‘จะเป็นอะไรไหมนะ?’

ท่ามกลางผู้คนที่ร้องครวญคราง อีริสมองไปด้านนอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล มองเห็นร่างของปีศาจและเหล่าอัศวินที่ประจันหน้าต่อสู้กับพวกมันผ่านกระจกที่แตกร้าว

ตอนที่อยู่ในหุบเขา นางยังรู้สึกว่าพวกเขาก็เป็นเพียงกลุ่มคนที่มีรูปร่างใหญ่ และดูแลตนอย่างดีเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นพวกเขาจับดาบเผชิญหน้ากับปีศาจ อีริสถึงได้รู้ว่านางได้อยู่ร่วมกับคนที่เยี่ยมยอดขนาดไหน

‘แน่ล่ะ…ในที่ที่ข้าอยู่ พวกเขาเป็นคนที่พบเห็นสักครั้งในชีวิตก็ยังยาก’

อีริสนึกถึงลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านที่ถือดาบพลางอาละวาดว่าตนจะเป็นอัศวิน แม้อีริสจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับดาบเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังรู้ว่าต่อให้ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านเกิดมาอีกพันครั้ง ก็ไม่มีทางเป็นอัศวินได้ อีริสเกาะหน้าต่างมองไปด้านนอกอย่างเหม่อลอย นางรู้แล้วว่าทำไมตนถึงได้อยากติดตามเหล่าอัศวินและราธบัน

‘เพราะไม่จำเป็นต้องกลัว’

นางไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวหากอยู่กับคนเหล่านั้น คิดๆ ดูแล้วกับแอสรันเองก็เช่นกัน ตอนแรกเคยคิดว่าตนจะกลัวเขา แต่เมื่อได้คอยอยู่ข้างเขาที่นอนหลับ นางก็เริ่มอยากให้เขาตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

อีริสมองเงาตนเอง

ด้านหลังนางมักจะมีความหวาดกลัวตามติดอยู่เสมอ ความหวาดกลัวที่ตามติดราวกับเงาตั้งแต่สมัยที่มายังดินแดนห่างไกลกับบุพการีตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยิ่งแจ่มชัดขึ้นหลังจากทั้งสองจากโลกนี้ไป ทุกครั้งที่นางต้องขึ้นเขาคนเดียว ทุกครั้งที่ลูกชายของหัวหน้าหมู่บ้านมองนาง ความหวาดกลัวที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อีริสไม่อาจนอนหลับลึกได้เลย

นางมองมือตนเอง ใครกันนะที่จับมือนางเป็นครั้งสุดท้าย? อา พ่อกับแม่นั่นเอง หลังจากพ่อจากโลกนี้ไป แม่ที่ล้มป่วยก็คว้ามือของอีริสไว้จนถึงลมหายใจสุดท้าย และร้องไห้

“อีริส เจ้า…เจ้า…พี่สาว…ที่วิหารหลวง…”

แม่กล่าวคำพูดสุดท้ายไม่จบ ขณะที่อีริสกำลังย้อนนึกถึงความทรงจำแสนเศร้าและมองมือตนเอง ประตูของหอประชุมก็เปิดออก

“ทุกคนหลบไป! ท่านอัศวินบาดเจ็บ!”

ได้ยินดังนั้น อีริสก็วิ่งไปด้วยความตกใจ เป็นใบหน้าที่นางรู้จัก อัศวินหนุ่มที่กล่าวขอบคุณหลังจากรับผลไม้ป่าที่นางยื่นให้ไปถือ บนหน้าอกของเขามีบาดแผลใหญ่ซึ่งถูกของมีคมบาดลึก

“ท่านอัศวิน!”

ชั่วขณะที่อีริสเข้าไปใกล้และวางมือบนแผลด้วยความตกใจนั่นเอง

ฮวาก!

ลมพัดแรงพร้อมกับที่พลังศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าครามมารวมตัวกันที่มือของอีริสอย่างรวดเร็ว แสงนั้นเข้าโอบล้อมร่างของอัศวินทันที บาดแผลของอัศวินเริ่มสมานกันอย่างรวดเร็ว

“แผลดีขึ้นแล้ว…”

“พลังศักดิ์สิทธิ์!”

ใบหน้าของอีริสพลันซีดขาวเมื่อได้ยินถ้อยคำของชาวบ้าน พลังที่นางไม่รู้ว่าควรจะควบคุมอย่างไรปรากฏขึ้นมาเองตามใจชอบอีกแล้ว อีริสกลายเป็นจุดสนใจของผู้คน พลางถอยหลังไปทางประตูอย่างลังเล

หมับ!

ตอนนั้นเอง จู่ๆ ด้านหลังก็มีมือของใครบางคนคว้าข้อมือของอีริสไว้ อีริสหันกลับไปมองด้วยความตกใจ ก็พบชายที่สวมชุดหรูหรากำลังจ้องมองนางด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความยินดี ตอนนั้นเองอีริสถึงได้เห็นชุดที่เขาใส่ ชุดนักบวชสีขาวที่ปักดิ้นสีทองโอ่อ่า

ชายที่มองเพียงแวบเดียวก็เห็นว่าขาข้างหนึ่งโก่งงออย่างรุนแรงยิ้มพลางเอ่ยกับอีริส

“อยู่ที่นี่เอง ท่านนักบุญหญิง ข้ามาเพื่อรับท่านขอรับ”

***

การไล่ตามราธบันเป็นไปด้วยดี แต่ใครจะคิดว่าจะมีปีศาจปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ ทันทีที่ปีศาจปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบ เหล่าอัศวินที่อยู่รอบข้างคาร์ลก็ตะโกนใส่เขา

“ท่านผู้อาวุโส! ช่วยออกคำสั่งให้ระดมกำลังด้วยขอรับ!”

ได้ยินดังนั้น คาร์ลก็ส่ายหน้า หากอัศวินไปปกป้องหมู่บ้านกันหมด แล้วใครจะปกป้องเขากันเล่า? คาร์ลเองก็เคยผ่านการพบเจอปีศาจที่วิหารชายแดน ด้วยเหตุนั้น เขาจึงรู้ว่าปีศาจที่บินเข้ามาที่นี่เป็นเพียงปีศาจระดับกลาง และยังรู้ด้วยว่าเจ้าพวกนั้นพออิ่มท้องระดับหนึ่งก็กลับโลกมันไปแล้ว

ดังนั้นเขาไม่มีทางสิ้นเปลืองกำลังคนของหน่วยอัศวินที่สำคัญโดยให้ไปช่วยชาวบ้านอย่างไม่จำเป็นเด็ดขาด แถมยังเป็นตอนที่อยู่ตรงหน้าราธบันที่ต้องจับให้ได้ตอนนี้ด้วย

“ยังไม่ได้ รอก่อนเถิด”

มองดูแล้ว ดูเหมือนราธบันก็กำลังเป็นกังวล จะวิ่งหนีเข้าไปในภูเขาเลยดี หรือจะวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอตามคำสอนของพระเจ้าที่เขาเชื่อและทำตามมาตลอดชีวิตดี

แต่จะเลือกทางไหนก็ไม่สำคัญ เพราะหากอีกฝ่ายวิ่งไปทางหมู่บ้าน พวกเขาก็จะตามหลังไป รอให้ราธบันสู้กับปีศาจจนหมดแรงแล้วค่อยจับ แต่หากหนีขึ้นไปบนภูเขาก็ไม่เลวเช่นกัน มันจะกลายเป็นฉากที่สมบูรณ์แบบที่จะทำลายความเชื่อมั่นในตัวราธบันที่ยังคงเหลืออยู่ในหน่วยอัศวินแห่งวิหารจนถึงตอนนี้ ผู้บัญชาการคนก่อนกลับหันหลังให้กับผู้คนที่ร้องขอความช่วยเหลือและหนีไปเสียนี่

ระหว่างที่เขากำลังสงสัยว่าราธบันจะเลือกทางไหน จู่ๆ เสียงร้องของปีศาจที่ดังกว่าเดิมก็ดังขึ้นฉับพลัน ขณะที่มองไปบนฟ้าเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น คาร์ลก็เสียวสันหลังวาบ

“นั่นมัน…”

ปีศาจที่ปรากฏตัวขึ้นตรงนั้นคือเฮกซ่า ปัญหาคือเจ้าตัวนั้นมันมีขนาดใหญ่และโหดร้ายยิ่งกว่าที่คาร์ลจดจำได้ เมื่อเห็นหอระฆังที่เฮกซ่ากำลังจะนั่งลงไปพังทลายลง คาร์ลก็ได้สติขึ้นมา

นั่นไม่ใช่ปีศาจที่จะกำราบได้ง่ายดั่งใจ

แต่ถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น นี่ก็เป็นหน่วยอัศวินแห่งวิหารที่ไม่มีราธบัน แถมอัศวินที่มีความสามารถเยี่ยมยอดยังออกจากหน่วยไปแล้ว นั่นหมายความว่าถึงสุดท้ายจะมีจำนวนมาก แต่ก็เป็นหน่วยอัศวินที่ไม่ต่างไปจากผลไม้ฝ่อ หน่วยอัศวินที่สามขององค์ชายรัชทายาทเลออนเพียงแค่ขัดขวางพวกเขาแต่ไม่ได้โจมตี ความไม่เอาไหนจึงยังไม่ถูกเปิดเผย แต่พวกเขาไม่มีทางเผชิญหน้ากับปีศาจตัวนั้นได้

หน่วยอัศวินที่ไร้ผู้บัญชาการที่เหมาะสมจะอดทนโจมตีกับเฮกซ่าได้นานสักเท่าไรกันเชียว ระหว่างนั้นเอง เฮกซ่าก็บินขึ้นไปอีกครั้ง ดวงตาของปีศาจหันมาทางหน่วยอัศวินแห่งวิหาร สายตาประเมินดูว่าหน่วยอัศวินจะโจมตีมันหรือไม่ คาร์ลตะโกนขึ้นอย่างเร่งรีบ

“ทุกคน ถอยทัพ!”

ได้ยินดังนั้น ดวงตาของอัศวินที่อยู่รอบข้างต่างก็เบิกกว้าง นี่เขาบอกให้หน่วยอัศวินแห่งวิหารถอยทัพก่อนที่จะได้สู้กับปีศาจอีกอย่างนั้นหรือ การที่อัศวินจะหันหลังให้ปีศาจคือตอนที่ต้องการจะช่วยชีวิตเพื่อนอัศวินที่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่นี่ถอยทัพ? สีหน้าของเหล่าอัศวินพลันบิดเบี้ยว เกียรติยศของพวกเขากำลังไร้ค่ายิ่งกว่าก้อนกรวดที่กลิ้งอยู่บนพื้นเสียอีก

คาร์ลเห็นเหล่าอัศวินมีท่าทีลังเลรีรอก็พลันนิ่วหน้าแล้วหันหัวม้าไป หากเฮกซ่าเกิดพุ่งเป้าหมายมาที่พวกตนแทนหมู่บ้าน ที่แห่งนี้คงต้องสูญสิ้นแล้ว คาร์ลกำชุดผู้อาวุโสที่ตนสวมอยู่ดั่งของล้ำค่า

‘กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้’

จะมาตายในที่แบบนี้ไม่ได้ เขาต้องการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความรุ่งโรจน์ไปจนถึงวันที่สิ้นลมหายใจร่วมกับท่านนักบุญหญิงคนใหม่และวิหารหลวง

วิ่งไปได้ครู่ใหญ่ คาร์ลก็เหลียวมองหลัง

‘แม่งเอ้ย!’

แม้จะมีอัศวินที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้ถอยทัพ แต่ก็มีอัศวินที่ฝ่าฝืนคำสั่งและวิ่งไปทางหมู่บ้านเช่นกัน พวกเขาวิ่งไปหาราธบัน และมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านกับเขา หลังจากเห็นภาพนั้น คาร์ลก็ให้ทุกคนหยุดและสังเกตการณ์

‘ถ้าราธบันไม่หนีไป และสู้กับเฮกซ่าล่ะก็…’

ถือเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว จะรอจับเมื่อเขาสลบไปหลังจากสู้กับเฮกซ่าก็ดี หรือต่อให้เขาไม่สลบ แต่รอจับตอนที่เขาหมดแรงก็ได้เช่นกัน

เวลาดำเนินผ่านไปเช่นนั้น คาร์ลที่มองอยู่ไกลๆ ตระหนักได้ว่าเฮกซ่าเริ่มใจร้อนขึ้น ไม่แน่ว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ราธบันอาจจะทำให้ปีศาจตัวนั้นล่าถอยไปก็ได้

นั่นแย่แล้ว หากเป็นเช่นนั้น ผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านจะต้องเชื่อและติดตามราธบันเป็นแน่ ตอนนั้นเอง คาร์ลถึงให้หน่วยอัศวินเคลื่อนไหว หน่วยอัศวินแห่งวิหารที่เข้าไปในหมู่บ้านฟันปีศาจที่บาดเจ็บหนักและใกล้ตายอยู่ก่อนแล้วได้อย่างไม่ยุ่งยากนัก

ราธบันยังคงประจันหน้ากับเฮกซ่าอยู่ คาร์ลที่กำลังจะเข้าไปหาเขาพลันเห็นชาวบ้านแบกอัศวินที่ได้รับบาดเจ็บวิ่งเข้าไปในอาคารหนึ่ง

‘ชาวบ้านคงรวมตัวกันอยู่ในนั้นกระมัง’

ก่อนที่ราธบันจะจัดการเฮกซ่ากลับมา เขาต้องปั่นหัวชาวบ้านให้ได้ ให้เสมือนว่าคนที่ส่งอัศวินทั้งหมดมาคือเขา ในอาคารที่เข้าไป คาร์ลเห็นพลังศักดิ์สิทธิ์พุ่งทะลักออกมาราวกับระเบิด และช่วยรักษาอัศวินในพริบตา

เขารู้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นมัน นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิง

มันเป็นสิ่งที่เขาเพลิดเพลินมานานนม คาร์ลจึงยิ่งรับรู้ได้ไม่ยาก คาร์ลมองไปยังต้นทางของพลังศักดิ์สิทธิ์ ตรงนั้นมีหญิงสาวที่ไม่มีสง่าราศรี ผอมแห้ง และดูซอมซ่อเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับอีเบลลีน่าอยู่

หญิงสาวผู้นี้คือนักบุญหญิงคนใหม่

“ท่านนักบุญหญิง”

คาร์ลคว้าหญิงสาวเอาไว้

“ในที่สุดผู้อาวุโสคาร์ลก็ได้พบท่านนักบุญหญิงเสียที”

“ปะ ปล่อยข้า!”

หญิงสาวพยายามจะดึงข้อมือที่ถูกจับไว้ออกมา เป็นเพราะนาง อัศวินที่ถูกรักษาแล้วจึงมองเห็นคาร์ล เขามีสีหน้าจะเคร่งขรึมพลางจับดาบ

“คุณอีริส!”

“ขวางคนผู้นั้นไว้!”

ได้ยินคำสั่งของคาร์ล อัศวินที่ติดตามเขามาก็เข้ามาล้อมรอบ คาร์ลมองอีริสที่ซีดเซียวยิ่งกว่าเดิมพลางกล่าว

“ข้ามาพาท่านกลับวิหารหลวง ท่านนักบุญหญิง”

เพื่อมิให้ท่านต้องประสบกับอันตรายใดๆ บนโลกนี้

เพื่อข้า

***

แอสรันเลิกนับไปแล้วว่าผ่านไปกี่วันกี่คืน สำหรับเขา ตอนนี้คำว่าเวลาไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว

แอสรันมองลีน่าที่นอนคว่ำหน้าหายใจหอบถี่อยู่บนเตียง บนร่างกายของนางเต็มไปด้วยเลือดคั่งจนยากจะหาจุดที่ไม่มีรอยทิ้งไว้บนผิวขาว ไม่เพียงแค่รอยมือ รอยจูบ แต่ยังมีรอยฟัน แอสรันย้อนนึกถึงทุกช่วงเวลาของร่องรอยที่เขาทำทิ้งไว้บนร่างนาง

ใช่ว่ามีอะไรกันบนเตียงนอนเท่านั้น บนโต๊ะหนังสือ บนโซฟายาว บนพื้น และหลายครั้งที่อิงแอบบนผนัง แอสรันมีอะไรกับนางจนนับครั้งไม่ถ้วน

เขาคือสัตว์เดรัจฉาน ดังนั้นจึงไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าไม่รู้จำนวน แต่ตอนนี้ กระทั่งเขาผู้นั้นก็ยังรู้สึกลังเล

แอสรันแหกขาของนางที่นอนคว่ำอยู่ออก แม้รอยที่อยู่ด้านในจะชวนให้ระคายสายตา แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกลับไม่ใช่มัน เพียงแค่เขาใช้มือแตะ กลีบดอกไม้บวมแดงก็หลั่งน้ำพรวดออกมาทันที

“อื้อออ…”

สัมผัสมือจากแอสรัน ทำให้นางส่งเสียงครางกระเส่าพลางส่ายสะโพก การเคลื่อนไหวที่ราวกับการเร่งถามว่ามัวแต่รีรออะไร ทำไมไม่รีบเข้ามา ทำให้แอสรันสัมผัสได้ว่าส่วนนั้นของเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง

‘นางบอกว่าให้กอดได้เท่าที่ต้องการ’

เช่นนั้นแล้วข้าก็ต้องการจะกอดเจ้าจนกว่าอาทิตย์และดวงจันทร์จะหายไปจากโลกใบนี้ ถึงตอนนั้นแล้วเจ้าจะอดทนได้หรือไม่? แม้เจ้าจะได้รับความรักจากพระเจ้า แต่สุดท้ายก็ยังเป็นมนุษย์ที่สักวันหนึ่งก็จะแหลกสลายกลับกลายเป็นดิน แล้วเจ้าจะสามารถโอบอุ้มข้าได้หรือไม่?

แอสรันจุมพิตลงบนหว่างขาที่แหกกว้าง มนุษย์บอบบางเกินไปจริงๆ นางจะต้องแตกหักไประหว่างที่เขาโอบกอดตามที่ต้องการเป็นแน่

แอสรันพลิกตัวนางกลับ เส้นผมของนางที่เคยแผ่สยายบนเตียงนอนราวกับกระแสน้ำ สั้นลงเหลือความยาวแค่ประบ่า เส้นผมที่ถูกตัดอย่างส่งเดชเพื่อให้มองดูเป็นคนอื่นระหว่างที่หลบหนี ยังคงเปล่งประกายและพริ้วไหวแม้ผ่านช่วงเวลายากลำบาก

แอสรันมองนางที่นอนหลับตา ก่อนจะนำส่วนนั้นของเขาที่แข็งขืนขึ้นอีกครั้งวางบนส่วนลับของนาง เสียงกระแทกดังปักของแท่งเนื้อหนักดังก้องในหู ส่วนล่างอันอุ่นร้อนของนางขบงับแก่นกายส่วนล่างของเขาที่สัมผัสกัน

“ฮา…”

แอสรันถอนหายใจแผ่วเบา ยกขาเรียวยาวของนางขึ้น รวบข้อเท้าทั้งสองข้างด้วยมือเดียว ต้นขาอ่อนนุ่มเบียดเสียดส่วนนั้นของเขา แอสรันเริ่มขยับตัว แก่นกายที่เสียบอยู่ระหว่างต้นขากลายเป็นพู่กัน ใช้ของเหลวที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของต่างสีย้อม วาดภาพอนาจารบนเนื้อบอบบาง

ของเหลวสีขาวขุ่นโปรยปรายบนหน้าท้องและหน้าอกของนางอีกครั้ง น้ำกามที่ตกลงเหนือรอยสีแดงดูคล้ายหิมะที่กองสุมบนบุปผา แอสรันเอื้อมมือออกไปอย่างไม่รู้ตัว ทว่ามือของนางรวดเร็วกว่ามือของเขา

นางวางมือเหนือหน้าท้องตนเองราวกับสั่งให้ดู หลับตาใช้ฝ่ามือเกลี่ยน้ำกามที่เปรอะเปื้อนอยู่บนตัว ประหนึ่งว่ามันเป็นของที่ควรอยู่ตรงนี้ ท่าทางเช่นนั้นของนางทำให้แอสรันรู้สึกเสียวซ่าน

“แอสรัน”

น้ำเสียงของนางที่เอ่ยเรียกเขา ชวนให้แอสรันรู้สึกเหมือนได้ดื่มสุราที่แรงที่สุดในโลก เขาจำไม่ได้ว่าเคยดื่มอะไรแบบนั้น สิ่งที่เขาดื่มมีเพียงน้ำที่นางปล่อยออกมาจากด้านบนและล่าง บางทีมันอาจจะเป็นเหมือนสุราสำหรับเขา ยิ่งดื่มยิ่งมีไฟแผดเผาในส่วนลึกของหัวใจ ยิ่งทำให้เสพติดจนหยิบออกมาอีก ดังนั้นจึงร้องเรียก ทำให้มันไหลออกมาอีกครั้ง

“…แอสรัน เร็วเข้า”

สติที่เลือนรางแตกเป็นเสี่ยงๆ เพียงเพราะคำพูดคำเดียวของนาง เสียงของนางกระตุ้นสัญชาตญาณปีศาจที่เขากดข่มเอาไว้

มีเหตุผลต้องทนด้วยหรือ ในเมื่อคู่ชีวิตของเขากำลังต้องการเขาอยู่แท้ๆ?

แอสรันขึ้นคร่อมนาง เขาไม่ได้ยินดีเพราะได้มีอะไรกัน ความจริงที่ว่านางต้องการเขาต่างหากที่ทำให้เขาตื่นเต้นอีกครั้ง

“ลูกของท่าน…”

คำพูดของนางถูกตัดจบลงตรงนั้น ส่วนนั้นของเขาสอดใส่เข้าไปในส่วนล่างของนางโดยไม่ทันให้เตรียมตัว แม้จะเป็นการรุกรานที่มาอย่างกะทันหัน แต่ร่างกายของนางก็รับเขาเข้าไปอย่างไม่มีปัญหา

“อีก อีก…”

ท่าทางเร่งเร้าที่ไม่เป็นปกติของนางทำให้เปลวเพลิงที่เริ่มโหมแรงจากสมองพลันขีดข่วนใต้เปลือกตา ของที่ต้องการปลดปล่อยอัดแน่นอยู่ในตัวอีกครั้ง จุดสูงสุดมาถึงอีกแล้ว ขณะที่แอสรันกำลังจะถอนตัวออกเพื่อนำส่วนนั้นของเขาออกมาเหมือนครั้งก่อน ขาของนางก็เกี่ยวเอวของเขาไว้

จากนั้นแนบร่างกายของเขาเข้าไปทางตนยิ่งขึ้นราวกับไม่อนุญาตให้ห่างไปไกล แก่นกายของเขากดลงไปตรงส่วนที่ลึกที่สุด

“ฮึก…!”

ความสุขสมที่กระทั่งปีศาจอย่างเขายังไม่อาจต้านทานส่งผลให้ทั้งร่างสั่นสะท้าน ไม่ได้ ตอนนี้เขายังไม่อาจหว่านเมล็ดพันธุ์ของเขาให้นางได้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางยังไม่หวนกลับคืนมา หากร่างกายนี้ตั้งท้องลูกเขาขึ้นมาจะเป็นอันตรายได้ แต่ทว่าขณะเดียวกัน สมองอีกฟากหนึ่งพลันมีเสียงกระซิบดังขึ้น

เสียงนั้นกล่าวว่าพลังศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาคืนมาแน่ รีบปล่อยเมล็ดพันธุ์ไปในตัวนางเสีย เสียงนั้นกล่าวว่าต้องทำแบบนั้นเขาถึงจะครอบครองนางได้อย่างสมบูรณ์แบบ

นางพลันแนบริมฝีปากข้างหูเขาที่กำลังขัดแย้งกัน แล้วเอ่ยกระซิบ

“เร็ว ปล่อยในตัวข้าเลย”

คำพูดนั้นพลันตัดสติของแอสรันที่เหลืออยู่ทันที

“อา อาอา ฮึก อึก!”

การเคลื่อนไหวที่รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ทำให้นางหยุดหายใจ ทันใดนั้น ส่วนนั้นของเขาพลันขยายใหญ่ ก่อนปลดปล่อยของเขาด้านในตัวนางอย่างไม่ลังเล น้ำกามที่หลั่งข้างในไม่หยุดจนเอ่อล้นออกมาไหลผ่านร่องเนื้อที่ปิดแน่นสนิท ทั้งสองกอดกันโดยทำได้เพียงหายใจหอบแรงเท่านั้น

ตึก ตึก ตึก

เสียงหัวใจของลีน่าก้องสะท้อนในหูของแอสรันราวกับฟ้าผ่า เวลาเดียวกันนั้น หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นอย่างแรงเช่นกัน แอสรันรู้ได้ทันที ตอนนี้ ชั่วขณะนี้ เมล็ดพันธุ์ของเขาได้ฝังรากที่สายรกของนางแล้ว

อาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาคาดหวังถึงเพียงนั้นสำเร็จแล้ว ในตอนที่แอสรันยังตั้งสติไม่ได้ พื้นที่ว่างพลันบิดเบี้ยว ไม่นานกระดานชนวนก็เผยรูปร่างออกมากลางอากาศ

แอสรันรู้ว่าเหตุใดมันถึงปรากฏขึ้น สัญญากำลังเรียกร้องความสมบูรณ์ อีกครึ่งหนึ่งสำเร็จแล้ว ดังนั้นอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็ต้องทำให้เสร็จด้วยเช่นกัน

ตอนนั้นเอง นางเอื้อมมือไปหากระดานชนวน นางจะร้องขออะไรกันแน่ แอสรันรอคอยคำสั่งที่ตนต้องทำตาม

นางลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้น แล้วกล่าวสิ่งที่ตนต้องการ

“แอสรัน ปีศาจผู้แข็งแกร่ง ข้าตั้งท้องลูกของเจ้าตามสัญญาแล้ว ดังนั้นบัดนี้เจ้าต้องฟังคำขอของข้า ข้าขอสั่งเจ้า”

“ไปทำลายวิหารทุกแห่งที่อยู่บนแผ่นดินนี้เสีย ให้พวกมันไม่อาจก่อตั้งมาได้อีกเป็นหนที่สอง ไม่ให้เหลือแม้แต่ซาก”