ร่างกายซื่อหรงแข็งทื่อ เขาผลักนางถอยหลังไปหนึ่งก้าว บนหน้ายังมีคราบน้ำตาอยู่ และมองเขาอย่างงุนงง
“ไป!” ชายหนุ่มหลับตาตวาดเสียงเย็น
เพียงคำเดียวอย่างเด็ดขาดและแข็งกร้าว
ราวกับ…
อยากจะทิ้งสิ่งที่เป็นภาระจนทนไม่ไหว
หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับนาง
ทั้งเย็นชาและเย็นเยียบ!
“ฐานะของเจ้าถูกเปิดเผยแล้ว ถ้ายังอยู่ข้างกายข้าต่อไปมีแต่จะตายด้วยกัน หากเจ้าไปซะตอนนี้ ด้วยฝีมือของเจ้าแล้วสามารถหลบหนีการตามล่าของคนพวกนั้นได้สบายมาก และ…เวลานี้ข้าคงล่มหัวจมท้ายไปกับเจ้าด้วยไม่ได้!” ชายหนุ่มเอ่ยคำพูดบาดใจหน้าตายอย่างเรียบเฉย เหมือนกับสายลมอันหนาวเหน็บพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วและแช่แข็งไปถึงกระดูก “สุดท้ายสิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงช่วยให้เจ้าได้มีเวลาหนีมากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น!”
ซื่อหรงยืนมองใบหน้าเพียงครึ่งเดียวที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าใต้เงาโคมไฟตรงนั้น ผ่านไปนานทีเดียวกว่านางจะหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นว่า “เจ้าจะให้ข้าไปที่ไหน?”
ชายหนุ่มหลับตาและนิ่งเงียบอย่างเฉยเมย
ซื่อหรงรีบก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเขาและลองดึงแขนเสื้อของเขาไว้ “นางเป็นญาติเพียงคนเดียวของเจ้า เจ้าจึงทอดทิ้งและไม่สนใจนางไม่ได้ งั้นข้าล่ะ?”
“ข้าไม่คิดจะพูดซ้ำเป็นรอบที่สอง!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็นชา แล้วเดินไปเปิดประตูห้อง
วิวทิวทัศน์ยามราตรีด้านนอกที่สว่างไสวนั้นช่างเงียบเหงาและหนาวเหน็บ
เขายืนหลังตรงและเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับไม่แม้แต่จะมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังเป็นครั้งสุดท้าย “เจ้าไปเถอะ ลืมทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตให้หมด ข้ารู้ดีว่าเจ้ากำลังรอคอยและต้องการอะไร แต่ชะตาลิขิตไว้แล้ว…ข้าให้สิ่งเหล่านั้นกับเจ้าไม่ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลารั้งรออยู่ข้างกายข้าตั้งนานแล้ว และสิ่งที่เจ้าทำเพื่อข้าตลอดหลายปีนี้ก็ตอบแทนบุญคุณที่ข้าเคยช่วยชีวิตเจ้าไว้ในตอนนั้นพอแล้ว หลังจากวันนี้ไป…เจ้ากับข้าต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง และไม่ว่าเจ้าจะกลับบ้านเกิดหรือจะไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าทั้งนั้นอีกแล้ว!”
“เจ้าว่าติดค้างบุญคุณหรือ?” ซื่อหรงได้ยินแล้วพลันฝืนยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด
เขาก็รู้ดีว่าความรู้สึกที่นางมีให้เขาลึกซึ้งมากกว่านั้นมาตลอด
ถึงจะหลอกตนเองตอนนี้ แต่นางก็ต้องยอมรับว่า…
เขาจะทิ้งนางจริงๆ และยังพยายามหักล้างทุกเหตุผลที่จะทำให้นางสามารถยืนอยู่ข้างกายเขาต่อไปได้อย่างสุดความสามารถ
ฝีเท้าของซื่อหรงหนักอึ้ง นางค่อยๆ ขยับเข้าไปหาเขาทีละก้าว ระยะทางแสนสั้นเพียงไม่กี่ก้าวนั้น นางเหมือนอยากจะเดินไปนานชั่วชีวิต โดยหวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจในอีกชั่วพริบตาและบอกนางสักคำว่า…
อยู่ต่อ!
ทว่าพวกเขาสองคนห่างเหินกันมานานมากแล้ว แม้จะอยู่ห่างกันเพียงก้าวเดียว แต่เขากลับคว้าข้อมือของนางไว้และสะบัดนางออกไปอย่างแรงเหมือนหมดความอดทนอย่างที่สุด
ร่างของนางกระเด็นเซออกไปข้างนอก แล้วประตูสองบานที่ไม่เก่านักทางด้านหลังก็ปิดเสียงดังปัง
ตอนนี้นางอยากจะหันกลับไปมากทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับเหมือนถูกอะไรบางอย่างบังคับให้นางเดินไม่หยุดแม้แต่นิดเดียว และยังคงค่อยๆ ก้าวไปทางประตูใหญ่อย่างมั่นคง
นางหันกลับไปไม่ได้…
เขาพูดถูก นางต้องไป ไม่งั้นทั้งสองคนมีแต่ตายกับตาย
เขากับนางต่างไม่กลัวความตาย ทว่า…
ความปรารถนาของเขายังไม่เป็นจริง และเขายังมีคนที่ต้องปกป้อง ดังนั้นเขายังตายไม่ได้!
ความจริงตอนที่อยู่ในห้องนั้นเมื่อครู่นางเกือบจะโพล่งออกไปขอให้เขาหยุดแล้ว แต่ว่า…
พูดไม่ออก!
นางไม่มีสิทธิไปขอร้องให้เขาละทิ้งหรือแทรกแซงเรื่องที่เขาจะทำ ตลอดหลายปีมานี้สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงคอยติดตามเขาเท่านั้น
นางเดินต่อไปอย่างเหม่อลอยและงุนงงพร้อมน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง
กลางคืนอากาศหนาวเย็น โลกใบนี้กว้างใหญ่เสียจนเหมือนไม่มีทางหาเส้นทางหวนกลับไปยังเบื้องหน้าของนางเจอแล้วจริงๆ
นางเลี้ยวออกจากตรอกแล้วก็เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดต่อไปอีกนานมาก จนกระทั่งเลี้ยวออกมาจากย่านชุมชนขนาดใหญ่นั้น ทว่าตอนที่เห็นถนนกว้างไกลสุดสายตาอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกหวาดกลัวก็ถาโถมเข้ามาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซื่อหรงยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าและนั่งลงร้องไห้โฮตรงทางแยกเหมือนเด็กไร้ที่พึ่งพิงในทันใด
ล้มลุกคลุกคลานมานานปี ถึงแม้จะต้องเร่ร่อนอย่างยากลำบาก ทว่าชะตาลิขิตแล้วว่านางต้องเดินต่อไปคนเดียว
เหตุการณ์ครั้งนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่นางแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มที่ถูกส่งไปตายในการฆ่าล้างตระกูลฉู่ครานั้นเสียอีก
เม็ดฝนมากมายโปรยปรายอยู่กลางอากาศโดยไม่รู้ตัว ราวกับเหล่าดอกไม้ที่ปลิวไปตามสายลมอย่างอิสระและร่วงหล่นอย่างไร้สุ้มเสียง
ทันใดนั้นร่างกายและจิตใจพลันรู้สึกหนาวเย็นเข้าไปถึงกระดูก
นางกอดไหล่ที่สั่นเทาไว้แน่น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีฝ่ามือหนาและอบอุ่นของผู้ชายคนหนึ่งลูบไหล่นาง
เหมือนโลกทั้งใบตกอยู่ในความว่างเปล่าในชั่วพริบตา
เสียงร้องไห้ด้วยความเศร้าของซื่อหรงขาดหายไปในทันใด จิตใจของนางสั่นไหว นางหันหน้าไปทีละนิดและค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
น้ำฝนพัดเข้าตาจนแสบตาเล็กน้อย
ทว่าพอเห็นใบหน้าของคนนั้นชัดเจน นัยน์ตาของนาง…
ก็มีแต่ความสิ้นหวังเท่านั้น!
ไม่ใช่เขา!
อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเขาไปได้!
ขณะที่เขาไล่นางออกจากบ้านนั้น นางก็รู้ว่าหากเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้วก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจอีกเด็ดขาด
ซูอี้ขมวดคิ้วแน่นและคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างนาง เขาก็น่าจะเปียกฝนอยู่นานมากแล้วเช่นกัน และยังคงเดินทางรอนแรมด้วยเสื้อผ้าของคนรับใช้ที่ขโมยมาจากในเมืองหมินวันนั้น
เขามองนางอยู่เงียบๆ ทว่าความรู้สึกมากมายที่ไม่ได้พูดออกมาฉายชัดอยู่ในดวงตา…
เสียใจ ผิดหวัง สับสน งุนงง และยิ่งไปกว่านั้น…
เหมือนจะเจือด้วยความเจ็บปวดด้วย
ซื่อหรงมองเขา คิดไม่ถึงว่าสายตาของผู้ชายคนนี้จะทำให้นางใจลอยอีกครั้ง ราวกับได้ย้อนกลับไปในโลกที่เต็มใจปกป้องคุ้มครองนางเมื่อหลายปีก่อนนั้นไปชั่วขณะ
แต่ว่า…
เวลานี้โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว คนที่อยู่ข้างกายนางตอนนี้ไม่ใช่คนนั้นอีกแล้ว
นางมองชายหนุ่มอย่างตกตะลึงอยู่นานมาก แล้วก็หลบตาอย่างเฉยเมย พลางลุกขึ้นยืนตัวตรงและเดินต่อไปอีก
พอนางจากไปแล้ว นิ้วมือของซูอี้ที่เดิมทีวางอยู่บนไหล่นางก็เหลือเพียงความว่างเปล่าตามไปด้วย
ฝนตกปรอยๆ รวมตัวเป็นหยดน้ำแวววาวตรงปลายนิ้วของเขาและร่วงหล่นลงสู่พื้นฝุ่นโคลน
เขาเม้มปากมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยวข้างหน้า แล้วลุกขึ้นยืนอย่างลังเลและเดินตามไปอีกอย่างเยือกเย็น
ตรงมุมถนนที่ไกลยิ่งกว่าทางด้านหลัง ใต้ร่มสีเทาคันใหญ่นั้นเหยียนหลิงจวินยกมือขึ้นมาลูบผมยาวสยายเต็มหลังของฉู่สวินหยางเบาๆ กล่าวว่า “อยากลองไปหาหรือไม่? พื้นที่แถวนี้ไม่กว้างนัก!”
แม้พื้นที่ทั้งหมดของตรอกแถวนี้จะไม่ใหญ่นัก แต่ว่าตรอกตัดสลับกันซับซ้อน หากจะหาคนสักคนที่นี่จริงๆ ก็ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร
ฉู่สวินหยางส่ายหน้า “ทั้งเมืองหลวงใช้กฎอัยการศึกแล้ว แสดงว่าฝ่าบาทเตรียมการไว้แต่แรก อีกอย่าง…”
นางเอ่ยพลางส่ายหน้าและฝืนยิ้มออกมาอย่างฉับพลัน “ในเมื่อเขาคิดจะหลบหน้าข้า ข้าจะหาตัวเขาเจอได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปาก เขาก้มลงแค่เพียงเล็กน้อยและมองนางอย่างอ่อนโยน
ฉู่สวินหยางค่อยๆ หันกลับไปจ้องหน้าและสบตาเขาอย่างแน่วแน่ ผ่านไปชั่วครู่นางก็ค่อยๆ เขย่งปลายเท้าจูบเขาเบาๆ ในทันใด
นิ้วมือของเหยียนหลิงจวินที่ถือร่มอยู่พลันแข็งทื่อในชั่วพริบตา
เหมือนฝนด้านนอกจะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เขาตัวสั่นเทิ้ม แต่กลับนิ่งไม่ขยับ และเพียงแค่จูบตอบนางไปอย่างแผ่วเบาตามสัญชาตญาณเท่านั้น
จุมพิตนี้ช่างละเอียดอ่อนและลึกซึ้ง
เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวถือร่มนิ่งไม่ขยับ
นางเขย่งปลายเท้าเล็กน้อยและเข้ามาใกล้ตรงหน้าเขา นอกจากริมฝีปากและลมหายใจของทั้งสองคนที่แนบชิดกันแล้วก็ไม่ได้สัมผัสร่างกายส่วนอื่นกันอีก
นานมากทีเดียวกว่าฉู่สวินหยางจะซบหน้าผากลงบนอกเขาแล้วหอบหายใจหนัก
เหยียนหลิงจวินยังคงยืนนิ่งเหมือนเดิม เขาแค่ปล่อยให้นางซบอย่างเงียบๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉู่สวินหยางถึงพูดอู้อี้บนอกเขาเสียงเบาว่า “รอกลับมาจากเมืองฉู่ครั้งนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า!”
เหยียนหลิงจวินได้ยินแล้วก็ค่อยๆ ยิ้มมุมปาก เขายกมือซ้ายที่ปล่อยทิ้งไว้ข้างตัวขึ้นมาสอดนิ้วมือเข้าไปในผมและกอดนางไว้ แล้วเปล่งเสียงนุ่มเพียงคำเดียวว่า “ได้!”
เขาไม่สนใจว่าต้องรอนานแค่ไหน เพียงแค่นางยอมเปิดใจแบ่งปันความลับกับเขาก็ทำให้เขารู้สึกดีใจได้ทั้งนั้น อย่างน้อยที่สุดนี่ก็พิสูจน์ว่านางเริ่มไว้ใจเขาและยอมให้เขาได้ใกล้ชิดเองแล้ว
“เมื่อครู่เกิดเรื่องวุ่นวายทางด้านนั้นไม่น้อย เจ้าก็อย่าเพิ่งกลับวังบูรพาเลย ข้าจะให้พวกเจี๋ยหงไปส่งเจ้าที่จวนของข้าก่อน ข้าต้องไปพบซูอี้สักหน่อย ลองดูว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไร” หลังจากปล่อยให้นางซบอยู่ครู่หนึ่ง เหยียนหลิงจวินก็เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมาอีก
ฉู่สวินหยางคิดแล้วก็พยักหน้า “ก็ได้!”
นางถอยห่างออกมาจากตรงหน้าเหยียนหลิงจวินหนึ่งก้าว ทันใดนั้นพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงมองไปตามทางที่ซูอี้กับผู้หญิงคนนั้นหายไปและเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “เจ้าเองย่อมรู้นิสัยของฝ่าบาทดี ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยผู้หญิงคนนั้นไปง่ายๆ หรอก และเวลานี้ซูอี้เองก็เหมือนเป็นหนังหน้าไฟ ดังนั้นต้องคิดหาวิธีที่เหนื่อยเพียงครั้งเดียวแต่สบายไปตลอดชาติ”
ฮ่องเต้เป็นคนที่ไม่อาจยอมรับการทรยศใดใดได้ทั้งนั้น ดังนั้นถึงแม้เรื่องของซูอี้จะยังมีทางรอด ทว่ามาถึงคราวของซื่อหรง…
นางต้องตายอย่างแน่นอน
——————————————————