ความรู้สึกแบบนั้นทำให้ชีวิตของนางในห้าปีนั้นที่มีเพียงผลประโยชน์ การแก่งแย่งชิงดี ไร้ซึ่งความสัมพันธ์ของญาติหรือความอบอุ่นของสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ที่นางไม่เคยได้รับมาก่อน มารดาผู้ให้กำเนิดใจดำ มารดาใหญ่โหดเหี้ยม แม้กระทั่งท่านย่าและพี่น้องแท้ๆ ก็ยังให้ร้ายป้ายสี มารดาผู้ให้กำเนิดรังเกียจที่นางเกิดมาเป็นบุตรี แต่ไหนแต่ไรมาปฏิบัติต่อนางอย่างไม่คิดเอาใจใส่ อายุยังน้อยนางเรียนรู้ที่จะสังเกตสีหน้าพิจารณาคำพูด ต้องเติบโตท่ามกลางสายตาเย็นชาราวกับเป็นคนไร้ซึ่งตัวตน แต่เมื่อวันที่เคราะห์หามยามร้ายมีภัยมาถึงครอบครัว นางกลับต้องถูกตีตราเข้าในผังสกุลครอบครัวร่วมกับผู้ที่เคยเสวยสุขอยู่ท่ามกลางหน้าตาเกียรติยศและความมั่นคั่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ให้ตายไปด้วยกัน
หลายครั้งที่นางคิดว่านี่คือชะตาชีวิตของนาง แต่นางยังมีชีวิตอยู่ ถูกเขาที่น่าสมเพชเวทนาดุจเดียวกันแบกออกมาจากกองซากศพ
ต่อมาในระยะเวลาสี่ปีเต็มๆ สงครามข้างนอกรบราต่อเนื่อง ในเรือนหลังเล็กๆ ของครอบครัวชาวนานั้น นางกลับมีชีวิตที่สงบและสุขสบายในชีวิตนี้
นางเคยคิดว่าพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่อย่างนั้นตลอดไป ทว่า…
วันนั้นเขาอุ้มนางนั่งอยู่บนรถม้าเตรียมออกจากเมืองไป นางหันกลับไปมองเปลวไฟที่ลุกท่วมสูงเสียดฟ้าตัวสั่นสะท้าน กระทั่งรุ่งเช้าวันนั้นได้ยินข่าวว่ากองทัพสกุลฉู่เข้าตีเมือง นางยังคิดว่านางต้องถูกทิ้งเป็นแน่ ได้แต่ยืนอยู่กลางลานบ้านอย่างสิ้นหวัง แต่ในขณะที่กำลังเคว้งคว้างนั้นเขากลับผลักประตูเข้ามา ลากมือของนางแล้ววิ่งไป
“ซินอี๋ไม่ต้องกลัว ข้าไม่มีวันทิ้งเจ้าหรอก” เขาใช้ร่างกายอันผอมบางของเขากอดนางเอาไว้ ปลอบนางเสียงต่ำ “ข้าไปถึงที่ใดก็จะเอาเจ้าไปด้วย เจ้าอย่าร้องไห้”
น้ำตาของนางคลอเอ่อออกจากเบ้าตา ส่งเสียงร่ำไห้ดังออกมา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ชีวิตของนางทั้งชีวิตนั้นถูกชายหนุ่มบอบบางผู้นี้ประคองด้วยมือทั้งคู่ของเขา ไม่มีเขา…
นางเป็นใคร?
‘ฉู่ซินอี๋’ คนชื่อนี้ ในเมื่อไม่ได้กลายเป็นฝุ่นผง ในใจของคนสกุลฉู่ที่มีเพียงการแย่งชิงดีและผลประโยชน์ได้ตายไปนานแล้ว ก็คงไม่มีใครได้รู้จักนางทั้งสิ้น
นางติดตามเขา ต่อให้ไร้บ้านเร่ร่อนนางก็รู้สึกว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
แต่เมื่อมาถึงวันหนึ่ง ตื่นเช้าขึ้นมานางตามหาเขาไม่พบแม้แต่เงา
ไม่มีวี่แววมาก่อนว่าเขาจะทิ้งนางไปเช่นนั้นเอง
นางในวัยเก้าขวบ ยืนอยู่บนถนนแปลกที่เพียงลำพัง กอดเงินจำนวนหนึ่งที่เขาเหลือเอาไว้ให้นางใช้ได้อย่างเพียงพอตลอดชีวิตเอาไว้ในอ้อมกอด แต่ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล หาอย่างไรก็หาไม่พบ ไม่มีอีกแล้วเงาของชายหนุ่มที่คอยเป็นที่พึ่งให้นาง ชายหนุ่มผู้เปิดแผ่นฟ้าต้านลมฝนให้กับนาง
เขาจะไม่พานางไปไหนด้วยกันอีกแล้ว นางในเวลานั้นไม่ใช่เด็กหญิงที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้อันใดอีกต่อไป นางรู้ว่าระหว่างที่นางสามารถมีชีวิตที่ดีมีความสุขนั้น ส่วนเขากลับต้องมีชีวิตที่ล้มเหลว
เขาเคยให้ความคุ้มครองแก่นางอย่างไร้ขอบเขต เป็นโลกทั้งใบของนาง แต่เขากลับไม่ใช่
ท่ามกลางความไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์ทั้งหมด นางรู้ว่าเขาไปที่ใด ดังนั้นนางจึงยอมทิ้งชีวิตที่สุขสงบและเงินทองกลับมาสู่แคว้นที่เป็นเสมือนนรกบนดินเพื่อตามหาเขา
หลังจากนั้นเจ็ดปี นางไม่รู้ว่าตนเองเดินออกมาจากการฝึกฝนที่เลือดเย็นโหดร้ายนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นคนล้มลง ทุกครั้งที่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะถูกเลือดสดๆ กระดูกขาวโพลนเหล่านั้นทำให้เป็นบ้า นางมักจะบอกกับตนเองเสมอว่าต้องยืนหยัดให้ได้ เจ้าจึงจะเข้าใกล้เขาอีกหนึ่งก้าว
ดังนั้นนางจึงสมปรารถนา เจ็ดปีให้หลัง ในที่สุดทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้งบนจุดสูงสุดของแคว้นนี้
แต่เป็นเพียงการเดินสวนทางกันเท่านั้น สายตาของเขาสงบนิ่ง แต่นางรู้…
ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ไม่ว่าหน้าตารูปโฉมของทั้งคู่จะเปลี่ยนไปเช่นไร เขายังคงจำนางได้ตั้งแต่แวบแรก
เช่นนี้…
ก็เพียงพอแล้ว
อย่างน้อย…นางรู้ว่าครั้งนั้นที่เขาทิ้งนางไปด้วยความจำเป็นไม่ใช่ไร้น้ำใจ
อย่างน้อย…นางรู้ว่าสิ่งที่นางทุ่มเทมาตลอดเส้นทางนั้นช่างคุ้มค่า
อย่างน้อย…นางรู้ว่ายังมีเขาอยู่ โลกใบนี้ของนางจึงจะไม่โดดเดี่ยวเดียวดาย สำหรับเขา…
ล้วนไม่สำคัญ
“ท่านเคยพูด ท่านจะไม่ทิ้งข้า” ซื่อหรงซบลงบนหลังของเขา น้ำตาเอ่อท้น ราวกับย้อนกลับไปเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสา
แม้จะรู้ว่าความอบอุ่นที่ปรารถนานั้นไกลเกินเอื้อม แต่นางยังคงหวาดกลัวการถูกทิ้งที่สุด
เพราะเคย…
ดวงตาของชายหนุ่มค่อยๆ หลับลง มือทั้งสองตกอยู่ข้างตัว ปรากฏให้เห็นปลายนิ้วที่ขาวราวกับหิมะ แม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะดิ้นรนก็ไม่มี ได้แต่ยืนอยู่อย่างสงบ
เวลานั้น เขาอยากจะพาเด็กหญิงที่ช่วยตัวเองไม่ได้ไว้ข้างกาย รักและเอ็นดูนาง ดูแลนาง มอบสิ่งที่นางสูญเสียไป เป็นโลกทั้งใบของนาง ทว่าชะตาฟ้ากลั่นแกล้งคน ทางเดินในใต้หล้านี้ใช่ว่าอยากเดินทางเส้นไหนใคร่จะทำได้ตามใจ
ยามนี้…
ใจของเขาเสมือนสายน้ำที่หยุดไหล
ไม่ตั้งตารอและต้องการสิ่งใดสำหรับอนาคต นาง และตนเองแล้ว ไม่เพียงแต่ให้อะไรนางไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น…
กลายเป็นภาระของนาง
ในช่วงหลายปีนี้ ทุกครั้งที่เห็นนางได้รับบาดเจ็บ ความพยายามตั้งแต่ต้นที่เหลืออยู่ในใจเขา เวลานี้กลายเป็นไร้กำลังแล้ว
ไม่ใช่มองข้าม แต่…
เขาเลือกสิ่งอื่นก็จำเป็นต้องผิดต่อนางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เจ้าไปเถอะ!” เขาหัวเราะอย่างขมขื่น และยกมือผลักผู้หญิงที่ซบหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวบนหลังเขาออกไปในทีเดียว แล้วใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
————————————————-