คนผู้นั้นสามารถควบคุมองครักษ์ลับของฮ่องเต้ไว้ในฝ่ามือ ทั้งยังวางแผนผูกเรื่องราวต่างๆ ไว้ทีละก้าวๆ ความยุ่งยากเบื้องหน้าในยามนี้สำหรับเขาผู้นั้นแล้วเปรียบเป็นอะไรได้เล่า
แต่ว่าคนผู้นี้เป็นใครกันแน่? วางแผนการต่างๆ เพื่อนางมากมาย แล้วจุดประสงค์ของเขาคือสิ่งใด?
ในใจของฉู่สวินหยางเต็มไปด้วยข้อกังหา แต่เมื่อคิดถึงแคว้นฉู่ที่ทำให้ทุกคนต่างก็หนักใจ นางก็ได้แต่รวบรวมสติแล้วถอยออกมาจากอ้อมกอดของเหยียนหลิงจวิน “เจ้าออกจากวังหลวงมาโดยพลการ ทางฝ่าบาทจะอธิบายว่าอย่างไร”
“อย่างไรครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก” เหยียนหลิงจวินหัวเราะ ไม่ได้รั้งรอให้นางพูดจบก็ขัดจังหวะขึ้น “พวกเราไปเถิด?”
ทางฝ่าบาทนั้นมีเฉินเกิงเหนียนรั้งอยู่ ขอเพียงแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของเขา คาดว่าเขาก็คงไม่มีเวลามาจู้จี้จุกจิก
ริมฝีปากของฉู่สวินหยางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มและพยักหน้า เหยียนหลิงจึงจูงมือนางเดินออกจากตรอกไป
———————
ความรู้สึกโถมทับอยู่บนร่างกายนั้นไม่คุ้นชิน ชายหนุ่มที่ซื่อหรงเอาตัวมาด้วยความรวดเร็วพร้อมกับจากมานั้น ระหว่างทางทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลย กระทั่งกลับมาถึงเรือนหลังเล็กที่ปลอดภัยแห่งนั้น
คมดาบในมือของคนแซ่ฟางนั้นลงมือไม่เบาเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต แต่บาดแผลบนหัวไหล่ของชายหนุ่มนั้นแทงทะลุกระดูกหัวไหล่ออกไป
ดวงตาของซื่อหรงแดงก่ำ ตลอดทางได้แต่กดบาดแผลของเขาเอาไว้ เมื่อเข้ามาในเรือน ไม่พูดอันใดพร้อมกับตรงเข้าไปหยิบยาสมานแผลเทลงบาดแผลของเขาเล็กน้อย จากนั้นดึงผ้าโปร่งคลุมหน้าของเขาออกมา นิ้วมือสั่นระริกของนางค่อยๆ ช่วยเขาปลดเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาออกไป
เป็นองครักษ์ลับมาเป็นเวลาหลายปี ตัวนางเองได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกมานับไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่เลือดสดๆ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง
ปลดอาภรณ์ออกไปแล้ว ปรากฏให้เห็นหัวไหล่ค่อนข้างผอมบางของชายหนุ่ม ที่นั่นมีปากแผลที่เลือดกำลังไหล ทั้งยังมองเห็นเศษของกระดูกที่เละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่ในนั้น
เพราะเสียเลือดมาก ชายหนุ่มที่อยู่ใต้แสงไฟนั้นสีหน้าจึงซีดขาวอย่างประหลาด ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง บนใบหน้ากลับไร้อารมณ์และความรู้สึก ปล่อยให้หญิงสาวทำความสะอาดแผลแทนเขา
มือของซื่อหรงสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา นางเพียรพยายามหลายครั้งที่จะทำให้ตนเองสงบลงเพื่อจะนำเอาเศษกระดูกที่ตกค้างอยู่ในเลือดและเนื้อของเขาออกมา ทว่าไม่ว่าจะบังคับตนเองอย่างไร มือของนางก็ยังสั่นไม่หยุด
ชายหนุ่มผู้นั้นรออยู่ครู่หนึ่งเห็นนางยังรั้งรอไม่ยอมลงมือ จึงหันกลับมาดูนางอีกครั้งพบว่าดวงตาของนางฉาบไปด้วยละอองน้ำ ความหวาดกลัวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าขณะที่มองบาดแผลของเขา ราวกับไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เขาลอบถอนหายใจ เขายกมือขึ้นจับปลายนิ้วที่สั่นระริกของนาง หยิบยาน้ำที่อยู่ในมือนางไป
“ข้าทำเอง” เขาสาดยาน้ำลงบนปากแผล กัดฟันแน่นจนเหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากและไหลลงมา
ซื่อหรงรีบใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเหงื่อให้เขา ในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้เอ่ยออกมาว่า “ทำไมต้องทำเช่นนี้? ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
กระบี่ของคนแซ่ฟางไม่ได้หมายเอาชีวิตของนาง คมกระบี่นี้หากแทงถูกร่างของนาง ก็ดีกว่าแทงถูกชายหนุ่มร่างผอมบางเช่นเขา
ใบหน้าของชายหนุ่มนอกจากอดทนกับความเจ็บปวด ทั้งยังบิดเบี้ยว นอกจากนั้นไม่มีความรู้สึกอื่นๆ อีก เขาสาดยาลงไป ใช้มือเดียวทำความสะอาดปากแผล กระทั่งทำความสะอาดเรียบร้อย จึงใช้ยาราดลงไปอีกครั้งเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ
เวลานี้ซื่อหรงได้รวบรวมความกล้าได้แล้ว จึงหยิบยาสมานแผลและผ้าพันแผลไปช่วยเขาพันแผลจนเรียบร้อย
ชายหนุ่มเห็นดวงตาของนางยังคงมีน้ำตาคลอ สายตาคู่นั้นแสดงถึงความยุ่งยากภายในใจ จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลุกขึ้นมาพูดว่า “เรื่องครั้งนี้เจ้าทำพลาด เขาไม่มีวันเชื่อใจเจ้าอีกแล้ว ฉวยโอกาสในยามนี้ที่ข้ายังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เจ้ารีบเก็บของแล้วจากไปเถอะ”
เขาลุกขึ้นแล้วสวมเสื้อตัวในเรียบร้อย
ซื่อหรงได้ฟังคำพูดนี้แล้ว แววตาปรากฏความหวาดกลัวพาดผ่าน ราวกับเพิ่งจะรับรู้ถึงสิ่งที่เขาพูด จึงโถมเข้าไปกอดเอวของเขาจากด้านหลัง
“ไม่” นาทีนั้นเองน้ำตาของนางไหลพรากลงมา “อย่าให้ข้าไป ข้ารู้ว่าท่านมีวิธีแก้ไขปัญหานี้ ท่านไม่เรียกให้ข้าอยู่ข้างกายท่าน เพียงเพราะไม่อยากทำให้ข้าเดือดร้อนไปด้วย ข้าไม่กลัว ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ขอร้องท่าน อย่าให้ข้าไปเลย”“ซินอี๋…” ชายหนุ่มหลับตาลงหายใจเข้าลึกๆ กำลังจะพูดต่อ ทว่ากลับน้ำเสียงสั่นสะท้านของหญิงสาวขัดขึ้น
“เรียกข้าว่าซื่อหรง” นางกล่าว น้ำเสียงน้ำแข็งกร้าวและเด็ดขาด
“ไฉนเจ้าต้องทำเช่นนี้?” น้ำเสียงที่ตอบนางของชายหนุ่มเพียงหนักแน่นและมั่นคงเท่านั้น “พูดอย่างไรพวกเขาก็เคยเป็นครอบครัวของเจ้า เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าหากติดตามข้าเดินเส้นทางสายนี้ผลสุดท้ายจะมีจุดจบอย่างไร หรือว่าต้องรอให้ถึงวันที่ต้องเจอกันบนปลายหอกคมดาบหรือไร?”
“ข้าไม่มีครอบครัวอีกแล้ว” น้ำเสียงของหญิงสาวเจ็บปวด เอ่ยเสียงดังขึ้นขัดเขาอีกครั้ง นางออกแรงรัดเอวของเขาเอาไว้ ราวกับต้องการฝังร่างของนางลงไปในเลือดเนื้อของเขาอย่างไรอย่างนั้น “นับตั้งแต่ท่านขุดข้าออกมาจากกองคนตาย ตั้งแต่ท่านแบกข้าออกมาจากสุสานที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ข้าได้ตัดสินใจเลือกท่านแล้ว ที่ที่มีท่านอยู่คือบ้านของข้า ส่วนคนอื่นนั้น พวกเขาจะอยู่หรือจะตายล้วนไม่เกี่ยวกับข้า”
ใบหน้าของนางแนบกับกระดูกสันหลังที่ไม่ได้กว้างและหนานักของเขา หยาดน้ำตาไหลพราก น้ำตาอุ่นร้อนของนางไหลลงบนเสื้อผ้าตัวบางของเขาจนผิวของเขาชุ่มไปหมด
“ที่นี่ ก็คือครอบครัวของข้า” ซื่อหรงกล่าว น้ำเสียงของนางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชั่วพริบตานางกลายเป็นเด็กสาวที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ซบหลังของเขาร้องไห้อย่างเป็นทุกข์
เช่นเดียวกับหลายปีก่อน ร่างผอมบางของเขา แบกร่างที่ผอมบางยิ่งกว่าของนางจากกองคนตาย คลานออกมา ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
มองไปทางไหนก็มีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรุนแรงที่ทำให้คนแทบอยากจะอาเจียน
ย่างก้าวของเขาไม่มั่นคง ถูกร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นทำให้สะดุดล้มลงแล้วยืนหยัดลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วจึงลากนางแบกขึ้นหลัง ใช้มือที่เปื้อนไปด้วยเลือดของใครบ้างก็ไม่รู้ลากนาง เดินไปข้างหน้าทีละก้าวๆ
แรกๆ นางร่ำไห้อย่างรุนแรง น้ำเสียงแหบแห้ง
แต่เมื่อซบอยู่บนแผ่นหลังผอมบางของเขา นางคล้ายจะค่อยๆ ลดความกดดันและความหวาดกลัวนั้นลง สุดท้ายนางกลับหลับใหลอยู่บนหลังของเขาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสุสานราวกับนรก
เวลานั้นเขาเป็นเพียงหนุ่มน้อยผู้อ่อนแอในวัยเพียงแปดขวบ ร่างกายและกระดูกของเขาบอบบางเสียจนลมพัดมาก็แทบจะล้มลงไปได้ แต่หลังอันบอบบางของเขากลายเป็นเปลใบใหม่สำหรับชีวิตใหม่ของนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุขสงบอย่างประหลาด
—————————————————-