คนที่ไม่เคยประสบกับอากาศหนาวเหน็บในที่ราบทุ่งหญ้า ล้วนไม่มีวันเข้าใจความสิ้นหวังเช่นนี้ …ไม่ว่าจะเป็นวัวเป็นแพะหรือว่าเป็นคน ท่ามกลางพายุหิมะที่ส่งเสียงหวีดหวิวนั้น ชีวิตที่เป็นๆ อยู่ต้องค่อยๆ ตายลงอย่างไร้ซุ่มเสียงไปทีละชีวิต กระทั้งคนทั้งครอบครัวกอดกันเพื่อให้ได้ไออุ่น แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งบ้านกลับต้องแข็งตาย ล้วนคือตัวอย่างที่เคยพบเห็นแต่ไรมา…

หากมิใช่คนที่อาศัยอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้า ย่อมไม่มีวันเข้าใจความลำบากและเจ็บปวดรวดร้าวนี้

ก็เหมือนกับที่เสิ่นจั้งเฟิงเคยพูดกับโม่เหยี่ยก่อนนี้ว่า ปีก่อนๆ พวกเขายังสามารถเข้ามารุกรานชาวเว่ยเมื่อเขาขาดเหลือเสบียง ทว่าปีนี้…ชาวเว่ยมีชัยใหญ่หลวง กองทัพเจริญรุ่งโรจน์ ต่อให้เป็นชาวตี๋ที่โง่เง่าอีกสักเท่าใดก็รู้ว่าในช่วงเวลาเช่นนี้ ชาวเว่ยไม่ตามไล่ล่าสังหารพวกเขาต่อไปก็นับว่าไม่เลวแล้ว หากยังคิดจะมารุกรานชาวเว่ยอีก ยังไม่สู้หันมาสู้ตายกับอูกู่เหมิงยังจะมีหวังมีชีวิตรอดมากกว่า

โม่เหยี่ยปฏิเสธทองคำและไข่มุก ก็ยังพอมีเหตุผลไปกล่อมพวกพ้องอยู่ นั่นเพราะไม่ว่าจะเป็นทองคำก็ดี ไข่มุกก็ช่าง ต่อให้ล้ำค่าอีกเพียงใดแต่ก็กินไม่ได้ ยามนี้เอาสิ่งของพวกนี้ไปแลกเป็นเสบียงที่มีราคาเท่ากัน กลับเป็นการเตือนสติพวกตี๋ว่า …ทองคำและไข่มุกไม่สามารถเอามากินได้ แต่ก็สามารถเอาไปซื้อของที่กินได้ดื่มได้จากพวกเว่ยนี่!

ทว่าก่อนนี้ ชาวตี๋ถูกกองทัพเว่ยไล่สังหารไปพันลี้ ข่านก็ถูกบั่นหัวส่งมาแสดงชัยชนะที่ดินแดนเว่ยแล้ว ของมีค่าของพวกเขาก็ยิ่งถูกเก็บกวาดไปจนเกลี้ยง …หากยังไม่ยอมรับสินน้ำใจแทนคำขอบคุณชิ้นนี้ของเว่ยฉางอิ๋งแล้ว แล้วพวกเขาจะไปหาของจากที่ใดมาให้เผ่าของอาอีถ่าหูได้ใช้สอยเพียงพอในฤดูหนาว? ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเสบียงที่ตระเตรียมเอาไว้สู้รับกับอูกู่เหมิงอีกครั้งเลย!

ในสถานการณ์เช่นนี้ โม่เหยี่ยจึงทำได้เพียงเห็นด้วยว่าให้เว่ยฉางอิ๋ง ใช้เสบียงเหล่านี้เป็นการตอบแทบบุญคุณที่ช่วยชีวิตนางแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธเคืองยิ่งกว่าก็คือ หลังจากเหล่าทหารเว่ยที่โดยนามนั้นมาอารักษ์ขาขบวนของเขาส่งเสบียงมาถึงเผ่าของอาอีถ่าหูแล้ว เมื่อเข้ามาในเขตตั้งกระโจม ก็เริ่มป่าวประกาศคุณงามความดีของโม่เหยี่ยกับชาวตี๋ที่ออกมาต้อนรับทักทายว่า “หากมิได้โม่เหยี่ยซึ่งเป็นทหารหาญของเผ่าท่านมาช่วยชีวิตฮูหยินน้อยของเราแล้ว ด่านเตี๋ยชุ่ยของเราก็จะไม่ทางมอบเสบียงจำนวนนี้มาให้! พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าเสบียงจำนวนนี้มีค่าเท่าใด? เท่ากับทองคำหนึ่งพันตำลึงและไข่มุกจากทะเลใต้ที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือหนึ่งหีบเต็มๆ เชียวนะ…”

“ครานี้โม่เหยี่ยช่วยชีวิตฮูหยินน้อยของเราเอาไว้ ฐานะของฮูหยินน้อยของเราสูงส่งเพียงใด? เสบียงจำนวนนี้ล้วนเป็นฮูหยินน้อยนำทรัพย์สินออกมาจากคลังด้วยตนเองเพื่อไปซื้อหามา หากมิใช่ฮูหยินน้อยออกปากและคุณชายของเราก็รักใคร่ฮูหยินน้อยมาแต่ไรแล้ว แม้แต่นายทหารรักษาการณ์ของด่านเตี๋ยชุ่ยก็ยังไม่มีหน้าตาพอจะทำเช่นนี้ได้เลย!”

“เมื่อได้ยินว่าเผ่าของท่านขาดแคลนเสบียง ซึ่งจะทำให้ใช้ชีวิตในฤดูหนาวอย่างยากแค้น แต่เมื่อมีโม่เหยี่ยอยู่ เผ่าของท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ แล้ว…”

“เผ่าของท่านช่างโชคดีจริงๆ ที่มีคนหล่อเหล่าและเก่งกาจเช่นโม่เหยี่ยอยู่…”

คนเหล่านี้คล้ายจะเอ่ยสรรเสริญโม่เหยี่ยมาตลอดทางไม่หยุดหย่อน ทัวลี่ว์เอ่อร์ฟังเสียจนเดือดดาลในใจ อดจะแค่นเสียงไปหนักๆ ไม่ได้ว่า “พวกเราก็ล้วนมีส่วนช่วยฮูหยินน้อยผู้นั้นด้วย! ไอ้พวกทหารเว่ยนี่น่าชังนัก กลับเอ่ยถึงแต่โม่เหยี่ย!”

“เจ้าจะไปเข้าใจอันใด?” ในขบวนที่ไปเจรจาสงบศึกที่ด่านเตี๋ยชุ่ย ชาวตี๋ที่แม้จะไม่ใช่หัวหน้าแต่กลับมีบารมีเหมือนหัวหน้ายิ่งกว่าโม่เหยี่ยผู้นั้นกลับยิ้มเงียบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาๆ ขัดคำระบายอารมณ์ของเขาไว้ บอกว่า “เวลานี้มิได้อยู่ที่ด่านเตี๋ยชุ่ย หากแต่กลับมาเผ่าแล้ว กระโจมอ๋องของท่านข่านก็อยู่เพียงตรงหน้าไม่ไกลนี้ ทหารเว่ยพวกนี้ล้วนไม่ได้เอ่ยถึงท่านข่านแม้สักครึ่งคำ กลับเอาแต่สรรเสริญไอ้เจ้าเลือดผสมนั่น พวกเจ้าว่าเมื่อท่านข่านได้ยินแล้วจะคิดเช่นใด?”

ทัวลี่ว์เอ่อร์ชะงัก จากนั้นจึงค่อยสำเหนียกขึ้นมา “ท่านข่านจะต้องไม่พอใจแน่! ไม่แน่ว่าอาจไม่ยกองค์หญิงม่านซาให้แต่งกับไอ้เลือดผสมโม่เหยี่ยนี้แล้วก็เป็นได้!”

“ท่านข่านจะแค่ไม่พอใจได้อย่างไร?” ชาวตี๋ผู้นั้นยิ้มหยันแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ท่านข่านพ่ายต่ออูกู่เหมิงติดต่อกันหลายครา ยามนี้กำลังไม่มีหน้าตา ปรากฏว่าโม่เหยี่ยกลับมีหน้ามีตาหนักหนา …จะว่าไปแล้วเขาก็เป็นคนในตระกูลอ๋อง แม้ว่าแม่ของเขาจะถูกท่านข่านผู้เฒ่าไล่ออกจากตระกูล ทว่าก็ยังมีสายเลือดของตระกูลอ๋องอยู่ดี …เขาเป็นหลานลุงแท้ๆ ของท่านข่านเชียว! ท่านข่านจะวางใจเขาได้อย่างไร?”

ทัวลี่ว์เอ่อร์มองไปยังโม่เหยี่ยที่อยู่ข้างหน้า และกำลังถูกห้อมล้อมสรรเสริญนานาอยู่ พลันแสยะยิ้ม “ดังนี้ดี! ดังนี้ดีแล้ว! องค์หญิงม่านซาเป็นคนงามเพียงนี้ ไอ้เลือดผสมนี่จะคู่ควรได้อย่างไร?!”

ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ ภายในกระโจมอ๋องเอง ผู้อาวุโสชาวตี๋ที่มีผมขาวหยิกยาวและนั่งอยู่ในที่นั่งหลัก ก็อาศัยจังหวะที่พวกเว่ยยังไม่ทันมาป่าวประกาศความเก่งกล้าสามารถของโม่เหยี่ยในที่ตั้งกระโจมของชาวตี๋ เอ่ยถามคนที่อยู่ซ้ายขวาว่า “ท่าทีที่พวกเว่ยตอบกลับมาครานี้ พวกเจ้าคิดเห็นเช่นใด?”

“นี่จะมีสิ่งใดให้ต้องคิด?”คนที่ตอบเขาเป็นคนแรก กลับมิใช่ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ในที่นั่งรอง และมิใช่หัวหน้าชนเผ่าต่างๆ ที่นั่งถัดไปจากเขา หากแต่เป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม สวมชุดแดงเพลิงไปทั้งตัวซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งที่ปูด้วยหนังหมีและอยู่ใกล้เขามากที่สุด นางสวมชุดชนสูงศักดิ์ของชาวตี๋ ผมยาวดำเป็นเงาถักเป็นเปียยาวสองข้างและทิ้งตัวลงมาอย่างเรียบร้อยอยู่ตรงหน้าอกนาง ข้างบนหัวสวมมงกุฎดอกไม้ที่ถักจากเส้นไยทองคำฝังอัญมณีหลากสี บนลำคอยาวระหงสวมสร้อยห่วงที่งดงามฝีมือละเอียดประณีต ที่ข้อมือและข้อเท้าล้วนสวมกำไลทองสามอันห้าอัน และบนกำไลก็มีกระพรวน ยามนางขยับก็จะคอยมีเสียงเสนาะหูดังออกมาตลอดเวลา

คนที่สามารถนั่งอยู่ในกระโจมอ๋องได้ในเวลานี้ นอกจากอาอีถ่าหูแล้ว ก็คือเหล่าบุตรชายที่สามารถเข้ารบได้แล้ว กับเหล่าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่า หญิงสาวผู้นี้ก็เป็นสตรีเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่ในที่นี่ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นที่นั่งของนางก็ยังอยู่ใกล้กับอาอีถ่าหูมากที่สุด มองแต่เพียงสีหน้าที่เป็นปกติของทุกคน ก็เห็นชัดว่าพวกเขาล้วนเคยชินมานานแล้ว และไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าที่นางเอ่ยปากมาดังนี้ไม่เป็นการสมควร กระทั่งมีคนถามไปคำหนึ่งด้วยว่า “องค์หญิงม่านซาต้องการจะเอ่ยสิ่งใด?”

“นี่เห็นชัดว่าพวกชาวเว่ยต้องการยุยงให้เราแตกคอกัน” ม่านซาเป็นสตรีแต่กลับได้รับความรักใคร่มากกว่าพี่น้องผู้ชายส่วนใหญ่ของนางเสียอีก ก่อนนี้ครั้งชาวเว่ยไล่สังหารพวกตี๋ไปพันลี้และกำลังระส่ำระสายหนีตายอยู่นั้น อาอีถ่าหูล้วนทิ้งทั้งมารดาของตนและภรรยาทุกคนเอาไว้ไม่ไยดี รวมทั้งทิ้งในบรรดาบุตรชายบุตรสาวและหลานๆ ที่ไม่เป็นที่รักหรือยังเล็กเกินไปด้วยเช่นกัน ในบรรดาบุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน ก็มีเพียงม่านซาที่อาอีถ่าหูคอยเอาไว้อยู่ข้างกายไม่ห่าง ปกป้องเป็นอย่างดี จึงทำให้มีชีวิตรอดมา และไม่ถูกชาวเว่ยกวาดต้อนไป องค์หญิงชิวตี๋ผู้นี้เป็นที่รักมากมายนัก แม้จะเป็นเพราะนางมีหน้าตางดงามกว่าผู้ใดทั้งยังร้องระบำเป็น จึงได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของชาวตี๋ ก็มิได้ทำให้อาอีถ่าหูรู้สึกว่าสำคัญอย่างใด แต่สาเหตุสำคัญกลับเป็นเพราะนางเก่งกาจสามารถ มีทั้งความกล้าหาญและสายตาที่ยาวไกลกว่าผู้ชายหลายคน

ต่อหน้าผู้อาวุโสและหัวหน้าชนเผ่าเต็มกระโจมในเวลานี้ ม่านซามิได้มีสีหน้าพอใจแต่อย่างใด นางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ยามนี้พวกเรามีเสบียงไม่พอ หากไม่มีเติมเข้ามา ฤดูหนาวในปีนี้อย่างน้อยก็ต้องสังหารปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้กว่าครึ่งหนึ่ง และแม้จะเป็นดังนี้ก็เกรงว่าจะยังมีคนเกือบครึ่งที่จะต้องแข็งตายและอดตาย หรือไม่ก็หนาวจนล้มเจ็บหนัก! ส่วนอูกู่เหมิงก็จะไม่มีวันปล่อยโอกาสทองเช่นนี้ไปเป็นแน่ เขาจะต้องฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีพวกเรา! ฉะนั้นหากไม่มีเสบียงเพียงพอ พวกเราจะทนอยู่จนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาเลย!”

ม่านซาเอ่ยถึงความยากลำบากตรงหน้าของเผ่าของอาอีถ่าหูออกมาตรงๆ เช่นนี้ ทุกคนก็ไม่รู้สึกว่าไม่ดีอันใด แม้แต่ตัวอาอีถ่าหูเองก็ยังทำได้เพียงถอนหายใจ

ม่านซาพูดต่อไปว่า “ฉะนั้นเมื่อโม่เหยี่ยเสนอว่าให้เจรจาสงบศึกกับชาวเว่ย และเมื่อท่านพ่อพิจารณาแล้วจึงตอบรับเขาไป เดิมทีนั้น ต่อให้เขาเจรจาสงบศึกไม่สำเร็จ ดีชั่วก็ยังสามารถใช้ช่วงเวลานี้ ที่พวกเว่ยหวังให้พวกเราสังหารกันเองจึงมิได้ส่งกำลังไล่ตามมาสังหารต่อชั่วขณะ ให้เขาพยายามหาเสบียงสักเล็กน้อยกลับมาช่วยให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้ ซึ่งประเด็นนี้พวกชาวเว่ยย่อมเข้าใจแจ่มแจ้งอยู่ในใจ! ทว่าพวกเขาเข้าใจก็ส่วนเข้าใจ แต่ก็กลับไม่อาจไม่ตอบตกลงได้ …นั่นเพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ต้องการเห็นอูกู่เหมิงรวบรวมชิวตี๋เป็นหนึ่งเดียว! แต่ชาวเว่ยเจ้าเล่ห์ แม้จะให้เสบียงมาก็กลับยังเป็นกังวลว่าพวกเราทางนี้จะเหิมเกริม แล้วกลับไปยึดครองฝั่งของอูกู่เหมิง! ฉะนั้นแม้พวกเขาจะให้เสบียงมา แต่ก็กลับแอบซ่อนแผนการร้ายเอาไว้! จึงได้ส่งพวกทหารเว่ยที่รู้ภาษาตี๋เหล่านี้มาช่วยส่งของ ที่บอกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้อูกู่เหมิงลอบโจมตี ก็เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงก็มิใช่ว่าเพื่อจะเข้ามาภายในเผ่าของเรา เพื่อจะได้มาสรรเสริญโม่เหยี่ยอย่างใหญ่หลวง?”

เมื่อทุกคนได้ฟังแล้ว คนส่วนมากก็ล้วนมีความเห็นดังนี้

เพียงแต่ก็มีคนที่ไม่เข้าใจ อย่างเช่นคู่ปู้เอ่อร์พี่ชายคนหนึ่งของม่านซา ที่ทั้งเก่งกล้าชำนาญการศึก แต่กลับไม่ชอบใช้สมองเป็นที่สุด เมื่อฟังคำนี้แล้ว ก็ลูบหัวไปมา ถามว่า “น้องหญิง แล้วที่พวกเขามาสรรเสริญโม่เหยี่ย เพราะคิดทำการใด?”

“จะยังทำการใดได้?” ม่านซาแค่นเสียงไปคำหนึ่ง นางรู้ว่าแม้พี่ชายต่างมารดาผู้นี้มิได้คิดไม่ถึงจริงๆ เพียงแต่เขาไม่ชอบคิด ยอมเอาแต่จ้องคนแล้วถามแล้วถามอีก แต่กลับไม่ยอมใช้สมองของตนเอง …ทว่าชาวเว่ยจะเข้ามาในกระโจมในทันใดแล้ว นางไม่อยากเสียเวลา จึงเอ่ยออกไปตรงๆ ว่า “ก็ต้องเป็นเพราะทางหนึ่งเป็นแรงหนุนให้พวกเรา เพื่อไม่ให้พวกเราถูกอูกู่เหมิงยึดครอง ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น ก็เพื่อวางหลุมพรางพวกเราและบอกพวกเราว่าต่อให้เอาชนะอูกู่เหมิงได้ ก็อย่าได้กำเริบเสิบสานนัก!”

คู่ปู้เอ่อร์กลับยังคงไม่เข้าใจ “น้องหญิงเจ้าจะพูดสิ่งใดกันแน่?”

“ด้วยเหตุที่มาบิดาของโม่เหยี่ยเป็นชาวเว่ย ฐานะภายในเผ่าของเขาจึงไม่สูงเสมอมา” ม่านซาขมวดคิ้วพลางว่า “ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อเสียงเรื่องบารมีของเขาด้วย! แต่ครานี้พวกเว่ยกลับอาศัยการนำเสบียงมาส่งช่วยสร้างบารมีและสร้างชื่อให้เขา! เสบียงที่ได้มาครานี้ช่วยชีวิตเผ่าเราเอาไว้ แล้วจะมิใช่โอกาสทองที่จะช่วยให้ ม่เหยี่ยหว่านล้อมจิตใจผู้คนได้หรอกหรือ? แล้วเขาก็ยังเป็นหลานตาของท่านปู่ แม้ท่านอาหญิงจะไม่นับว่าเป็นคนในตระกูลอ๋องมานานแล้ว แต่ในตัวเขาก็ยังคงมีสายเลือดของตระกูลอ๋องอยู่! ได้ทั้งบารมีได้ทั้งชื่อเสียง ผู้ใดจะแน่ใจได้ว่าเขาจะไม่เกิดความทะเยอทะยานขึ้นมา?”

“มันกล้ารึ! เห็นแก่ท่านอาหญิง พวกเราถึงได้ปล่อยให้มันโตมาได้จนยามนี้ก็ไม่เลวแล้ว กลับยังมาหมายปองตำแหน่งของท่านพ่อ! ผลผลิตของชาวเว่ยนี่มันเชื่อไม่ได้จริงๆ!” คู่ปู้เอ่อร์ลุกขึ้นมาทันใด มือทาบดาบที่เอว “ข้าจะไปฆ่ามัน!”